"เอ็งมิเคยเห็นหน้ามันรึ" สิงห์คำถามเสียงเข้ม
"ไม่เคยเจ้าค่ะ ถ้าเคยเห็นฉันจะมาถามคุณพระทำไม อ๊ะ!"
จู่ ๆ ปานฤทัยรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งช่องท้องราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ในนั้น และไฟที่ว่าก็เริ่มลามขึ้นมาจนถึงไหปลาร้า แต่ดูเหมือนมันจะผ่านลำคอไปไม่ได้จึงพุ่งกลับลงไปที่ท้องแล้วแผ่ขยายไปตามขาทั้งสองข้าง ทำให้ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าตนกำลังตกลงไปในบ่อน้ำเดือดอย่างไรอย่างนั้น
"โอ๊ย! ร้อน...ช่วยด้วย...คุณพระ...กรี๊ด!" ปานฤทัยลงไปนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน ไม่รับรู้ว่าเวลานี้สิงห์คำได้พังประตูเข้ามาในห้องแล้วรีบประคองเธอไว้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
"แม่ฤทัย! เอ็งเป็นกระไร เหตุใดจึงตัวร้อนเยี่ยงนี้"
เขาแทบจับตัวปานฤทัยมิได้ ร่างกายของเจ้าหล่อนร้อนราวกับเหล็กนาบไฟจนเขาต้องคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างปานฤทัยไว้จึงจักประคองขึ้นมาได้
"ไม่รู้...อยู่ดี ๆ มันก็ร้อนไปหมดเลยคุณพระ...กรี๊ด!"
ปานฤทัยกรีดร้องขึ้นมาอีก ดูเหมือนทุกครั้งที่เธอพูดคำว่า คุณพระ ความร้อนในกายจะยิ่งทวีคูณ
"เกิดอันใดขึ้นพ่อสิงห์คำ" อินตายืนถามอยู่หน้าห้องโดยมีก๋องนั่งกับพื้นยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยเช่นกัน
"มิรู้ขอรับคุณพ่อ จู่ ๆ แม่ฤทัยก็ตัวร้อนเหมือนไฟ นอนดิ้นไปมาขอรับ กระผมคิดว่าน่าจักโดนของ"
สิงห์คำเอามืออังหน้าผากปานฤทัยด้วยความลืมตัว เขาให้เจ้าหล่อนเอนร่างพิงอกเขาโดยมีผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้
"พาไปห้องพระ!" อินตามีสีหน้าเครียดขึ้ง ก่อนจะเดินไปยังห้องพระที่ว่า ซึ่งต้องเดินผ่านชานเรือนไปอีกฝั่ง
ห้องพระเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดไม่กว้างมาก ในนั้นมีชั้นวางไม้สักเป็นขั้นบันได ขั้นบนสุดวางรูปหล่อสัมฤทธิ์ของพระพุทธรูปสีทองอร่ามองค์หนึ่ง ขั้นถัด ๆ มามีบรรดาเครื่องรางของขลัง คัมภีร์ใบลาน เครื่องบายศรี พุ่มสายสิญจน์ ด้านหน้ามีกระถางธูปเทียน แลอ่างน้ำมนต์ซึ่งมีฝาไม้ปิดอยู่ด้านบนวางเอาไว้
สิงห์คำอุ้มปานฤทัยเข้าไปในห้องพระแล้ววางลงกับพื้นอย่างเบามือเพราะกลัวอีกฝ่ายเจ็บ แม้ว่าตอนนี้เจ้าหล่อนจักทรมานจนสลบไปแล้วก็ตาม
"ไอ้ก๋อง มึงไปบอกบ่าวไพร่ว่าห้ามไอ้อีคนใดแพร่งพรายเรื่องแม่หญิงออกไปเป็นอันขาด แลมิให้ผู้ใดมาแอบดูด้วย" สิงห์คำหันไปกำชับบ่าวคนสนิท ก๋องรับคำแล้วรีบวิ่งลงเรือนไปทันใด
เมื่อสิงห์คำคลี่ผ้าห่มออกจากตัวปานฤทัย เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะผิวเนื้อตั้งแต่ไหปลาร้าลงไปจนถึงฝ่าเท้าล้วนแดงก่ำราวกับเอาชาดมาทา
"กระผมต้องทำเยี่ยงไรบ้างขอรับคุณพ่อ"
สิงห์คำพูดอย่างร้อนรน การถอนของหรือถอนคุณไสยนั้นเขามิชำนาญ เพราะคุณไสยเป็นอวิชามนตร์ดำ เป็นอาคมชั้นต่ำ เขาจึงมิคิดร่ำเรียนศึกษาศาสตร์แขนงนี้
"เอาสายสิญจน์ผูกข้อมือแม่ฤทัยโยงไว้ทั้งสองข้าง"
อินตาพูดพลางรื้อหาของบางอย่างในหีบไม้สักใบเล็ก เมื่อเจอแล้วจึงนำออกมาถือไว้ เป็นก้านไม้สีน้ำตาลเข้มขนาดเท่านิ้วโป้ง จากนั้นฝานเป็นแว่นออกมาหนึ่งชิ้นยื่นให้บุตรชาย
"ใส่ไว้ในปากแม่ฤทัย เอาไว้ใต้ลิ้น"
สิงห์คำบีบแก้มปานฤทัยแล้วพยายามนำแผ่นไม้วางใต้ลิ้นของเจ้าหล่อน ชั่วขณะนั้นทั้งสองพ่อลูกต่างพากันรับรู้โดยสัญชาตญาณว่ากำลังมีบางสิ่งตรงเข้ามาหา ครั้นพอหันไปมองด้านหลังพร้อมกันจึงเห็นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
"ให้กระผมจัดการดีกว่าขอรับท่านพระยา" ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาในห้องพระ
"มึงเป็นผู้ใดวะ"
สิงห์คำถามเสียงดุ ตาลอบสังเกตคนตรงหน้าไปด้วย ผู้ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวคร้ามแดด ใบหน้าคมคาย ดวงตาคมดุ ลักษณะอย่างผู้มีอาคมแกร่งกล้า ทั้งยังโพกศีรษะด้วยผ้าสีดำ...เป็นชาวเชียงพิงค์กระนั้นรึ
"พ่อเสือ เป็นลูกชายสหายพ่อเอง" อินตาเป็นฝ่ายตอบแทนผู้มาเยือน ซึ่งขณะนี้ได้นั่งขัดสมาธิข้างปานฤทัย หยิบของอย่างหนึ่งออกมาจากย่ามเก่าคร่ำคร่า เขาหยิบตุ๊กตาปั้นจากดินตัวหนึ่งออกมาวางไว้บนพื้น จากนั้นดึงเส้นผมของปานฤทัยเอามาพันไว้ที่ตุ๊กตาตัวนั้น
สิงห์คำจ้องทุกการกระทำตาแทบไม่กะพริบ แม้จักมิพอใจที่ชายแปลกหน้ามาจับเส้นผมของปานฤทัย แต่จำต้องข่มใจไว้เพราะเพลานี้การช่วยชีวิตต้องมาก่อน
เสือจุดเทียนเล่มใหญ่ตั้งไว้ปลายเท้าของปานฤทัย จากนั้นจับมือทั้งสองข้างของเจ้าหล่อนมาวางทับกันไว้ที่ท้อง โดยเขาวางมือทาบลงไปด้วย เป็นเหตุให้สิงห์คำมิใคร่พอใจเท่าใดนัก
"เฮ้ย! มึงห้ามแตะต้องแม่หญิง" สิงห์คำตวาดกร้าว ถ้าเขาพกดาบติดตัวมาด้วยคงได้เอาดาบพาดคอชายแปลกหน้าผู้นี้แล้ว
"สิงห์คำ! ช่วยชีวิตแม่ฤทัยก่อนเถิด" อินตาเอ่ยเตือนบุตรชาย สิงห์คำจึงต้องข่มความโกรธเอาไว้ หากแต่สายตานั้นจ้องผู้ทำพิธีอย่างดุดัน
"เร่งมือเถิดพ่อเสือ ประเดี๋ยวจักมิทันกาล" อินตาเอ่ยเร่ง เสือเหลือบมองคนหน้าบึ้ง ยิ้มให้อย่างเย้ยหยันเล็กน้อยก่อนเริ่มทำพิธีด้วยการนำตุ๊กตาดินปั้นวางไว้ปลายเท้า หยิบตลับปูนแดงออกจากย่าม นั่งพึมพำบริกรรมคาถาโดยที่สายตาเอาแต่จับจ้องตุ๊กตาตัวนั้นแทบไม่กะพริบ
สิงห์คำเกือบหมดความอดทนเมื่อเห็นสายตาท้าทายของอีกฝ่ายยามมองหน้าเขาเมื่อครู่ แม้นจักรู้สึกคุ้นหน้าชาวเชียงพิงค์ผู้นี้ราวกับเคยเจอที่ใดมาก่อน หากแต่นึกไม่ออก รู้แค่ว่าเพลานี้เขาไม่ถูกชะตากับอีกฝ่ายยิ่งนัก
เสือแต้มปูนแดงที่หัวไหล่ของปานฤทัยทั้งสองข้าง รอมินานนักผิวเนื้อแดงก่ำบริเวณช่วงนั้นจึงจางลง เขาแต้มที่หลังมือของเจ้าหล่อนทั้งซ้ายแลขวา รอจนผิวเนื้อช่วงท้องเปลี่ยนสีจึงย้ายลงไปแต้มที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง หลังจากนั้นสิ่งที่มิคาดคิดพลันเกิดขึ้นเมื่อตุ๊กตาดินปั้นมีควันลอยขึ้นมา มินานจึงถูกแทนที่ด้วยเปลวไฟเผาที่ตัวตุ๊กตาจนลุกโชน
“มันเล่นถึงตายเชียวรึนี่” เสือขบกรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
“แม่ฤทัยโดนสิ่งใดรึพ่อเสือ” อินตาเห็นตุ๊กตาถูกเผาจึงตกใจมิน้อย
“ยาสั่งขอรับ หากแม่หญิงมิได้ตะกรุดนี่ช่วยไว้ ป่านนี้คงถูกเผาเยี่ยงตุ๊กตาดินแล้ว” เสือตอบพลางใช้ด้ามเทียนเขี่ยเศษขี้เถ้า
“ยาสั่งกระนั้นรึ แต่แม่ฤทัยมิได้ออกนอกเฮือนคำไปที่ใดเลยหนา”
สิงห์คำขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ตอนกลับถึงเรือนเขาเรียกบ่าวไพร่มาไต่ถามอย่างละเอียดแล้ว จึงรู้ว่าปานฤทัยมิได้ไปที่ใด อยู่แต่บนเรือน กินข้าวบนเรือน
“แต่ข้ามิรู้ดอกว่าสิ่งใดที่ทำให้ยาสั่งมีผล” เสือโกยขี้เถ้ากองนั้นขึ้นมาวางบนฝ่ามือพลางเอ่ยอีกว่า
“กระผมคิดว่าน่าจักต้องเค้นถามพวกบ่าวเรือนท่านพระยาเสียหน่อยกระมังว่าเอาสิ่งใดให้แม่หญิงกิน”
เสือยิ้มเยาะ เดินออกจากห้องพระไปยืนตรงระเบียงเชื่อม ยกมือข้างที่กำขี้เถ้าไว้ใกล้ปากแล้วสวดคาถาพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแบมือออกจึงใช้ปากเป่าขี้เถ้าจนลอยฟุ้งหายไป
สิงห์คำมองแผ่นหลังของชายแปลกหน้าที่มาช่วยปานฤทัยเอาไว้ พิธีเมื่อครู่นี้เขารู้ว่ามันคือการให้มนตร์ดำนั้นย้อนกลับไปหาผู้กระทำ แต่ที่เขามิเข้าใจคือเหตุใดคนผู้นี้จึงมาช่วยเหลือได้ทันเพลา อีกทั้งเมื่อเป่าขี้เถ้าออกไปแล้ว อีกฝ่ายจักต้องไปตามล่าผู้ที่ทำคุณไสยใส่ปานฤทัยอีกด้วย
“กระผมจักพาแม่ฤทัยกลับห้องก่อนนะขอรับ”
สิงห์คำนำผ้าห่มคลุมตัวปานฤทัยไว้ตามเดิมแล้วอุ้มไว้ในอ้อมแขน ครั้นพอหันหลังกลับมา จึงเจอเสือยืนมองตนตาขวางอยู่หน้าประตู
“เหตุใดจึงมิให้บ่าวหญิงมาพาแม่หญิงกลับห้อง หรือเฮือนคำมิมีบ่าวหญิงให้เรียกใช้ คุณพระจึงจักต้องมาอุ้มเสียเอง”
เสือมองสิงห์คำด้วยแววตาแข็งกร้าว เมื่อเลื่อนสายตาลงมองใบหน้าพริ้มเพราของแม่หญิงคนงาม แววตาจึงอ่อนลง
สิงห์คำมองเห็นสายตานั้นอย่างชัดเจน ความมิพอใจจึงทบทวีจนกลายเป็นความโกรธ
“มึงมิต้องยุ่ง” สิงห์คำจงใจรวนอย่างมิยอมลดราวาศอก ก่อนเดินผ่านชานเรือนไปยังห้องนอนของปานฤทัย
อินตาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นความไม่ลงรอยกันของชายหนุ่มทั้งสอง เขาเดินออกจากห้องพระมายืนพูดกับเสืออย่างแผ่วเบา
“ยังมิรู้ว่าผู้ใดทำใช่หรือไม่”