จนกว่าหัวใจจะตรงกัน

1906 คำ
"อุ๊ย!! เจท ไอติมตกใจหมดเลย...ขวัญเอ้ยขวัญมา" ไอติมที่เดินก้มหน้าก้มตาไม่ได้มองทาง ร้องตกใจมือทาบอกเมื่อเจทเดินมาดักหน้าตรงทางเดินที่ตรงไปยังลานจอดรถ "......." ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากชายหนุ่ม นอกจากสายตาคมที่จ้องมองนิ่งเรียบ "เจท!" หญิงสาวที่เริ่มมีสติกลับมา เรียกขานคนที่ยืนตรงหน้า "........" แต่เขายังคงนิ่งเหมือนเดิมไม่พูดไม่จา "เจท!!...เป็นอะไรหรือเปล่า" เมื่อไม่มีทีท่าขยับนอกจากดวงตาที่จ้องมอง ไอติมจึงสัมผัสลงแขนแกร่งนั้นให้เขารู้สึกตัว "ฮึ! ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะไอติม" ชายหนุ่มที่ยืนเหม่อสติไม่อยู่กับตัว ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อหญิงสาวเพิ่มระดับเสียงในการเรียกขาน "ไอติมเรียกเจทนานแล้วนะ...เจทไม่สบายหรือเปล่า" หญิงสาวก้าวขาขยับเข้าไปใกล้ ใช้มืออังหน้าผากวัดอุณหภูมิ สายตามองหน้าชายหนุ่มที่ตัวสูงอย่างห่วงใย "เปล่า ๆ เจทสบายดี...แล้วนี่ไอติมจะกลับหรือยัง" เจทรีบดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยถามทันที พร้อมกับจับข้อมือเล็กของไอติมก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระ "จะกลับแล้ว" หญิงสาวเอ่ยบอกให้เขารับรู้ "งั้นเดี๋ยวเจทไปส่ง" หน้าที่ประจำที่เจทนั้นทำ การรับส่งหญิงสาวให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัย ด้วยการฝากฝังจากแม่และพ่อของเธอที่ไว้ใจ ผู้ชายคนเดียวที่ได้เข้าใกล้ลูกสาวของพ่อเจโดยไม่มีข้อโต้แย้งเพราะวัยเด็กที่คุ้นเคย "อืม...แต่พากินข้าวก่อนได้ไหม ไอติมหิวอ่ะ" หญิงสาวตอบรับและร้องขอ มือเรียวลูบท้องอย่างสื่อความหมาย ส่งสายตาออดอ้อนต่อชายหนุ่ม จนเขานั้นมีรอยยิ้มกับท่าทางของเธอ "ได้สิ แล้วไอติมอยากกินอะไรล่ะ" ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะเดินไปยังรถยนต์ที่จอดในลานจอดรถกว้าง "อืม~~ไอติมอยากกินอะไรร้อน ๆ อ่ะ" "กินน้ำร้อนอะเหรอ" ชายหนุ่มพูดขึ้นติดตลกแย้งทันที "เจท~~" แต่หญิงสาวนั้นไม่ฮา แสดงสีหน้าหน่าย ๆ และแง่งอน "โอ๋ ๆ เจทหยอกเล่น...อย่างอนเลยนะ" เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงเจทจึงง้อเธอทันทีอย่างไม่อิดออดพร้อมกับใช้มือเกาคางเธอดั่งลูกแมวน้อย "เดี๋ยวไอติมตีตายเลย" หญิงสาวพูดขึ้นเสียงแข็ง ชี้หน้าคาดโทษแต่เจทก็ไม่ได้เกรี้ยวโกรธ กลับอมยิ้มชอบใจกับสีหน้าของเธอ "เจทให้ไอติมตีตลอดชีวิตยังได้" ชายหนุ่มเปิดประตูรถให้เธออย่างสุภาพบุรุษ คาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอเรียบร้อย พูดหยอดในระยะประชิดใบหน้าที่อยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นกระทบผิวหน้าของกันและกัน ทำเอาหญิงสาวนั้นใจเต้นแรง หายใจติดขัด การเต้นของหัวใจไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย เธอแทบเสียการทรงตัวเมื่ออยู่ใกล้เขาแบบนี้ "จะ จะ เจทพูดอะไร?" หญิงสาวที่ใจเต้นแรงเมื่อได้สบตาพูดออกมาไม่ชัดถ้อยคำ ยิ่งสายตาคมจ้องมองหน้า ยิ่งทำเอาเธอนั้นไปไม่เป็น ...สองมือกำสายคาดนิรภัยแน่นเพราะความเกร็ง การถูกจ้องมองไม่วางตา ใบหน้าคมค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก มือที่เกร็งกำสายคาดแน่น ปลายเท้าจิกลงพื้นรถ ดวงตากลมหลับสนิท เหมือนไม่อยากจะมองเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้แต่แอบลุ้นอยู่ในใจเท่านั้น "ไอติมเป็นอะไรเหรอ" ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงแหบดังชิดหู ... สิ่งที่เธอคิดไม่ได้เกิดขึ้นเธอจึงลืมตาขึ้นมองด้วยตาเดียว และพบกับใบหน้าคมที่ยืนยิ้มอยู่นอกรถ "ปะ ปะ เปล่า" หญิงสาวรีบปฏิเสธแบบติดขัด "แล้วทำไมหน้าแดง" ชายหนุ่มแซวเธอทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันเกิดจากอะไร การกระทำที่เขาพลั้งเผลอลืมตัว แต่ดึงสติกลับคืนมาได้ว่าหากทำลงไปผลที่ตามมาอาจจะทำให้เขาสูญเสียเพื่อนและเจ็บปวด จึงเลี่ยงต่อการกระทำที่ฉาบฉวยด้วยอารมณ์ชั่ววูบ "ก็บอกว่าเปล่า อากาศมันร้อน! เจทก็มัวแต่ยืนเก๊กหล่ออยู่ได้ สตาร์ทรถแล้วเปิดแอร์สักทีสิ"หญิงสาวให้เหตุผลและต่อว่าเขากลบเกลื่อนความเขินอาย "ครับผม...จะไปเดี๋ยวนี้แหละคุณผู้หญิง" เจทปิดประตูรถให้ ไม่วายจะเอ่ยแซว เดินอ้อมไปอีกฝั่งและหันมองเข้าไปในรถด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นท่าทางน่ารักและแก้มแดงๆ ของเธอ "เจทบ้า...ใจแม่งก็เต้นแรงจัง" หญิงสาวบ่นพึมพำเบา ๆ ได้ยินเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อการกระทำที่อ่อนโยนคำพูดหวานหูทำให้หัวใจเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ "บ่นอะไร" ชายหนุ่มที่เข้ามานั่งในรถเอ่ยถามทันทีเมื่อปากของเธอนั้นขมุบขมิบไม่หยุด "บ่นอะไรไม่มี๊...ไปเร็วดิไอติมหิว" "ครับผม" ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย วางมือบนหัวของหญิงสาวจับโยกเบา ๆ อย่างน่ารัก เขาชอบทำแบบนี้ประจำจนคุ้นเคย ทำได้เพียงเท่านี้ไม่คิดจะเกินเลยโดยความตั้งใจ...