ทารกที่ 2
ศพลอยน้ำ
เวลาไม่เช้าแล้ว นับตั้งแต่เมิ่งจื่อฟื้นคืนเดินลงเขา ก็ผ่านมากว่าครึ่งชั่วยาม แสงตะวันทำให้นางเห็นได้ชัด ชายผู้นั้นกำลังนอนหงายท้อง ไหลมาตามกระแสน้ำ หากปล่อยให้เลยไปก็จะไม่พบเจอบ้านคนแล้ว
เมิ่งจื่ออย่างไรเข้าป่าล่าสัตว์แต่เล็ก นางพบเห็นซากเน่าเปื่อยบ่อยครั้ง บางทีเก้งกวางติดกับดักตายหลายวัน เป็นนางเองที่ถูกบิดาใช้สอยให้ไปปลดออก
เจ้าศพนั่นลอยมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ!
สาวน้อยมิได้ขวัญอ่อน หลังจากเลิกคิดสั้น เมิ่งจื่อกับรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าเวทนายิ่ง หากปล่อยให้ถูกกระแสน้ำพัดไป มิทราบจะไหลไปถึงไหน เห็นดังนั้นนางจึงไม่รอช้า แก้สายรัดเอวถอดเสื้อตัวนอก เหลือเพียงกางเกงตัวในและเอี๊ยม กระโดดลงไปในน้ำ แหวกว่ายเพื่อลากตัวชายขึ้นอืดผู้นั้น นำเข้าฝั่งแล้วค่อยเรียกบิดาออกมาชมดู
เมิ่งจื่อเชี่ยวชาญวิชาทางน้ำมาก หกขวบนางก็ดำผุดดำว่ายได้แล้ว ไม่นานก็ตีน้ำป๋อมแป๋มในท่าสุนัข คว้าเอาคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยมือข้างหนึ่ง ลากเข้าฝั่งได้อย่างยากลำบาก
“แฮก แฮก แฮก” เมิ่งจื่อหงายท้องบนพื้นทราย นางหอบหายใจหนักหน่วง คิดไม่ถึงว่าการลากศพขึ้นจากน้ำ จะกินแรงไม่น้อยเช่นนี้
ขณะเมิ่งจื่อจะลุกขึ้นยืน ความจริงกลิ่นปัสสาวะของนางถูกน้ำชำระล้างไปหมดแล้ว หากแต่ว่านางต้องตกใจจนฉี่ราดอีกครั้ง เมื่อศพที่อยู่ข้างๆ คว้าข้อเท้านางไว้ บีบแน่นไม่ปล่อยจนนางเจ็บปวด เมิ่งจื่อตกใจสุดขีดกระโดดเต้นเร้าๆ ร่ำร้องว่า ข้ากลัวแล้วเจ้าคะ! กลัวแล้ว! จากนั้นหลั่งน้ำตานองหน้าร้องไห้โฮออกมา “…”
ห่างไปไม่ไกลเป็นพ่อลูกตระกูลเมิ่ง เมิ่งไท่อี้พบว่าบุตรสาวไม่อยู่ในห้องก็ออกตามหา เขาร้อนใจมากกลัวนางคิดสั้น เลยแยกย้ายกับภรรยา เดินหาตามริมแม่น้ำทั้งตอนบนและล่าง สุดท้ายได้ยินเสียงกรีดร้องของบุตรสาว จึงรีบวิ่งมาอย่างไม่คิดชีวิต กลัวว่านางจะเป็นอะไรไป
“ฮือ! ฮือ! ฮือ! กลัวแล้วเจ้าคะ! กลัวแล้ว!”
ในชีวิตเมิ่งจื่อไม่กลัวอะไรทั้งนั้น งูเงี้ยวเขี้ยวขอสัตว์มีพิษนางหากลัวไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางไม่อาจรับได้นั่นคือผี เพราะนางกลัวผีที่สุดเลย!
“พี่สาวข้ามาช่วยแล้ว” !!!
จื่ออีเป็นคนแรกที่วิ่งมาถึง หากแต่พอเห็นภาพตรงหน้าถึงกับต้องถอยหลังผงะ พี่สาวของเขาไฉนอยู่ในสภาพเช่นนี้ เสื้อผ้านางหลุดลุ่ย อิงเถาสีชมพูน้อยๆ กระเด็นกระดอนออกจากเอี๊ยม เพราะนางเต้นโหยงโหยงสะบัดขา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตา
“ไอ้บัดซบ! เจ้ากล้าข่มเหงพี่สาวข้า” !!!
ในวัยสิบสาม จื่ออีไฟโทสะตีขึ้นหน้า เขารีบวิ่งไปนั่งทับอกชายหนุ่มที่นอนสลบอยู่บนพื้น รัวกำปั้นน้อยๆ ใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี “…”
“ซิก! ซิก!” ในอ้อมกอดมารดา เมิ่งจื่อสะอึกสะอื้น นางยังขวัญเสียไม่หาย เมื่อครู่ตกใจแทบตายแล้ว
บนผืนทรายยามนี้ ประกอบไปด้วยสองเด็กสามผู้ใหญ่ จื่ออีอับอายมิใช่น้อยที่เข้าใจผิด เขาต่อยพี่ชายแปลกหน้าจนฟื้นคืนสติ เมิ่งจื่อเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเขายังไม่ตาย อธิบายครู่ใหญ่กว่าคนทั้งหมดจะเข้าใจกัน
“แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ดูสภาพเจ้าตอนนี้ยังจะพบหน้าผู้ใดได้อีก” เมิ่งไท่อี้โมโหมาก บุตรสาวของเขาราวกับผ่านการขืนใจมาหนึ่งรอบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย น้ำหูน้ำตาไหลย้อย เอี๊ยมเล็กๆ ก็เปิดเผยออกจนเห็นปทุมถันน้อยๆ ถึงนางจะบอกว่าเป็นการช่วยคนจมน้ำ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ ยังคงคิดว่าบุตรีกำลังถูกข่มขืน!
“ไปที่อำเภอ! ไปที่ว่าการอำเภอ!”
“ฮือ! ฮือ! ข้าก็บอกแล้วไงว่าเข้าใจผิด หากท่านพ่อไม่เชื่อข้าจะโดดน้ำตาย!” เมิ่งจื่อเพิ่งจะหายคิดสั้นก็อยากตายอีกครั้ง นางเห็นท่านพ่อมีท่าทีขึงขังจะเอาเรื่องก็ปวดหัวยิ่ง ชายแปลกหน้าก็ไม่มีท่าทีพูดจาเอาตัวรอดแม้แต่น้อย ยังคงนั่งมึนงงโง่ทึ่ม ถามอะไรก็ตอบแต่ว่า ไม่รู้ ไม่รู้
“…”
ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายใต้การอธิบายจนปากเปียกปากแฉะของเมิ่งจื่อ คนทั้งหมดค่อยเดินกลับบ้าน เซียวเฟิงที่งงงวยก็เดินตามต้อยๆ ตามคำสั่งท่านผู้อาวุโสเบื้องหน้า บอกว่าให้กลับไปคุยกันที่เรือนตนเอง
เริ่มเข้าเขตหมู่บ้าน สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยกระท่อมไม้ปลูกติดกัน ล้อมรอบไว้ด้วยรั้วไม้ไผ่ เมื่อไปถึงที่หมาย จื่ออีก็เป็นผู้เปิดไม้กั้นออก นำคนทั้งหมดเข้าเรือน
นางเมิ่งซือไล่คนทั้งหมดไปชำระกาย เมิ่งจื่อใช้น้องชายไปหาบน้ำใส่ถังมาให้ ส่วนเมิ่งไท่อี้บอกชายหนุ่มแปลกหน้าให้ตามมา นำไปยังส่วนหลังของเรือน อาบน้ำที่อยู่ในโอ่ง แล้วจัดหาเสื้อผ้าสะอาดให้ เตรียมตัวรับประทานอาหารเช้า
จะอย่างไรครอบครัวเมิ่งสัตย์ซื่อถือมั่น บุตรสาวยืนยันเสียงแข็งว่าเข้าใจผิดก็คือเข้าใจผิด แต่เมิ่งผู้พ่อยังคงมองชายหนุ่มด้วยสายตาอาฆาต คิดคาดคั้นเอาผิดเจ้าบัดซบผู้นี้ให้ได้
เซียวเฟิงยังคงงุนงง ขณะเปลือยอกอาบน้ำก็มองซ้ายมองขวา ข้องใจว่าไฉนตนเองอยู่ที่นี่ แล้วก่อนหน้านี้ตนเป็นไรไป ทำไมรู้สึกเจ็บปวดตามใบหน้า
“…”
รั้วไม้ซ้ายมือกั้นระหว่างบ้านสกุลเมิ่งและหง
ขวามือกั้นซ่งและเมิ่ง ในจังหวะที่เซียวเฟิงอาบน้ำก็ได้ยินเสียงซุบซิบ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยังคงอาบน้ำชำระกายไปเรื่อย จนกระทั่งเมิ่งไท่อี้นำชุดมาให้ เขาก็อาบน้ำเสร็จพอดี
บนโต๊ะกินข้าว สุราถูกยกเป็นจอกที่สาม ทุกครั้งที่เมิ่งผู้พ่อจะออกปากเอาเรื่อง นางเมิ่งซือที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องใช้สายตาจิกกัดไว้ สุดท้ายจนกระทั่งรับประทานเสร็จเมิ่งไท่อี้ก็ยังมิได้พูดซักคำ
เมิ่งจื่อเองก็กินข้าวไม่รู้รส นางเขินอายมาก ปกตินางไม่เคยกินข้าวกับคนแปลกหน้ามาก่อน ทั้งคนตรงหน้ายังสวมใส่เสื้อผ้าบิดานาง นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จะให้นางรับรู้รสชาติอาหารบนโต๊ะได้ยังไง
พออยู่ในรูปลักษณ์ปกติ แม้แต่นางเมิ่งซือที่ลูกสองแล้วยังคิด ชายหนุ่มตรงหน้าต้องมีความเป็นมาไม่ธรรมดาแน่ ชาวบ้านทั่วไปไหนเลยมีหน้าตาแบบนี้ ผิวพรรณก็ขาวราวกับสตรี ดังนั้นจึงคิดได้แผนการหนึ่ง ใช้ปลายเท้าสะกิดขาสามีไว้ ห้ามมิให้เขาอาละวาดออกมา
เมิ่งจื่อเองก็เช่นกัน นางอายุเท่าไรกันเชียว นอกจากพี่เสิ่นก็มีเพียงบุรุษในหมู่บ้าน ทุกคนหาได้ดูดีเหมือนเขา ดังนั้นสาวน้อยจึงรู้สึกหวั่นไหว เขินอายทุกครั้งที่มองหน้าอีกฝ่าย มิทราบไฉนรู้สึกเช่นนี้
หลังมื้ออาหาร เมิ่งจื่อและน้องชายถูกไล่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน เซียวเฟิงถูกนางเมิ่งซือรั้งไว้ สอบถามความเป็นมา โดยให้สามีนั่งบูดบึ้งอยู่ข้างๆ ใช้สายตาดุร้ายข่มขวัญให้เขาหวาดกลัว “…”
ในมือเมิ่งผู้แม่มีหยกห้อยเอวหนึ่งชิ้น นี่เป็นสิ่งที่นางค้นมาจากชุดที่ชายหนุ่มถอดออก พร้อมทั้งถามอีกฝ่ายว่าจำของสิ่งนี้ได้หรือไม่ เซียวเฟิงก็ตอบว่าจำไม่ได้ แม้แต่ตนเองเป็นใครมาจากไหน เขาก็จำไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
นางเมิ่งซือรู้หนังสืออยู่บ้าง นางบอกว่าหยกชิ้นนี้แกะสลักอักษรเซียวไว้ ทั้งเนื้อผ้าที่เขาสามใส่ตอนตกน้ำก็เป็นแพรพรรณชั้นดี คาดว่าเขาคงมิใช่ชนชั้นขอทาน
สองฝ่ายพูดคุยซักถามกันครู่ใหญ่ สุดท้ายมิได้ความอันใด เซียวเฟิงก็ตอบแบบมึนๆ งงๆ จบต้นชนปลายไม่ถูก ว่าไฉนตัวเองลงไปลอยอยู่ในน้ำ
“สรุปคือ คุณชายจำอะไรมิได้?”
“ใช่แล้วฮูหยิน” เซียวเฟิงตอบ
“แล้วท่านจำได้หรือไม่ว่าล่วงเกินบุตรสาวข้า” !!!
ที่ผ่านมานางเมิ่งซือถามตอบด้วยท่าทีนุ่มนวลอ่อนหวาน จู่ๆ พลันตบโต๊ะดังปัง! แม้แต่เมิ่งผู้พ่อที่หนวดเคราเฟิ้มยังสะดุ้ง คิดในใจว่า ตนเองอยากอาละวาดแทบตายกับถูกนางห้าม แต่บัดนี้ผู้ห้ามกับโวยวายออกมา
ชายหนุ่มเองก็สะดุ้ง เขาปรับตัวไม่ทัน ทั้งคิดไม่ออกว่าล่วงเกินอันใดแม่นางน้อยนั่น เพราะฟื้นขึ้นมาก็เห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวเด็กชายเป็นคนแรก ส่วนสาวน้อยนางนั้นร่ำไห้อยู่ข้างๆ มิทราบหลั่งน้ำตาเพราะเหตุใด
“ท่านพี่ ตอนท่านพบพวกเขาทั้งสอง จื่อจื่อของเราอยู่ในสภาพใด?” นางเมิ่งซือมีแผนอยู่ในใจ เมื่อตรวจสอบจนแน่ชัดว่าเจ้าผู้นี้โง่งมจริง ดังนั้นจึงลงมือไล่ต้อนต่อ ดึงสามีเข้ามาเสริม เล่นบทสอบสวนผู้ร้าย คนหนึ่งขาน คนหนึ่งรับ จู่โจมจนเซียวเฟิงงุนงง “…”
เมิ่งผู้พ่อย่อมบรรยายตามจริง ทั้งเซียวเฟิงก็เริ่มจำได้ สาวน้อยนั่นเสื้อผ้าหลุดลุ่ย แม้กระทั่งทรวงอกเล็กๆ ก็เห็น เขายังแอบดูอยู่สองรอบ ยลความงามแรกแย้มตามประสาผู้ชาย
“เออ หรือว่าจะล่วงเกินนางจริงๆ?”
ถูกซักไซไปมา แม้แต่เซียวเฟิงก็เริ่มสงสัยในตัวเองแล้ว หากแต่นางเมิ่งซือก็จู่โจมเขาเป็นครั้งสุดท้าย ถามว่าระหว่างแต่งงานรับผิดชอบ กับไปที่ว่าการให้นายอำเภอตัดสิน เขาจะเลือกอะไร?
จนถึงตอนนี้ แม้แต่เมิ่งไท่อี้ก็ทราบความคิดภรรยา ชั่วพริบตาเขาเองก็เห็นด้วย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ จื่อจื่อของเขาชื่อเสียงป่นปี้ ย่อมแต่งออกไปกับบุรุษที่ดีไม่ได้อยู่แล้ว
เมิ่งผู้พ่อรับลูกอย่างไว เขาตบโต๊ะทำท่าโมโหโทโส โวยวายว่าไม่ยินยอม ต้องนำตัวเจ้าสารเลวผู้นี้ไปตัดหัวเท่านั้น ตีอกชกศีรษะเป็นตายไม่ยกบุตรสาวให้
เนื่องจากเครารุงรังจึงมีใบหน้าดุร้าย เซียวเฟิงที่โง่งมก็ตกใจมาก อะไรกันถึงขั้นตัดหัวเลยหรือ ในเวลาคับขันเขายังขบคิดไม่ทัน
แต่นี่คือความจริง กฎหมายต้าเว่ยวลี่ระบุไว้ชัดเจน ฆ่าคนชดใช้ชีวิต โทษของการขมขืนสตรีดีงามก็เช่นกัน ย่อมต้องฆ่าให้ตายต่อหน้าธารกำนัล!
***
ตีนเขาหลังบ้าน เมิ่งจื่อมือขวาถือกิ่งไม้กวัดแกว่ง นางรังแกตั๊กแตนผีเสื้อไปเรื่อย กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ลืมความเสียใจหลายวันที่ผ่านมาชั่วคราว
“พี่สาว ท่านมิได้ถูกข่มเหงจริงหรือ?”
“ไม่ฟัง! ไม่ฟัง! ข้าไม่อยากฟังเต่าสวดมนต์!”
เมิ่งจื่อใช้มือปิดหูวิ่งหนี นางรำคาญแล้วนะ! ทั้งๆ ที่อธิบายบอกกล่าวไปตั้งมาก แต่น้องชายตัวดียังนำเรื่องนี้มาหยอกเย้า ซักไซให้นางเขินอาย
“คิก คิก ข้าดูแล้วพี่ชายผู้นี้หล่อกว่าพี่เสิ่นของท่านอีก พี่สาวว่าใช่หรือไม่?” จื่ออีหัวเราะคิกไล่หลัง เขาเพียงแค่อยากเย้าให้พี่สาวลืมคุณชายเสิ่นบัดซบนั่น มิได้คิดจริงจังว่าผู้พี่จะชอบชายแปลกหน้าจริงๆ
แต่จื่ออีคิดผิด!
เมิ่งจื่อแรกเห็นสารรูปจริงเซียวเฟิงก็นึกชอบ เขาเป็นแบบที่นางไม่เคยเจอในหมู่บ้าน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าไฉนชอบเขา
อย่างไรสาวน้อยเพิ่งเขาวัยแรกแย้ม นางไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไรกันแน่ บังเอิญที่เซียวเฟิงหล่อเหลา หากเขามีใบหน้าขี้ริ้วสภาพเหมือนขอทานเฒ่า นางไหนเลยนึกชอบจนใจเต้นตูมตามแบบนี้
“…”
***