ปานฤทัยพยักหน้ารับรู้ ถึงเธอเป็นคนเชียงใหม่ แต่ศัพท์บางคำใช่ว่าจะรู้ อีกทั้งบ้านเรือนที่ปลูกอยู่อาศัยกันทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เรือนแบบล้านนาสมัยก่อน ตอนได้ยินคำว่าเติ๋นจึงนึกไม่ออกอยู่บ้าง
"ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปนั่งกับคุณลุงได้ไหม นั่งรอคุณพระน่ะ ข้าอยากรู้ว่าจับผีได้รึเปล่า"
"เอ่อ...แต่คุณพระสั่งไว้" แปงยิ้มเจื่อน หันไปมองมุ้ย อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าไม่รู้ท่าเดียว
"คุณพระสั่งไว้ว่าไม่ให้ข้าลงจากเรือน แต่ไม่ได้สั่งว่าห้ามออกนอกห้องสักหน่อย" ปานฤทัยรีบพูดขึ้นทันที เธอจำได้ตอนที่สิงห์คำอุ้มเธอมาวางไว้ตรงบันไดแล้วหันไปสั่งบ่าวไพร่
"จริงดังแม่หญิงว่า ข้าจำได้ คุณพระสั่งไว้ว่าห้ามแม่หญิงลงเรือน แต่มิได้ห้ามออกจากห้อง" แปงหันไปพูดกับมุ้ย ปานฤทัยจึงยิ้มร่าให้ทั้งคู่
"เพราะฉะนั้น มาประคองฉัน เอ๊ย ข้าซะดี ๆ" เธอยื่นมือให้บ่าวทั้งสองคนช่วยพยุงลุกขึ้นพาออกไปนอกห้องเพื่อไปนั่งคุยกับอินตาตรงชานเรือน
กลางป่าลึกเข้าไป มีกระท่อมหลังเล็กปลูกขึ้นอย่างเรียบง่าย ภายในกระท่อมมิมีเครื่องเรือนอื่นใดนอกจากย่ามเก่าคร่ำคร่ากับผ้าผืนหนึ่งปูบนพื้น มีเทียนเล่มเล็กปักไว้กลางห้องเพื่อให้แสงสว่าง ยามเปลวเทียนวูบไหวตามแรงลม ก่อให้เกิดเงาบนผนังกระท่อมบิดเบี้ยวไปมาดูน่าหวาดหวั่น หากแต่ชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่นั้น หาได้หวั่นเกรงต่อเรื่องเหล่านี้ไม่
แต่แล้วเบื้องหน้าของผู้ที่นั่งทำสมาธิพลันปรากฏกลุ่มควันสีดำขึ้นทีละนิด จากเจือจางค่อย ๆ รวมกลุ่มกันจนเกือบเป็นรูปเป็นร่าง แต่มิอาจมองออกว่าเป็นตัวอะไร
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า แววตาคมดุมองไปที่กลุ่มควันนั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเปิดปากพูดว่า
"แม่หญิงผู้นั้นมีอาคมคุ้มกายกระนั้นรึ" เขาเงียบไปอีกครั้งราวกับกำลังฟังอีกฝ่ายพูดทั้งที่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากกลุ่มควันสีดำนั้นแม้แต่น้อย
"มึงไปได้" สิ้นคำของเขา กลุ่มควันสีดำจึงลอยออกไปทางประตู
"เป็นชาวเชียงสานครกระนั้นหรือ" ชายหนุ่มพึมพำแผ่วเบา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แววตาดุดันแฝงความอ่อนโยนขึ้นขณะมองเหม่อไปเบื้องหน้า
สิงห์คำเดินขึ้นเรือน ตั้งใจจักบอกเรื่องผีลมให้ผู้เป็นบิดาได้รับทราบ ทว่าเมื่อเห็นปานฤทัยในชุดอย่างแม่หญิงชาวเชียงสานครจึงชะงักไปเล็กน้อย ตาคมลอบมองสตรีที่ต้องมาอาศัยร่วมเรือนของตนเพียงชั่วครู่ ก่อนเสมองไปทางอื่นอย่างแนบเนียน
"เป็นเช่นไร" อินตาถามบุตรชาย
"จับมิได้ขอรับ มันมีผู้ชุบเลี้ยง" สิงห์คำตอบไปตามตรง
"อ้าว แล้วแบบนี้มันจะมาสิงฉันอีกไหมล่ะคุณพระ" ปานฤทัยมีสีหน้าหวาดหวั่น
"เอ็งกลัวผีด้วยรึ" สิงห์คำสงสัย ในเมื่อกลัวผีแล้วเหตุใดถึงไปโผล่อยู่ เรือนร้าง เรือนที่ผู้คนต่างมิกล้าเฉียดใกล้เพราะหวาดกลัวผีสางที่อยู่ในเรือน
"กลัวที่สุด รองจากงูเลยเจ้าค่ะ"
ปานฤทัยทำหน้าง้ำ สิงห์คำเห็นแล้วลอบอมยิ้ม พลันนั้น เรื่องที่ตนโอบอุ้มสตรีผู้นี้ไว้แล้วพาขึ้นไปส่งถึงเรือนนอน แลเจ้าหล่อนยังกอดคอเขาแน่นจนแก้มแทบชนกันพลันผุดขึ้นในหัว ทำให้เขารู้สึกอะไรบางอย่างจนมิกล้ามองหน้าปานฤทัย
"ผีลมมันสิงเอ็งมิได้ดอก เอ็งมิต้องกลัวไป" อินตาพูดขึ้น ปานฤทัยจึงหันไปถามด้วยความยินดี
"จริงหรือเจ้าคะคุณลุง"
"จริง" อินตายิ้ม เห็นสีหน้าฉงนของบุตรชายรอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้น เอ่ยต่ออีกว่า
"เอ็งเป็นชาวเชียงสานครแล้ว ผีลมทำอันใดเอ็งมิได้ดอก"
"แค่เปลี่ยนชุดก็เป็นแล้วหรือ ดีจัง ตอนนั้นตกใจแทบแย่เลยเจ้าค่ะ"
ปานฤทัยยิ้มแป้นให้คนพ่อและเผื่อแผ่รอยยิ้มไปยังคนลูกที่กำลังมองหน้าตนอยู่ก่อนแล้ว แต่พอเธอมองเขา สิงห์คำก็หลบตามองไปทางอื่น
"ตอนถูกผีลมตีเอา บาดเจ็บที่ใดบ้างหรือไม่ เดินขึ้นเรือนมาได้เยี่ยงไร เห็นว่านังฮอมกับนังผ้ายสิ้นสติมิใช่หรือ" อินตาถามพลางมองบ่าวอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังปานฤทัย ทว่าคนตอบกลับเป็นอีกคน
"เอ่อ...กระผมเป็นคนอุ้มแม่หญิงขึ้นเรือนมาเองขอรับ" สิงห์คำตอบบิดาชัดถ้อยชัดคำ ส่วนผู้เป็นบิดานั้นได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความคาดมิถึง
เพราะธรรมเนียมชาวเชียงสา ห้ามมิให้ชายหญิงถูกเนื้อต้องตัวกัน เว้นแต่การนั้นเป็นการช่วยชีวิต ด้วยเพราะเหตุนี้สิงห์คำจึงมิเคยละเลยธรรมเนียมนี้เสมอมา
ครานั้นบัวริน บุตรสาวพระยาคำแปงตกน้ำที่คลองหน้าวัดรามัญ สิงห์คำยื่นไม้ให้แม่หญิงบัวรินเท่านั้น หาได้ยอมกระโดดลงไปช่วยไม่ แม่หญิงร้องเรียกสิงห์คำครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยหวังว่าเขาจักยอมยื่นมือช่วย เหตุเพราะบัวรินพึงใจสิงห์คำมานานนม แต่สิงห์คำกลับมิรับไมตรีจนแม่หญิงตรอมใจจับไข้หลายวัน
สิงห์คำมองหน้าบิดาก่อนหลุบตามองพื้น มิยอมมองหน้าปานฤทัย หญิงสาวคิดว่าสิงห์คำจะถูกบิดากล่าวโทษเรื่องผิดธรรมเนียมจึงช่วยพูดแทนเขาให้
"เหตุการณ์คับขันจำเป็นค่ะคุณลุง เพราะถ้ารอให้หนูกระดึ๊บขึ้นเรือนเอง ป่านนี้คงถูกผีลมสิงร่างไปแล้ว" พอเธอพูดจบ ทุกคนที่นั่งอยู่ก็หันมองเธอเป็นตาเดียว
"กระดึ๊บ? แปลว่ากระไรรึ" อินตาถามยิ้ม ๆ ปานฤทัยจึงยิ้มกว้างพลางทำไม้ทำมือประกอบไปด้วยตอนตอบ
"หนูหมายถึงคลานน่ะค่ะ คลานขึ้นเรือน"
อินตาพยักหน้ารับรู้ บนหน้ามีรอยยิ้มนิด ๆ ตลอดเวลาไม่มีทีท่าโมโหหรือกรุ่นโกรธ ทำให้ปานฤทัยรู้สึกเบาใจไม่น้อย เพราะรู้แล้วว่าสิงห์คำไม่โดนดุแน่
สิงห์คำลอบมองบิดาของตนอย่างมิอาจเข้าใจ ท่านทำเหมือนมิได้ยินว่าตนอุ้มปานฤทัยขึ้นเรือน กระนั้นในเมื่อท่านมิเอ่ยถึง เขาจักปิดปากเงียบเช่นกัน มิคิดจักเอ่ยถึงมันขึ้นอีก
"คงมิมีอันใดแล้วกระมัง เช่นนั้นแยกย้ายกันไปนอนเถิด พวกเอ็งสองคนประคองแม่หญิงเข้าห้อง" อินตาสั่งแปงกับมุ้ยเสร็จเรียบร้อยจึงลุกขึ้นเดินเข้าห้องของตนซึ่งอยู่แรกสุด
เมื่อเข้ามาในห้อง ปานฤทัยบอกให้แปงกับมุ้ยกลับเรือนพักของตนเอง ไม่ต้องอยู่รับใช้ มุ้ยจึงนำกระโถนแบบมีฝาปิดมาวางไว้ให้ก่อนออกไป ครั้นพอได้อยู่ตามลำพังแล้วเธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ทั้งที่รู้ว่ามันคงไม่มีสัญญาณใด ๆ แต่กระนั้นก็ยังอดหวังไม่ได้
สุดท้ายความหวังของเธอก็ไม่เป็นจริง เธอทำได้แค่ปิดเครื่องไว้ตามเดิมเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ให้มากที่สุด ดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือที่ถอดไว้ในกระเป๋า เกือบสี่ทุ่มแล้วแต่ยังไม่รู้สึกง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย