9
คลุมถุงชน
หลังจากที่อัญชันกับคีตะวันยอมที่จะแต่งงานตามความต้องการของพ่อกับแม่ของพวกเขา วันนี้จึงเป็นวันที่ทั้งสองจะต้องมาทำความรู้จักกันก่อนที่จะได้ร่วมหอกันซึ่งอัญชันกับคีตะวันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรืออยากมาเลยสักนิดแต่ทั้งสองได้สัญญากับพ่อและแม่ไว้แล้วพวกเขาทั้งสองต้องทำตามที่ได้สัญญาไว้
“แม่ไม่เห็นต้องแต่งหน้าขนาดนี้เลย หน้าหนูจะเป็นลิเกแล้วเนี่ย” อัญชันรู้สึกหงุดหงิดทั้งๆ ที่แม่ไม่ได้แต่งหน้าอะไรมากแค่ซับหน้าให้อัญชันกลับรู้สึกหงุดหงิด
“แม่ก็ไม่ได้เติมอะไรแม่แค่ซับหน้าให้หนูเท่านั้นเองนะลูก” เบญจมาศรู้ว่าลูกสาวกำลังหงุดหงิดเพราะสิ่งที่อัญชันกำลังยอมทำคือสิ่งที่ฝืนใจของอัญชันเธอจึงไม่ดุด่าหรือตำหนิอะไรลูกสาวของเธอ
“เสร็จหรือยังทุกคน รถพร้อมแล้วนะ” อนันต์ดูสดใสร่าเริงดีใจอย่างมีความสุขหลังจากที่อนันต์ไม่ได้ยิ้มอย่างนี้มานานมากแล้ว
“เสร็จแล้วค่ะ” พวงชมพูวิ่งมานั่งรอบรถพร้อมกับพูดไปด้วย
“อย่าวิ่งสิชมพูเดี๋ยวก็ล้มหรอกลูก” เบญจมาศที่เห็นลูกสาววิ่งก็รีบเตือนด้วยความเป็นห่วง
เมื่อทุกคนขึ้นรถกันหมดอนันต์ก็เคลื่อนรถออกจากบ้านทันที ซึ่งสถานที่ที่ทางบ้านของคีตะวันนัดเป็นร้านอาหารริมน้ำที่บรรยากาศหรูหรามากๆ ยิ่งตอนเย็นแสงไฟกระทบสายน้ำยิ่งทำให้บรรยากาศเหมาะมากๆ ที่จะให้ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวมานั่งดินเนอร์ทำความรู้จักกันนั่นคือสิ่งที่พ่อกับแม่คิดแต่ไม่ใช่สิ่งที่อัญชันกับคีตะวันคิดเลยสักนิดเพราะวันนี้ทั้งสองมาเพื่อให้เสร็จๆ ไปเท่านั้น
เมื่อครอบครัวของอัญชันมาถึงพนักงานก็พาทั้งสี่คนเดินไปที่โต๊ะที่ทางครอบครัวของคีตะวันนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีค่ะพี่เบญพี่อนันต์ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” แพรพิไลเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ทักทาย
“คีย์ลูกไหว้คุณลุงคุณป้าสิลูก” คีตะวันยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท เมื่ออัญชันเห็นหน้าของคีตะวันเธอก็พยายามนึกว่าเธอเคยเจอคีตะวันที่ไหนแต่เธอนึกเท่าไรก็ยังนึกไม่ออกอาจจะเป็นเพราะเธอทำอะไรหลายอย่างและมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นกับเธอในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งสองครอบครัวทำความรู้จักกันอย่างสนิทสนม (หมายถึงพ่อกับแม่ที่สนิทสนมแต่ไม่ใช่กับอัญชันและคีตะวันแน่นอนเพราะอัญชันจำได้แล้วว่าคีตะวันคือผู้ชายที่เมาแล้วขับรถเฉี่ยวเธอจนเกือบทำให้เธอไปสอบไม่ทัน)
“นี่พ่อคะทำไมพ่อไม่บอกว่าคนที่หนูแต่งงานด้วยเป็นตาเมาแล้วขับคนนี้ ถ้าอัญชันรู้ไม่มีทางที่อัญชันจะยอมมาวันนี้แน่ๆ” อัญชันพูดขึ้นมาเสียงดัง
“หนูอัญชันน้าต้องขอโทษแทนพี่เขาด้วยนะลูกที่ทำนิสัยแย่ๆ อย่างนั้นกับหนู” แพรพิไลรีบกล่าวขอโทษอัญชันทันทีแต่อัญชันกลับหน้านิ่งจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าเธอจะยอมหรือไม่ยอม
“ถ้าผมรู้ว่าคนที่ผมแต่งงานเป็นยัยเด็กปากจัดผมก็ไม่ยอมมาเหมือนกัน” คีตะวันพูดพร้อมกับหันหน้าไปที่แม่น้ำที่แสงไฟส่องแสงแวววาว ทั้งสองพูดจบก็หันหน้าหนีจากตรงนั้นโดยไม่มองหน้ากัน
“อัญชันอย่าพูดอย่างนั้นสิลูก” เบญจมาศเตือนลูกสาวของเขาที่เสียมารยาท
“อย่าว่าอัญชันเลยพี่เบญถูกของหนูอัญชันคีตะวันนิสัยไม่ดีอย่างที่หนูอัญชันพูดนั่นแหละ แพรรู้จักนิสัยของลูกชายดี” แพรพิไลดูชอบอัญชันมากๆ
หลังจากที่ทั้งสองครอบครัวทานข้าวกันเสร็จก็นัดวันที่จะไปดูฤกษ์แต่งงานในทันที อัญชันกับคีตะวันแม้จะไม่อยากแต่งงานแต่เขาทั้งสองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปเพราะก่อนที่จะมาทั้งสองได้ทำสัญญากับพ่อและแม่ของทั้งคู่ไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะแต่งงาน
อัญชันกลับถึงบ้านก็ไม่พูดไม่จาขึ้นห้องไปเงียบๆ จนคนเป็นพ่อเป็นแม่รู้สึกผิด
“พี่เราทำให้ลูกไม่มีความสุขมากเกินไปหรือเปล่าดูอัญชันเงียบๆ แปลกๆ นะ” เบญจมาศพูดกับสามีของเธอ
“อัญชันเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเองจนเคยตัว ถ้าเราปล่อยไว้มีหวังไม่เป็นผู้เป็นคนแน่นอนเราต้องดัดนิสัยลูกบ้าน” อนันต์พูดพร้อมกับจับไหล่ของภรรยาเพื่อบ่งบอกว่าที่ทั้งคู่ทำกับลูกมันต้องดีต่อลูกแน่นอน
“ทำไมต้องเป็นตาลุงเมาแล้วขับด้วย ทำไมเราโชคร้ายอย่างนี้แล้วเราจะไปบอกเรื่องที่เราแต่งงานกับพี่โดมยังไง เราทำผิดต่อพี่โดมมากไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะแต่งไปแล้วค่อยเลิกก็ได้” อัญชันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาพร้อมกับพูดคนเดียว
คีตะวันกลับมาถึงบ้านก็รู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายที่ต้องมาแต่งงานกับเด็กปากจัดซึ่งเป็นนิสัยผู้หญิงที่เขาไม่ปรารถนาและไม่ชอบ
“ทำไมเราโชคร้ายจะได้เมียทั้งทีได้เด็กปากดีมาเป็นเมีย หุ่นก็แบนยิ่งกว่าทีวี ไม่เร้าใจเสี่ยคีย์เลยโว้ย แต่ก็ช่างเถอะก็แค่แต่ง แต่งงานก็เฟี้ยวได้ไม่เห็นแปลก” คีตะวันที่ยังไม่ทิ้งลายเสือของเขาพูดไปหัวเราะไปเหมือนไม่ได้เป็นทุกข์ร้อนอะไรกับการแต่งงานแล้ว เพราะในความคิดของคีตะวันตอนนี้เขาทำเพื่อเงินเพื่อมรดกเท่านั้น
คีตะวันโทรหาเฟย่าเพื่อให้เธอมาหาที่บ้านเพื่อให้เฟย่ามาบำเรอรักให้เขา แต่เมื่อเฟย่ามาถึงหน้าบ้านแม่ของคีตะวันก็ไล่ตะเพิดออกจากบ้านและสาเหตุที่คีตะวันไม่นัดเฟย่าไปที่คอนโดเป็นเพราะคอนโดของคีตะวันเป็นของแม่และตอนนี้แพรพิไลยึดคืนเรียบร้อยแล้ว