อังคณาเดินเข้ามาสมทบ พลางกดยิ้มมุมปากตอนที่กวาดตามองชายตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“หากงานแต่งล่มขึ้นมา เธอรับผิดชอบไหวเหรอ?” พอขอร้องไม่ได้ผลก็ออกลูกพาลพาโลเสียแล้ว
ณิรินยิ้มมุมปาก “ถ้าล่มขึ้นมาจริงๆ ก็ดีสิคะ พี่สาวฉันไม่ควรร่วมหัวจมท้ายกับผู้ชายไม้เลื้อยอย่างคุณ”
“นี่ณิริน เธอปลีกวิเวกนานแล้ว เธอไม่เข้าใจเรื่องทางโลกหรอกนะ”
ณิรินกลอกตา ส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่ใช่ฤๅษีค่ะ ฉันเข้าใจโลกดีกว่าคุณแน่นอน”
“ป่วยการต่อปากต่อคำกับไอ้หมอนี่ เธอกลับบ้านเถอะ ให้พี่ตะวันเป็นคนตัดสินใจ” อังคณาพูดแทรก แล้วก็ทำท่าจะรั้งณิรินเดินหนี
“หากเธอทำแบบนั้น ‘บริษัทม่านไม้ของพี่สาวเธอเจ๊งแน่” ณิรินขมวดคิ้ว ท่าทางมั่นอกมั่นใจของติณทำให้ณิรินสะดุด ต้องมีบางอย่างที่เธอยังไม่รู้ เกี่ยวกับเรื่องที่สองตระกูลจะดองกันแน่ๆ
คาลวินขมวดคิ้ว เขาได้ยินชัดๆ ชื่อบริษัทนั่นคุ้นหูพิกล คาล วินนิ่งคิด ‘ม่านไม้’ เขาล้วงโทรศัพท์ออกมาดูข้อความที่มารดาส่งให้ คาลวินกดยิ้มมุมปาก เป็นชื่อบริษัทที่เขาต้องมาเจรจาเพื่อร่วมทุนด้วยนั่นเอง ความเบื่อหน่ายกับภาระที่กดทับบนสองบ่าหายเป็นปลิดทิ้ง การมาครั้งนี้ของเขาน่าจะมีอะไรสนุกๆ ให้ทำเยอะแยะเลยทีเดียว
“อัง กลับกันเถอะ ป่วยการรั้งหมอนี่ไว้แล้ว” ณิรินหันไปพูดกับอังคณา
ติณถึงขั้นข่มขู่เพื่อให้เธอหยุดความคิดปั่นป่วนเขา
บางทีลุงกับป้าน่าจะให้คำตอบเรื่องนี้กับเธอได้ การจับผิดครั้งนี้ประสบความสำเร็จ แต่การเอาผิดเขาดูเหมือนว่าจะล้มเหลว
ตอนที่ 4.ความลับเบื้องหลังงานวิวาห์
“ท่าทางแกเครียดๆ นะณิริน?” อังคณาเป็นห่วง สีหน้าของณิรินเคร่งเครียดเหมือนกำลังคิดหนัก
“ฉันว่ามันแปลกๆ นะ หมอนั่นมั่นใจอะไรหนักหนา ต่อให้ฉันแฉขึ้นมาจริงๆ งานวิวาห์ของเขากับพี่ตะวันก็จะไม่มีทางล่ม”
ณิรินพยายามวิเคราะห์คำพูดของติณ ท่าทางหยิ่งผยองนั่นมันติดค้างอยู่ในใจของเธอ
“ฉันก็คิดว่างั้นแหละ พี่ตะวันไม่ใช่คนที่จะชอบผู้ชายเหลาะแหละแบบหมอนั่นได้เลย” อังคณาเห็นด้วย ทานตะวันเป็นผู้หญิงสมบูรณ์แบบ เก่งมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมถึงตกลงคบหากับผู้ชายไม้เลื้อยอย่างติณได้ ผู้ชายคนนั้นเกิดและเติบโตมาในตระกูลผู้ดี เขามีดีแค่เรื่องเดียวคือนามสกุล นอกนั้นแทบหาความดีไม่เจอเลย
“ฉันต้องกลับไปถามพี่ตะวันให้รู้เรื่อง”
“มันก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ แกก็คุยดีๆ นะ ฟังเหตุผลของพี่ตะวันก่อน”
ณิรินพยักหน้าเห็นด้วย เอเองก็มีส่วนผิด ทั้งที่บ้านอยู่ในรั้วเดียวกัน แต่เธอกับครอบครัวของทานตะวันกลับห่างเหินกัน แทบไม่ไปมาหาสู่กันเลย
อังคณาจอดรถยนต์หน้ารั้วบ้าน “ฉันกลับไปฟังข่าวที่บ้านฉันนะ คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม”
“อือ” ณิรินเห็นด้วย
เรื่องในครอบครัวเธอ รู้น้อยยิ่งดี มันไม่ใช่เรื่องที่โพนทะนาได้ด้วย
ณิรินเดินตามถนนคอนกรีตที่ทอดยาวไปถึงโถงหน้าบ้าน เกือบสามปีเต็มที่เธอไม่ได้ใช้เส้นทางนี้เลย ส่วนใหญ่เธอจะเดินเลาะไปข้างกำแพง ที่ไม่ได้ผ่านจุดนี้ ณิรินสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างซึ่งไม่แน่ใจว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่
ไม้พุ่มที่เคยงอกงามสองข้างทาง สมัยที่เธอเป็นนักศึกษานั้น บัดนี้แห้งเหี่ยว เหมือนไม่มีคนดูแลเหมือนสมัยก่อน ณิรินเงยหน้ามองตัวตึกสีขาวที่เคยสว่างสดใส สีของตัวบ้านหมองและมีตะไคร้เขียวๆ ปละปลาย เธอขมวดคิ้วยกนิ้วขึ้นกัดเล็บ เวลาเกือบห้านาทีนั้น ณิรินยังไม่เห็นสาวใช้สักคนเลย
บ้านหลังใหญ่ที่เคยมีผู้คนพลุกพล่านเงียบเหงาแปลกๆ
“คุณลุงขา คุณป้าขา” ณิรินส่งเสียงเรียก หลังก้มหน้ามองนาฬิกาที่ข้อมือ เข็มเส้นชี้กึ่งกลางเลขเก้ากับเลขสิบ เข็มยาวก็อยู่ที่เลขแปด มันยังไม่ดึกหรอก เธอแน่ใจว่าสมาชิกในครอบครัวของทานตะวันน่าจะยังไม่นอน ณิรินเดินเลยไปที่ห้องโถง สมัยก่อนเธอมักจะมานั่งคุยเล่นกับทานตะวัน และดูรายการทีวีโปรดด้วยกัน
แต่ตอนนี้...บ้านทั้งหลังทำไมถึงเงียบนัก
ไฟฟ้าที่เคยเปิดทุกดวง ก็เหลือแค่ไม่กี่ดวงที่เปิดทิ้งไว้
“เอ้า!! รินทำไมมาเสียดึกเลยละ?” ทานตะวันเดินมาหา พลางยิ้มจืดๆ
“คนไปไหนกันหมดคะพี่ตะวัน?” ณิรินไม่ได้ตอบคำถามพี่สาว เธอย้อนถามแทน
“ดึกแล้วนี่ น่าจะนอนกันแล้วมั้ง?” ทานตะวันตอบเลี่ยงๆ
“คุณลุงกับคุณป้าด้วยเหรอคะ?” ณิรินถามต่อ
“พ่อแม่อยู่ที่ห้องโถงน่ะ” ทานตะวันตอบแล้วก็เสหลบตา
“พี่ตะวันทำอะไรอยู่คะ?” ณิรินถามแล้วก็จ้องหน้า
“พี่ทำงานค้างไว้น่ะ คอแห้งเลยออกมาหาน้ำกิน รินจะมาหาพ่อกับแม่พี่เหรอไง?” ทานตะวันเสหลบตาแล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่น
ณิรินชั่งใจ เธอไม่ควรพูดเรื่องที่ทำให้พี่สาวไม่สบายใจตอนนี้
“รินไปหาลุงกับป้าก่อนดีกว่าคะ ไม่เจอกันนานแล้วรินคิดถึง”
ณิรินเดินเลี่ยงไป เธอเริ่มไม่สบายใจเพิ่มขึ้น เฟอร์นิเจอร์ที่เคยเห็นหายไปจากที่ ทางที่เธอเดินกว้างขวาง และดูโล่งเกินความจำเป็น
“ริน!!” ทานตะวันเรียกณิรินไว้
พอหันมามองสบตาทานตะวัน รอยกังวลในแววตานั่นก็ทำให้ณิรินพูดไม่ออก ต้องเกิดอะไรขึ้นที่นี่แน่ๆ เธอห่างเหินผู้มีพระคุณจนไม่รู้เรื่องความลำบากที่เกิดขึ้นเลย
“ขอรินคุยกับลุงกับป้าก่อนนะคะ”
ณิรินตัดบท รีบซอยเท้าถี่ๆ หัวใจเธอเต้นแรง มีความรู้สึกหน่วงๆ ในอก
แววตาญาติผู้ใหญ่ของเธอยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ป้าดูโทรมลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังแข็งแรงดี ณิรินยกมือไหว้ลุง แล้วก็ทรุดนั่งเพื่อสวมกอดป้า ทับแก้วอ้าแขนรับร่างหลานสาว แล้วก็พึมพำเสียงเครือ “นึกยังไงมาหาป้ากับเสียค่ำเลย”
“รินคิดถึงลุงกับป้าค่ะ รินผิดเองที่อยู่ใกล้กันแท้ๆ แต่ไม่แวะมาหาบ่อยๆ”
“ป้าเห็นรินยุ่งๆ เลยไม่อยากรบกวน”
ทับแก้วยังเสมอต้นเสมอปลาย นิสัยไม่ชอบรบกวนใคร แถมยังขี้เกรงใจด้วย
“ลุงกับป้าสบายดีนะคะ”
ตะวันถอนใจแรงๆ “ตามอัตภาพน่ะ ไม่ป่วยก็ดีแล้ว”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมบ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ แถมยังทรุดโทรมกว่าเมื่อก่อนมากเลยค่ะ” ณิรินตัดสินใจถาม ท่าทางลุงกับป้าแปลกไป สีหน้าเคร่งขรึมนั่นอีก ตะวันเป็นผู้ใหญ่ใจดี อารมณ์ดีและไม่ค่อยมีเรื่องทุกข์ใจ
“รินมาคุยกับพี่แทนเถอะ คุณพ่อ คุณแม่ก็พักผ่อนได้แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ ตะวันหาทางออกได้” ทานตะวันโผล่มาขัดจังหวะ พร้อมกับรั้งณิรินไปอีกทาง
ณิรินยอมเดินตามทานตะวันไป แม้จะยังคงรู้สึกเป็นห่วงญาติผู้ใหญ่ทั้งสองท่านอยู่
“ช่วงนี้ที่บริษัทมีปัญหา” ทานตะวันเกริ่น แล้วก็หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้
ณิรินลากเก้าอี้อีกตัวมาตั้งใกล้ พร้อมกับทรุดนั่ง
“หนักมากเลยหรือคะ มีอะไรให้รินช่วยไหมคะ?”
“มันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว ปัญหาที่เหมือนดินพอกหางหมู พี่พยายามหารอยรั่ว กว่าจะเจอเราก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว” ความไว้ใจที่มอบให้คนขี้โกง เกือบทำให้บริษัทที่บิดาฟูมฟักมาล่มสลาย ทานตะวันยอมรับความช่วยเหลือจากติณ แลกกับการเป็นคู่หมั้นจอมปลอมของเขา เงินก้อนนั่นช่วยอุดรอยรั่วได้ แต่ไม่สามารถฟื้นฟูบริษัทที่ใกล้เจ๊งแล้วขึ้นมาได้
“เอาเงินเก็บรินไปค่ะ รินไม่เดือดร้อนอะไรพี่ตะวันกับคุณลุงคุณป้าจะได้ไม่เครียด”
ทานตะวันส่ายหน้า “ปัญหาพี่มันใหญ่กว่านั้นอีกริน”
เสียงพึมพำกับใบหน้าที่ก้มต่ำ ณิรินสอดมือกอดเอวทานตะวันไว้ “มีอะไรให้รินช่วยไหมคะ?”
ทานตะวันผลักณิรินออกห่างแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่รู้สิ คงต้องรองานแต่งงานของพี่ผ่านไปก่อน จากนั้นค่อยว่ากันอีกที”
ณิรินเบิกตาโต เธอต้องขัดขวางไม่ให้ทานตะวันเดินลงไปในขุมนรก “พี่ตะวันแน่ใจแล้วเหรอคะ หมอนั่นอาจจะไม่ใช่คนดีก็ได้ค่ะ”
รอยยิ้มเซียวๆ จากพี่สาว “บางทีคนดีก็ไม่ใช่คนที่เราอยากแต่งงานด้วยหรอก”
หัวคิ้วเรียวสวยวิ่งมาชนกันกลางหน้าผาก “พี่ตะวันหมายความว่า พี่เองก็ไม่ได้อยากแต่งงานใช่ไหมคะ?”