“เป็นบ้าอันใดของท่าน! จู่ ๆ มากระชากแขนข้า ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษควรกระทำรึ” ไป๋ฟางเซียนตะคอกเสียงถามด้วยความโกรธ มือซ้ายยกขึ้นลูบข้อมือขวาที่ถูกกระชากอย่างแผ่วเบาเพราะรู้สึกเจ็บ การกระทำของฝ่ามือใหญ่เมื่อครู่ยังเผยให้เห็นรอยแดงเป็นปื้นด้วย
“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่าว่าการกระทำที่เจ้ากระทำตนเช่นในวันนี้มันเหมาะสมแล้วรึ” หลี่เหวินหลางถามกลับอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน ทั้งสองส่งสายตาประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างโกรธ ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ทนไม่ไหวถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่านางทำอันใดผิดกัน อีกฝ่ายถึงได้มาอารมณ์เสียใส่และมีท่าทีกรุ่นโกรธเช่นนี้
“ข้าทำอะไร”
“ยังมีหน้ามาถาม” หลี่เหวินหลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อพร้อมทั้งสะบัดหน้าหนี
“ถ้าท่านไม่พูดข้าจะรู้ไหมว่าข้าทำอันใดผิด” นางถามกลับเรียบ ๆ ในห้วงความคิดพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าตนได้เผลอไปทำลายนางในดวงใจของเขาหรือไม่ ครั้นคิดกี่ตลบคำตอบก็เป็นเช่นเดียวกันคือนางไม่ได้วุ่นวายกับโจวเฟิ่งจิ่วเลย แล้วการที่อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเหตุใด?
“ฮึ่ม! ไป๋ฟางเซียน ข้าไม่รู้นะว่าตอนที่เจ้าตกน้ำหัวของเจ้าไปกระแทกกับอะไรหรือไม่ เหตุใดจึงได้หลงลืมจารีตประเพณี ลืมว่าสตรีที่ดีควรกระทำตนเช่นไร”
ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ไป๋ฟางเซียนก็ไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม คิ้วเรียวสวยของนางขมวดเข้าหากันแน่น แล้วมองมาที่เขาเป็นสายตาซึ่งเต็มไปด้วยคำถาม จากนั้นจึงแย้งกลับไปว่า
“แล้วข้าประพฤติตัวไม่ดีตรงไหน ทุกอย่างก็ปกติดีนี่”
“ออกเรือนแล้วไปเดินให้ท่าบุรุษอื่นที่ตลาด หัวร่อต่อกระซิกกันให้ชาวบ้านได้เห็นเนี่ยนะเป็นการกระทำที่ดี เจ้าเลอะเลือนแล้วหรือ!” ยิ่งพูด
หลี่เหวินหลางก็ยิ่งหงุดหงิด จนอยากบีบคอสตรีตรงหน้าตนเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหตุใดนางจึงเป็นคนเช่นนี้ คุยกับนางทีไรเขาต้องโมโหอยู่เรื่อย
ส่วนไป๋ฟางเซียนที่ได้ยินคำพูดของเขาชัดเต็มสองรูหูก็ควันออกหู นี่เขาด่านางว่าไปให้ท่าผู้ชายอย่างนั้นหรือ
“แค่ข้าพูดคุยหัวเราะกับสหายก็ผิดด้วยหรือเจ้าคะ มีกฎข้อไหนบัญญัติไว้ว่าห้ามไม่ให้สตรีมีสหายเป็นบุรุษ มีข้อไหนบอกว่าห้ามสตรีที่ออกเรือนแล้วหัวเราะหรือพูดคุยกับบุรุษอื่น ถ้าบุรุษที่ท่านหมายถึงเป็น
หยางตงเยว่ละก็ ข้าขอบอกให้รู้ไว้เลยนะว่า ข้ากับเขาบริสุทธิ์ใจต่อกัน และเป็นเพียงสหายกันเท่านั้น” ไป๋ฟางเซียนชักสีหน้าพูดมองเขากลับด้วยสายตาที่ไม่พอใจเช่นกัน
“จริงอยู่ที่ไม่มีข้อไหนบัญญัติไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรกระทำ เจ้าอย่าลืมว่าตนออกเรือนแล้ว และเป็นคนตระกูลหลี่เต็มตัว หากชาวบ้านพูดนินทาออกไป ตระกูลหลี่จะถูกมองเช่นไร คิดบ้างหรือไม่”
ไป๋ฟางเซียนกำมือแน่นสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสวนกลับว่า “ข้ารู้ดีว่าทำอะไรอยู่ และข้าก็บริสุทธิ์ใจ ไม่เหมือนท่าน” นางไม่พูดต่อแต่ใช้สายตาดูเหยียดหยามมองมาที่เขาแทน
“แล้วอย่างไร ข้าหาได้ทำอันใดไม่”
“โอ้... ไม่ได้ทำอันใดหรือ เป็นบุรุษที่ออกเรือนแล้ว แต่กลับลักลอบคบหากับสตรีอื่น ทั้งยังให้สตรีมาหาที่จวนนี่คือไม่ได้ทำอันใดหรือ นอกจากนี้ยังมีโอบกอดประคองกันในบางคราด้วยนะที่ข้าเห็น บอกข้าทีว่าการกระทำเช่นนี้มันไม่ผิด หรือเพราะว่าท่านเป็นบุรุษจึงทำได้ เพราะบุรุษสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอันใด แต่พอสตรีอย่างข้าทำบ้างกลับผิดทันที นี่มันยุติธรรมกับข้าแล้วอย่างนั้นหรือ ทั้งที่การกระทำของข้ามันก็ไม่มีอันใดน่าเกลียดเลยสักนิด แค่พูดคุยกันอย่างสหายเท่านั้นก็กลายเป็นว่าข้าผิด หรือว่าที่ข้าผิด เพราะข้าเป็นสตรีไม่ใช่บุรุษ” ไป๋ฟางเซียนร่ายยาวพร้อมใส่อารมณ์จนหลี่เหวินหลางตะลึงงันแทบหาเสียงตนเองไม่เจอ
“เจ้า!”
“ท่านจำเอาไว้เลยนะ ว่าข้า! ไป๋ฟางเซียนผู้นี้ จะไม่ยอมให้ใครกดขี่ข่มเหงเด็ดขาด และจะไม่ยอมเสียเปรียบใครด้วย ถ้าท่านทำได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน” นางพูดพร้อมมองจ้องตาเขาอย่างจริงจังไม่หวั่นเกรง
“เจ้าไม่มีสิทธิ์”
“เหตุใดข้าจะไม่มีสิทธิ์ แล้วท่านเล่ามีสิทธิ์อันใดมาต่อว่าข้า แสร้งเป็นพูดดีอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายท่านก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้านักหรอก เผลอ ๆ... อาจจะหนักกว่าข้าด้วยซ้ำ”
กรอด! เสียงอีกฝ่ายกัดฟันมองมาที่นางเขม็ง แต่ไป๋ฟางเซียนกลับไม่ใส่ใจ นางเชิดหน้าพูดต่อว่า
“จำเอาไว้ให้ดีเล่า ท่านทำอะไรได้ข้าก็ทำสิ่งนั้นได้ ข้าไม่มีวันเสียเปรียบท่านเด็ดขาด และท่านก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งวุ่นวายหรือบงการชีวิตข้า” ไป๋ฟางเซียนบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ก่อนจะชะงักไปเมื่อคนตรงหน้าสาวเท้าเข้าหานางเรื่อย ๆ
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ข้ามีสิทธิ์เต็มตัวเจ้าเลยละ เจ้าแต่งให้ข้าแล้วย่อมต้องเป็นของข้า หากข้าไม่มีสิทธิ์ในตัวเจ้าแล้วใครจะมีสิทธิ์ ในเมื่อวันนี้เจ้าพูดถึงสิทธิ์นั้น ข้าก็จะแสดงสิทธิ์ของตนให้เต็มที่ ตั้งแต่แต่งงานกันเราก็ยังไม่ได้เข้าหอเลยไม่ใช่หรือ งั้นวันนี้ข้าจัดให้เจ้าดีหรือไม่ ถึงแม้ข้าจะไม่ได้รักไม่ได้ชอบเจ้า แต่ข้าก็สามารถหลับหูหลับตาปรนเปรอเจ้าได้อยู่บ้างนะ หึ!” หลี่เหวินหลางพูดพลางกระตุกยิ้มร้าย สาวเท้าเข้าใกล้นางมากขึ้น จนนางหมดหนทางนี้ ขาที่ก้าวถอยหลังก็แนบสนิทกับตั่งเตียงพอดี
“อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ”
“บ้าตรงไหน ที่ข้าทำเป็นการเรียกร้องสิทธิ์ของข้าล้วน ๆ”
ตุบ!
“ว้าย! อย่านะ เจ้าคนหยาบกระด้าง!”
“ไม่! เจ้าต้องเป็นของข้า”
หลี่เหวินหลางไม่ฟังคำห้ามปรามและเสียงกรีดร้อง เขาโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ เพียงแค่จมูกโด่งคลอเคลียลำคอขาวกลิ่นกายหอมกรุ่นก็ประทับลงในจิต กลิ่นที่ให้ความสบายเช่นนี้เขาชอบมาก
หลี่เหวินหลางไร้การระมัดระวังหลับตาพริ้มสูดดมกลิ่นหอมเข้าปอด เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม หวังแนบริมฝีปากลงบนลำคอขาวระหง ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ลำคอ ก่อนที่สติของแม่ทัพหนุ่มจะดับวูบไป ฟุบหน้าลงข้างลำคอขาวของไป๋ฟางเซียนทันที
“ฟู่ว! ดีที่อีตานี่ไม่ระวังตัวเอง ไม่เช่นนั้นมือบาง ๆ คู่นี้คงสับต้นคอเขาจนสลบไม่ได้แน่ เฮ้อ! เกือบไปแล้วเซียนเซียนเอ๊ย”
เข้าใจถูกต้องแล้วละ คนที่ทำให้หลี่เหวินหลางหมดสติคือไป๋ฟางเซียนเอง นางอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอไผล ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาในโลกเดิมของตนทำร้ายอีกฝ่าย โดยการสับมือลงบนต้นคอแกร่งทันที ซึ่งแรงและจุดที่นางใช้สันมือสับลงไปนั้นเป็นจุดเส้นประสาทพอดี ใครโดนจุดนี้เข้าไป ร้อยทั้งร้อยสลบเหมือด จากนั้นจึงผลักร่างเขาให้นอนหงาย นางมองอีกฝ่ายอย่างสุขใจ รอยยิ้มแห่งชัยชนะฉายชัดบนใบหน้างาม
“เป็นถึงท่านแม่ทัพคิดว่าจะแน่ ที่ไหนได้... ก็ไม่เท่าไรนี่นา”