EP.01 บันทึกความทรงจำ

1696 คำ
EP.01 ทางข้างหน้าคือหน้าผาสูง อันมีสายหมอกเส้นบางๆ ลอยเคว้งคว้างคอยไล้ผิวกายจนรู้สึกเย็นสบาย ผมบอกได้คำเดียวว่าที่นี่คือสวรรค์ ถึงแม้ว่าจะเห็นหมู่เมฆสีขาวดั่งปุยนุ่นลอยปกคลุมหุบผาซึ่งมีบางส่วนลอยอยู่ตรงหน้า เหมือนว่าตัวของเราจะเดินอยู่บนกลีบเมฆเหล่านั้น แล้วจะมีใครไม่ดีใจเช่นผมในเวลานี้ล่ะ ถึงแม้ว่าอากาศจะเย็นจนเกือบจะติดลบศูนย์องศาเซลเซียสก็ตาม แต่ผมก็ยังจะดันทุรังเดินขึ้นมาจนถึงที่นี่ ‘ภูชี้ฟ้า’ ชื่อนี้ถึงแม้ว่าจะมีความสูงไม่เท่ากับดอยอินทนนท์ที่ผมเคยไปสัมผัสมากับตัวเอง แต่ที่แห่งนี้บอกได้คำเดียวว่ามันเหมือนกับชื่อไม่มีผิด ผู้ที่ยืนอยู่ตรงจุดนี้แล้วก็คงจะรู้สึกเหมือนตัวเองเดินเล่นอยู่บนสวรรค์เลยก็ไม่ปาน ภูชี้ฟ้า ชื่อนี้ผมจะไม่มีวันลืมมันเลย ร่างในเสื้อผ้าใยสังเคราะห์ผืนหนาที่คลุมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าและมีผ้าห่มผืนหนาคอยห่มทับอีกชั้นเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ค่อยๆ วางปากกาลงบนกระดาษโปสการ์ดใบขนาด 4 คูณ 6 นิ้ว ซึ่งเขาได้ซื้อมาจากร้านค้าเมื่อเย็นวาน ก่อนจะแบกเป้สัมภาระเดินเท้าขึ้นมาอยู่บนนี้ในระยะทางเกือบหนึ่งพันเมตร เพื่อจะสัมผัสกับบรรยากาศที่แปลกใหม่กับแสงแรกของพระอาทิตย์ที่ลอยสูงเหนือทิวเขาตอนเช้าตรู่ อีกด้านหนึ่งของโปสการ์ดใบนั้นเป็นภาพภูเขาสูงเสียดฟ้าที่มียอดแหลมชี้ขึ้นสูงและส่วนปลายของยอดเขานั้นมีพระอาทิตย์กับแสงแรกลอยอยู่เหนือทิวเขาอย่างสวยงาม...ภูชี้ฟ้า ชื่อนี้ช่างเหมาะสมกับบรรยากาศที่เป็นไปกับความสวยงามของธรรมชาติโดยแท้ โปสการ์ดใบนี้เขา ต้องการที่จะส่งให้กับตัวเอง เพื่อจะเป็นของขวัญอีกชิ้นหนึ่งที่เขาเริ่มรู้สึกรักและหวงแหนเป็นที่สุด มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นมาอยู่ ณ ตรงจุดนี้อย่างเป็นอิสระ ‘อิสระหรือ’ พอคำนี้ลอยผ่าน ชายหนุ่มก็ก้มลงมองตัวเองพร้อมกับหัวเราะเสียงต่ำลึกในลำคอ มันน่าตลกเหมือนกันนะที่คนอย่างเขาจะมีอิสระได้มากถึงเพียงนี้ ขณะที่ตนกำลังลิ้มรสกับความหอมหวานของคำว่าอิสระ ปานนี้พวกนั้นก็คงจะตามหาเขาจนวุ่นอยู่เป็นแน่ แล้วใครจะตามหานายพบล่ะ ก็เล่นหนีออกมาเที่ยวไกลสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ มิหนำซ้ำยังใส่เสื้อกันหนาวตัวโคร่งปิดบังหน้าตาจนมิดแบบนี้อีก กรวิชญ์นึกขำกับความคิดของตนเอง เออ...แน่ะ แล้วใครจะไปจำนายได้ล่ะ นอกจากชุดผ้าคลุมผืนหนาแล้ว นายยังทำตัวได้กลมกลืนกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ไม่เหมือนกับซุปเปอร์สตาร์ที่โด่งดังของเมืองไทยสักนิด ‘ภาพมายา’ คำนี้ เขาพร่ำเตือนบอกกับตัวเอง เมื่อได้ก้าวเดินเข้ามาสู่วงการบันเทิง ถึงแม้ว่าในอดีตเขาเคยต้องการที่จะมาอยู่ตรงจุดนี้ เพราะคิดว่ามันเท่ มีคนสนใจ เป็นจุดเด่นของสังคม แต่ที่ไหนได้เมื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว เขากลับรู้สึก ‘อึดอัด’ ในหัวใจ และอยากจะเดินหนีมันไปให้ไกลมากที่สุด และในวันนี้ ห้วงเวลานี้ เขาได้หนีมันมาได้ในระดับหนึ่งแล้ว หลังปิดกล้องละครเรื่องสุดท้ายตามคิวถ่าย เขาจึงตัดสินใจหนีผู้จัดการส่วนตัว มาเปิดหูเปิดตากับธรรมชาติเช่นนี้ ลงทุนปิดโทรศัพท์เพื่อหลีกเลี่ยงการโทรตาม และลงทุนปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาๆ คนหนึ่ง หนีออกมาท่องเที่ยวในดินแดนที่ไกลหูไกลตากับช่างภาพและนักข่าว ถึงแม้จะนึกหวั่น กลัวว่าจะมีคนจำได้ และลิดรอนสิทธิ์ความเป็นอิสระของตนอยู่บ้าง แต่ชายหนุ่มก็ยังจะพยายามให้ถึงที่สุด...ความอิสระ เท่านั้นที่เขาต้องการ หลังเก็บโปสการ์ดใบนั้นลงในกระเป๋าเสื้อตัวหนาแล้ว ชายหนุ่มก็มุดตัวเข้าไปภายในเต็นท์อีกครั้ง ควานหาสมุดบันทึกในกระเป๋าเป้ส่วนตัวออกมาเขียน บันทึกความทรงจำ สิ่งที่เขาชอบทำอยู่เป็นปกติก็คือการบันทึกเรื่องราวลงในสมุดบันทึก เพราะถึงแม้ว่าความทรงจำของเราจะดีเลิศเลอขนาดไหน แต่มันก็ยังไม่เท่ากับการจดบันทึกไปได้ เพราะหากวันใด เวลาจะผ่านไปนานมากแค่ไหน ความทรงจำที่ดีก็จะยังคงรอคอยเขาอยู่ในสมุดเล่มนั้น ยามเมื่อเปิดอ่านมัน ความรู้สึกดีๆ ก็จะไหนเวียนกลับมา สิ่งนี้แหละที่คนอย่างเขาชอบและต้องการมัน สมุดสี่เหลี่ยมขนาดเล็กเท่าขนาดครึ่งหนึ่งของสมุดเล่มใหญ่ทั่วไป ถึงแม้ในสายตามันจะมีขนาดเล็ก บันทึกไม่เท่าไรก็หมด แต่สำหรับเขาแล้วกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้เล็กเหมือนอย่างกับรูปร่างของมันเลย แต่ในนั้นมันกลับมีความทรงจำและความรู้สึกดีๆ ของเขาที่บรรจงเขียนเป็นตัวหนังสือ อัดแน่นอยู่จนเต็มเปี่ยม ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดไล่และอ่านบันทึกเหล่านั้นไปทีละหน้า ใบหน้าอ่อนเยาว์และหล่อเหลาตามที่สาวๆ หลายคนต่างชื่นชมและใฝ่ฝันเคียงใกล้ปรากฏรอยยิ้มบางๆ อย่างมีความสุข วันที่ 10 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 วันนี้เป็นวันแรกที่ผมรู้จักกับคำว่า ปีกแห่งความอิสระ ที่มันกางออกเพื่อจะพาผมให้โบยบินไปตามที่หัวใจของตัวเองปรารถนา หลังจากที่มันได้ถูกตัดรอนออกไปจากผมเมื่อหลายปีก่อน ถึงจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่เข้าสู่วงการมานี้ แต่สำหรับผมแล้ว กลับรู้สึกว่ามันยาวนานเหลือเกิน นานจนรู้สึกอึดอัด นานจนเหมือนกับตัวเองถูกอัดแน่นเหมือนปลากระป๋อง และนานจนเมื่อหันมามองตัวเองผ่านกระจกแล้วเหมือนว่านั่นไม่ใช่ตัวเอง มันน่าตลกใช่มั้ยล่ะ ขณะที่ทุกคนต่างขวนขวายเพื่อจะได้มันมา แต่สำหรับผมแล้วกลับคิดอยากจะสลัดมันทิ้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเคยต้องการมันอย่างที่สุด วันนี้ผมตัดสินใจวิ่งรถเข้าสู่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย หวังเพื่อจะออกไปเที่ยวอย่างเสรี จุดหมายแรกที่ต้องการอยากจะไปก็คือพระธาตุดอยตุงและอำเภอเชียงแสน แต่ความคิดนั้นก็ถูกตัดไปเพราะเหตุผลสองประการคือ ทั้งสองที่มีคนมาเที่ยวเยอะ คนที่รู้จักกับผมย่อมจะเยอะไปด้วย ที่ผมมาเที่ยวในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อเจอพวกเขาแล้วความรู้สึกเหล่านั้นจะหายไปในทันที