จนกว่าหัวใจของเขาและเธอจะตรงกัน "แม่แนนขา สวัสดีค่ะ" ลูกสาวผู้แสนสดใสของแม่แนนวัยสามสิบเจ็ดปีที่ยังดูสะพรั่ง แม้จะยังมีริ้วรอยเจือจางตามวัย แต่ก็ยังดูสวยสะกดตา เดินไปไหนมาไหนกับลูกสาวผู้คนยังทักผิดนึกว่าพี่สาวกับน้องสาว "อ้าว...ลูกสาวมาแล้ว" แม่แนนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเงยหน้ามองเมื่อเสียงสดใสของลูกสาวคนโตดังขึ้น "แม่แนนทำอะไรอยู่คะ?" หญิงสาววัยสิบเก้าเอ่ยถาม พร้อมกับหย่อนก้นลงนั่งเคียงผู้เป็นแม่เลี้ยงที่เธอนั้นรักดุจแม่ของตัวเอง โอบกอดและหอมแก้มด้วยความรักที่เธอมอบให้ "นั่งเล่นตามประสาคนแก่...วันนี้กลับเกือบมืดเลยนะ" คนเป็นแม่เอ่ยถามพลางมือลูบหัวลูกสาว ที่กำลังเอนตัวลงนอนหนุนตัก สีหน้าที่เคยสดใส คำพูดที่มากมายช่างสรรหา แต่ว่าทำไมวันนี้ลูกสาวคนโตดูเงียบปากและเศร้าหมอง "เฮ้อ" ลูกสาวที่นอนหนุนตักทอดถอนหายใจแรงอย่างเหนื่อยหน่าย จนคนเป็นแม่ที่ก้มมองนั้นเริ่มห่วงใย อะไรที่ลูกสาวที่แสนสดใสร่าเริงต้องเหงาหงอย "ไอติมเป็นอะไรคะ หนูดูสีหน้าไม่ดีเลย มีอะไรหรือเปล่าคุยกับแม่ได้นะ" คนเป็นเเม่ถามมือหนึ่งพาดลงร่องเอวคอด อีกมือลูบหัวลูกสาวเหมือนกล่อมเด็กน้อยให้นอนหลับ ... ลูกสาวที่โตตามวัยเข้าสู่วัยหนุ่มสาวแรกรุ่น สิ่งที่ทำให้กลุ้มใจที่คนเป็นแม่สามารถเดาได้ไม่ยากคงไม่พ้นเรื่องของหัวใจ "แม่แนนคะ..." หญิงสาวพลิกตะแคงตัวแล้วหันหน้าเข้าหาหน้าท้องของผู้เป็นแม่ โอบกอดรอบเอวแน่นเหมือนเธอนั้นต้องการที่ปรึกษา ต้องการระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจกับใครสักคนที่สามารถรับฟังและชี้แนะแนวทางให้เธอได้ "หื้ม?" ผู้เป็นแม่ตอบกลับ ก้มหน้าและจูบลงกลางหน้าผากของลูกสาวอย่างอบอุ่น "ไอติมไม่รู้จะพูดยังไงดี...ไอติมไม่รู้ว่าสิ่งที่ไอติมรู้สึกมันจะมีผลเสียในอนาคตและความสัมพันธ์หรือเปล่า" หญิงสาวมุดหน้ากับหน้าท้องของผู้เป็นแม่แล้วพูดขึ้นอย่างอ้อม ๆ "อะไรที่หนูหมายถึง?" ผู้เป็นแม่ย้อนถาม "สมมตินะคะ...อันนี้ไอติมสมมติ แม่แนนอย่าเข้าใจผิด" หญิงสาวเงยหน้ามองผู้เป็นแม่และบอกย้ำ "ว่ามาสิ...แม่จะตั้งใจฟัง" ผู้เป็นแม่ย้ำกับสิ่งที่ลูกสาวบอกเพื่อให้เธอมั่นใจว่าสิ่งที่เธอจะเล่ามันแค่เรื่องสมมติ แต่คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมไม่คิดเชื่อ เเต่เพื่อความสบายใจของลูกสาวจึงต้องตามน้ำ "คือถ้าเรามีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง แล้ว.....คือแบบว่า....ไอติมจะพูดยังไงดีล่ะ คือ เราไปไหนมาไหนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เที่ยวเล่นด้วยกัน และเวลาที่ห่างกันมันจะรู้สึกว่าไม่อยากจากไปไหน มันจะรู้สึกหว้าเหว่ทุกครั้งที่รู้ว่าเราต้องจากกัน แม่แนนว่ามันคืออะไรคะ?" หญิงสาวเล่าเรื่องราวให้แก่ผู้เป็นแม่ได้ฟัง...เรื่องเล่าทำเอาผู้เป็นแม่นั้นยิ้มอ่อน หอมลงพวงแก้มสวยของลูกสาวอย่างแสนรัก เธอเข้าใจสิ่งที่ลูกสาวนั้นสื่อความหมายได้เป็นอย่างดี "ลูกสาวของแม่โตแล้วสินะ" แม่แนนที่มองลูกสาวด้วยรอยยิ้ม เมื่อสิ่งที่ลูกสาวพูดบอกนั้นคือการมีความรัก "ไอติมก็โตนานแล้วนะคะ" หญิงสาวลุกนั่งตัวตรงมองหน้าผู้เป็นแม่นิ่งเรียบ "แม่รู้ว่าหนูโตแล้ว ตรงนี้ของหนูก็กำลังจะโตตาม" ผู้เป็นแม่พูดพร้อมกับชี้ไปยังอกข้างซ้ายของลูกสาว "..............." เธอก้มมองตามมือแม่คิ้วขมวด "ความรักเป็นสิ่งสวยงาม เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจของเราให้ชุ่มฉ่ำ แต่ถ้าหากเราถลำลึกเกินควรมันอาจจะทำให้เราบอบช้ำ....แม่ไม่ห้ามนะหากหนูจะมีความรัก หนูมีได้แต่หนูมีความรักที่มาพร้อมกับสติ" ผู้เป็นแม่จับมือลูกสาวกอบกุมและพูดยาวอย่างพร่ำสอนและเตือนสติ ".................." หญิงสาวมองหน้าผู้เป็นแม่เเละตั้งใจฟัง "รักเขาได้ก็ต้องรักตัวเองด้วย...อย่าเทใจให้ใครคนนั้นร้อยเปอร์เซนต์ รักให้เป็นด้วยวิจารณญาณ รักแล้วต้องเผื่อเจ็บเพราะไม่มีอะไรจะสมหวังไปเสียทุกอย่าง เพราะถ้าหากวันหนึ่งวันใดที่ลูกสาวของแม่รักและเทใจให้เขาคนนั้นไปเสียหมด ซึ่งยังไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร เราอาจจะไม่ได้ครองคู่กันตลอดชีวิต หนูต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความเสียใจ ฉะนั้นหากรักใครแล้วให้ค่อย ๆ ศึกษานิสัยใจคอกันก่อน ไม่ต้องรีบร้อนผลีผลาม....ไฟที่มันลุกโชนทันทีสามารถมอดไหม้ฟืนได้ไวกว่าไฟที่ค่อย ๆ ติดทีละน้อย มันก็เหมือนกับความรักที่ฉาบฉวยติดเร็วและดับไวเช่นกัน" ความรักของแม่ที่พยายามพูดสอนด้วยการชักแม่น้ำทั้งห้า ลูกสาวที่เข้าสู่วัยรุ่นและหัวสมัยใหม่จะพูดคุยด้วยอารมณ์นั่นไม่ได้ ต้องค่อย ๆ พูดบอกและสั่งสอนด้วยความรักและเข้าใจให้ลูกสาวได้คิดตาม "ไอติมเข้าใจแล้วค่ะ...รักแม่แนนนะคะ" หญิงสาวที่ตั้งใจฟังคำพูดของแม่ที่เธอรัก พยายามซึมซับคำสอนเข้าหัวด้วยความตั้งใจ เธอเข้าใจความหมายในคำพูดที่แม่ที่รักพร่ำบอก "แม่ก็รักหนูค่ะ" หญิงสาวหอมแก้มของแม่ สองแม่ลูกโผเข้ากอดกันด้วยความรักที่ต่างคนต่างมอบให้กัน แม้จะไม่ใช่แม่เเท้ ๆ แต่มนพิชชาก็รักหนูไอติมดุจลูกแท้ ๆ เธอยินดีเป็นแม่ให้ความอบอุ่นแก่เธอไม่เสื่อมคลาย *****8
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม