แต่แล้วเสียงเคาะประตูกระจกก็ดังขึ้น สิรภพรีบลุกขึ้นนั่งและมองไปที่ประตูแล้วเห็นเงารางๆ ของอีกฝ่ายที่กำลังยืนอยู่หน้าห้อง
“อยู่ในห้องไหมสิ” อิทส่งเสียงร้องถาม
“...” เฮ้อ! พอจะนอนก็มีมารมาผจญซะแล้ว เซ็ง!
“นายทานอะไรยัง?” คนตัวสูงยังตื้อไม่เลิกเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในห้องแน่นอน ดูจากรองเท้าหน้าห้องก็แสดงว่าเจ้าตัวยังอยู่ในห้องแน่นนอน
“...”
“รองเท้าก็อยู่ หลับรึเปล่านะ” จริงๆ แล้วเขาอยากจะเคาะประตูถามอีกครั้ง แต่พอคิดดูอีกทีอีกฝ่ายอาจจะหลับอยู่ ชายหนุ่มจึงลดมือที่จะเคาะประตูเรียกลง
เดี๋ยวค่อยมาเรียกอีกครั้งตอนที่เย็นกว่านี้ก็แล้วกัน
“ฉันยังไม่ได้ทานข้าว” แต่ในขณะที่อิทกำลังชั่งใจ จู่ๆ เสียงของคนในห้องก็ตอบกลับมาซะก่อน ร่างสูงรีบวิ่งไปที่หน้าห้องของอีกฝ่ายทันที
“ตื่นอยู่หรอ?” อิทเอ่ยถามอย่างแปลกใจพลางหยุดยืนตรงหน้าประตูเหมือนเดิน แต่ไม่ได้ถือวิสาสะเปิดเข้าไปในห้องแต่อย่างใด
เมื่อกี้คุยตั้งนานทำไมไม่ตอบนะ เป็นอะไรของเขากันแน่
“ฉันแค่อยากชวนนายไปทานข้าวนะ” อิทพูดอีกครั้ง
“เนื่องในโอกาสอะไร?” สิถามกลับอย่างสงสัยก่อนจะเดินมาหยุดที่หน้าประตูแล้วค่อยๆ เปิดมันออกช้าๆ
“แค่อยากขอบคุณเรื่องเมื่อคืนน่ะ” อยากขอบคุณที่นายดูแลฉันอย่างดีเมื่อคืนนี้ และขอโทษนายด้วยที่ฉันจูบนาย นี่คือสิ่งที่อิทคิด แต่ชายหนุ่มก็เลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่ตนจูบอีกฝ่ายไป
สิรภพเลิกคิ้วน้อยๆ กับท่าทางของรูมเมท แต่เพียงไม่นานเขาก็ปัดความคิดนั้นออกไปแล้วตอบตกลง
“ถ้านายอยากเลี้ยง ฉันก็ไม่ขัด”
“ได้...เราจะเลี้ยงอาหารมื้อนี้นายเอง”
“โอเค” สิตอบตกลงก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้
“นายเรียนวิศวคอมใช่ไหม?”
“อืม...ใช่” อิทพยักหน้ารับอย่างงงๆ ที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน “ทำไมเหรอ?”
“มาช่วยแก้บัคเกมให้เราหน่อยสิ” สิรภพพูดพลางเอื้อมมือไปดึงแขนของอีกฝ่ายเข้ามาในห้องอย่างสนิทสนม เหมือนกับว่าเรื่องมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้น และเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นรูมเมทที่สนิทสนมกันมากถึงขั้นสามารถเข้าห้องส่วนตัวของอีกฝ่ายได้
“ได้รึเปล่า?”
“ได้สิ” อิทพยักหน้ารับพลางมองไปที่แขนของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายจับด้วยความรู้สึกใจสั่นแบบไม่รู้ตัว ความสนิทสนมที่เขาเพิ่งเคยได้รับทำให้ชายหนุ่มวางตัวไม่ถูก
พอทั้งสองเดินเข้ามาในห้องสิก็เป็นฝ่ายปล่อยมือทันที ร่างสูงรีบเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองขึ้นแล้วพูดกับอิทโดยที่ไม่ได้มองหน้าเพราะเขามัวแต่สาละวนอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
“เดี๋ยวฉันขอเปิดเครื่องก่อน นายไปนั่งบนเตียงรอละกัน” สิพูดพลางหันมามองหน้ารูมเมทพร้อมกับส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายไปที่เตียงนอนของเขา
“อืม” อิทเดินไปนั่งที่เตียงของอีกฝ่ายอย่างว่าง่ายพลางแอบชำเลืองมองสิที่กำลังวุ่นอยู่กับการรันโปรมแกรมด้วยความรู้สึกสนใจ
“มองแบบนั้นมีอะไรรึเปล่า?” สิเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นสายตาของรูมเมทตัวดีจ้องมองเขาแทบไม่วางตา
“นายมองฉันเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง มีอะไรรึเปล่า?” สิถามอย่างสงสัย
“อ๊ะ! โทษที” อิทพูดพลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
เฮ้อ! เกือบไปแล้ว...
“อิทมานี่หน่อยดิ” สิรภพกวักมือเรียกเมื่อเขาเปิดโปรแกรมเขียนโค้ดได้แล้วพร้อมกับขยับที่นั่งเพื่อให้อีกฝ่ายสามารถมานั่งได้สะดวก เมื่อร่างสูงมาถึงก็มองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์สักพักก่อนจะถามขึ้น
“มีอะไรเหรอ?” อิทค่อยๆ ชะโงกหน้าไปยังจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า
ที่หน้าจอคอมปรากฏตัวละครรูปเด็กน้อยในชุดนักเรียนหญิงตัวเล็กๆ ค่อยๆ ร่วงลงมาก่อนที่สิจะกดปุ่มให้ตัวละครตัวนั้นเริ่มออกวิ่ง และเมื่อถึงมอนสเตอร์ตัวแรก ชายหนุ่มก็จงใจบังคับตัวละครให้วิ่งชน ทันทีที่มอนสเตอร์ชนกับตัวละครนักเรียนหญิง ค่า HP จาก 100 หน่วยก็ลดเหลือ 0 ในทันที ตัวละครนักเรียนหญิงล้มลงตายและก็ขึ้นคำว่าจบเกม
“พอถึงตรงนี้ทีไรตัวละครของฉันตายทุกที ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะทำให้ตัวละครของเราเวลาชนมอนสเตอร์ให้เหลือค่า HP ที่ 10 หน่วย แต่ไม่ว่าทำอย่างไรตัวละครของฉันก็ตายอยู่ดี”
“อืม” อิทธิพัชร์ขมวดคิ้วน้อยๆ
“ขอดูโค้ดหน่อยได้ไหม?” อิทพูดขออนุญาตก่อนจะขยับเข้าไปใกล้และเอื้อมมือไปจับที่เม้าส์ของคอมพิวเตอร์เพื่อต้องการที่จะดูหน้าจอให้ชัดมากขึ้น ทำให้มือของทั้งคู่แตะโดนกันโดยไม่ตั้งใจ กระแสไฟฟ้าพลันประทุขึ้นที่ปลายนิ้วที่ทั้งสองสัมผัสกัน เป็นสิเองที่ต้องเป็นฝ่ายถอยมือออกก่อนจะกล่าวอนุญาตให้อีกฝ่ายจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคอมของตนเอง
“ได้”
5 นาทีต่อมา…
“เป็นไงบ้างอิท เราเขียนไม่ค่อยรู้เรื่อง...โทษทีนะ” สิรภพยิ้มแหยๆ ทันทีที่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็ต้องกล่าวขอโทษเสียไม่ได้ เมื่อความสามารถในการเขียนโค้ดของเขาเองนั้นแสนจะห่วยแตกเหลือเกิน
“ผมไม่ค่อยถนัดเขียนโปรแกรมเท่าไหร่” สิบ่นงึมงำกับตัวเองเสียงเบา
“ก็ไม่หรอก” อิทส่ายหน้าพลางเลื่อนเมาส์ลงไปยังส่วนที่คิดว่าน่าจะเป็นปัญหา
“รู้สึกว่าจะเขียนคำสั่งสลับที่น่ะ ถ้าลองย้ายคำสั่งนี่มาตรงนี้แล้วก็สร้างลูปตรงนี้ดู” ชายหนุ่มพูดพลางอธิบายช้าๆ ให้อีกฝ่ายเข้าใจ สิค่อยๆ ขยับเข้าไปที่หน้าจอคอมเพื่อดูสิ่งที่อิทกำลังอธิบายอย่างช้าๆ จนตอนนี้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
“โอเคเราเข้าใจแล้ว” เมื่อดูสิ่งที่อิทอธิบายจนเข้าใจชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น ในตอนนั้นเองที่ใบหน้าของทั้งคนทั้งสองหันหน้าเข้าหากันอย่างไม่ตั้งใจ ใบหน้าของพวกเขาอยู่ใกล้กันมากจริงๆ เพราะปลายจมูกของทั้งสองแทบจะสัมผัสกัน ความรู้สึกแปลกประหลาดทำให้พวกเขาไม่เป็นตัวของตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นเราขอแก้ก่อนนะ” กว่าสิจะหาเสียงของตัวเองเจอก็เล่นเอาเหงื่อชื้นไปทั้งตัว
“คณะนายนี่เรียนหลากหลายดีนะ” อิทพูดขึ้นเพื่อชวนอีกฝ่ายคุย เพราะเขาไม่อยากให้สิต้องบึ้งตึงใส่เหมือนเมื่อคืน