แล้วคำว่า ‘หนี’ จะสัมฤทธิ์ผลได้อย่างไรกัน และนั่นก็เป็นเหตุผลข้อแรกที่ผมตัดสินใจเปลี่ยนโปรแกรมในทันที ส่วนเหตุผลข้อที่สองนั้น ในช่วงนี้กำลังเป็นช่วงเปลี่ยนฤดูจากฝนเข้าสู่ฤดูหนาว บรรยากาศจากภูเขาสูงน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ผมไม่ควรพลาด แล้วชื่อ ‘ภูชี้ฟ้า’ ก็ลอยเข้ามาให้ผมได้คิด และนั่นก็ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่ในเวลาต่อมา ถึงจะรู้สึกอึดอัด กับการที่ต้องปลอมตัวของตัวเองจนใครๆ ต่างจำไม่ได้ (เชื่อได้ว่าตัวเองนี่แหละที่จำไม่ได้เหมือนกัน) แต่ผมกลับรู้สึกดีใจมากกว่าที่สามารถหลบสายตาของฝูงชน ที่ขายของตรงลานจอดรถพวกนั้นได้ พวกเขาจำผมไม่ได้ นั่นคือคำหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในใจ เมื่อตนเองอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีดำสนิท เหมือนอย่างวัยรุ่นทั่วไปที่ออกมาเที่ยว เยี่ยมชมธรรมชาติแต่เพียงลำพัง กับหมวกแก็ปมีปีกหน้าคอยบดบังอำพรางใบหน้าตัวเองเป็นอย่างดี (พอนึกอีกทีก็เหมือนพวกเด็กๆ ที่หนีพ่อแม่มาเที่ยวชะงั้น) ผมซื้อของหลายอย่าง ทั้งโปรสการ์ด ทั้งของกินอีกมากมายบรรจุใส่กระเป๋าเป้ แล้วตัดสินใจเดินเท้าขึ้นภูในเย็นวันนั้น เพื่อจะมองพระอาทิตย์ตกอันสวยงาม กับสายลมเย็นที่พัดแผ่วต้องผิวกาย ระยะทางแค่หนึ่งพันกว่าเมตร จากจุดจอดรถขึ้นมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสำหรับคนที่ไม่เคยเดินทางไกลอย่างผม แต่สำหรับแรงศรัทธาและความใฝ่ฝันอยากจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ จึงทำให้ผมไม่ผิดหวังและทันมาเห็นพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาในเวลาต่อมา มันช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก ความรู้สึกในตอนนั้นทั้งดีใจ และตื้นตันใจ จะมีใครสักกี่คนที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสกับบรรยากาศที่แปลกใหม่เช่นนี้ได้ เย็นวันนี้ ลมพัดแรงมากจนรู้สึกหนาวสะท้าน ผมจัดการกางเต็นท์แล้วเอาชุดผ้าคลุมผืนหนามาห่มทับอีกชั้นหนึ่ง จุดกางเต็นท์แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากจุดชมวิวที่ผมเพิ่งไปมาไม่มากนัก หลังกางเต็นท์เสร็จ ความมืดก็เริ่มโรยตัวลงมา เช่นเดียวกับสายลมที่พัดแรงขึ้นทุกขณะ กองไฟจากหน้าเต็นท์ทั้งของผมและของนักท่องเที่ยวอีกหลายคนลุกโชกโชนและไหวระริกตามแรงลม ภายใต้เงามืดสลัว บนก้อนหินก้อนใหญ่ ก็จะเห็นผู้ชายคนหนึ่งขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นพร้อมกับค่อยๆ ยกมือขึ้นกางอ้ารับลมหนาวที่พัดมากระทบร่างกาย พร้อมสายตาที่ทอดมองไปที่ความมืดตรงหน้าอย่างเป็นอิสระ ใครบ้างนะจะรู้ว่านั่น คือซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังของเมืองไทยที่ชื่อว่า...กรวิชญ์ จากชายคนหนึ่งที่กางปีกตามหาความอิสระ กรวิชญ์ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2553
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม