“เรียบร้อยดีหรือไม่จื่อถิง”
“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ คุณหนูต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ละ เราไปกันเลยดีกว่า ข้าอยากเห็นร้านของข้าเต็มทนแล้ว”
“เจ้าค่ะ คุณหนูอย่าลืมไปบอกกล่าวฮูหยินใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ”
“... นั่นสินะ ขอบใจนะจื่อถิงที่เตือน ข้าเกือบลืมไปเลย”
ไป๋ฟางเซียนเอ่ยขอบคุณสาวใช้ของตนที่เอ่ยเตือนเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของคนที่นี่ให้ เป็นผู้น้อยจะไปที่ใดต้องบอกอาวุโสในบ้านให้รับรู้ นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท คงเป็นเพราะความเคยชินจากโลกเดิมก่อนมาที่นี่ ด้วยความที่ต้องเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นในมหาวิทยาลัยชื่อดัง นางเลยต้องไปพักที่คอนโดมิเนียมและอยู่คนเดียว เวลาไปที่ใดจึงไม่ต้องขออนุญาตใคร ทว่ากับที่นี่นั้นต่างกัน ถ้าจื่อถิงไม่เตือนนางคงเสียมารยาทไปแล้วจริง ๆ
ส่วนเรื่องก่อนหน้าที่นางและสาวใช้พูดคุยกันว่าเรียบร้อยดีหรือไม่นั้น ล้วนเกี่ยวกับถุงเงินของนางที่ตั้งใจไปจับจ่ายใช้สอยในวันนี้ทั้งสิ้น
เมื่อได้จื่อถิงเอ่ยเตือนเรื่องที่สมควรบอกกล่าวผู้อาวุโสเรือนหลังของจวนแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็ตรงไปหาเหลียนฮวาที่เรือนและบอกกล่าวสถานที่ที่ตนจะไปทันที ครั้นได้รับอนุญาตรวมถึงได้ถุงเงินเพิ่มจากอีกฝ่าย นางก็ออกจากจวนตระกูลหลี่ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า จนจื่อถิงเกรงว่าคุณหนูของตนจะเมื่อยกรามหรือปวดแก้มได้
หากเป็นเรื่องอื่นน้อยนักที่คุณหนูของนางจะฉีกยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนี้ รอยยิ้มสว่างไสวเช่นตอนนี้จะได้เห็นก็ต่อเมื่อได้รับถุงเงินหรือเห็นตำลึงเงินตำลึงทองเข้าถุงตนเองแล้วนั่นแหละ แม้เมื่อก่อนคุณหนูของนางจะเห็นแก่เงินไปบ้างมันก็ไม่เท่ากับตอนนี้ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาหากจะบอกว่าคุณหนูของนางงกและหน้าเงินมากกว่าเดิมนั้นไม่ได้เกินจริงเลย เช้าจรดเย็นไม่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งคุณหนูของนางต้องมาเปิดหีบสมบัติและเงินทองของตนเองตรวจนับอยู่เรื่อย จื่อถิงไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไปเพราะอะไร
“เป็นอันใดของเจ้าจื่อถิง ส่ายหัวไปมาอยู่นั่น” ไป๋ฟางเซียนถามด้วยความแปลกใจ ตั้งแต่ขึ้นรถม้ามาสาวใช้ของนางก็ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัวไปมา ราวกับว่ามีเรื่องที่คิดไม่ตกเป็นหนักหนา
“เปล่าเจ้าค่ะคุณหนู จื่อถิงคิดเรื่องไร้สาระไม่มีอันใดสำคัญเลยเจ้าค่ะ” เห็นจื่อถิงไม่บอกถึงเหตุผลไป๋ฟางเซียนก็คร้านจะสนใจ
ไม่นานรถม้าของจวนตระกูลหลี่ที่นางนั่งก็มาถึงเขตการค้า และหยุดลงที่บริเวณหน้าร้านขายผ้าของนางทันที ในขณะที่ไป๋ฟางเซียนกำลังจะก้าวขาลงจากรถม้าก็ถูกจื่อถิงยื้อไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม นางชะงักไปครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อนึกถึงกิริยามารยาทของสตรีชั้นสูง
ยุ่งยากเสียจริง
ด้วยความที่มาจากยุคสมัยที่ต้องช่วยเหลือตนเอง ไป๋ฟางเซียนจึงนึกรำคาญไม่น้อยแต่ก็ไม่มากกระไรนัก นับว่านางยังพอทำใจประพฤติตนตามได้อยู่
จื่อถิงลงจากรถม้ามาแล้วจึงยื่นแขนของตนให้เจ้านายสาว ไป๋ฟางเซียนถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือเล็กขาวผ่องของตนเองจับที่แขนของสาวใช้คนสนิทแล้วก้าวลงจากรถม้าอย่างช้า ๆ
ทันทีที่ร่างระหงเผยโฉม ผู้คนที่เดินจับจ่ายใช้สอยซื้อข้าวของก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกตกตะลึงกับความงามเบื้องหน้า อาภรณ์สีฟ้าสดใสที่สวมอยู่บนร่างบางนั้นช่างขับเน้นให้ผู้สวมใส่น่าทะนุถนอมเสียจริง ผิวหรือก็ขาวใสปานหยกชั้นดี ครั้นได้ยลโฉมทุกผู้ก็ได้แต่ตะลึงงันที่สตรีเบื้องหน้ามีใบหน้าล่อลวงผู้คนเช่นนี้
มีบ้างบางคนที่จำได้ว่านางคือสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงที่แต่งงานกับท่านแม่ทัพ เป็นสตรีที่ไม่ออกมานอกจวนมากนัก พอเห็นว่านางออกมาก็นึกสนใจและสงสัยอยู่บ้าง แต่ฟางเซียนกลับไม่สนใจ นางมัวแต่มองสภาพร้านของตนเองอย่างพินิจพิจารณา ‘ร้านเฟยเจิน’
ร้านเฟยเจินคือร้านขายผ้าพับและชุดอาภรณ์ที่ทำสำเร็จแล้ว เป็นทรัพย์สมบัติเพียงอย่างเดียวที่บิดามารดาของเจ้าของร่างทิ้งไว้ให้ ไป๋ฟางเซียนพอใจกับชื่อร้านมาก เฟยเจิน โบยบินสู่ทรัพย์สมบัติ ใช่แล้วละ หลังจากนี้นางจะโบยบินอยู่ท่ามกลางตำลึงเงินตำลึงทอง
เบื้องหน้าของไป๋ฟางเซียนเป็นอาคารสูงสามชั้น มองจากภายนอกนับว่าใหญ่โตไม่น้อย อันที่จริงมันดีกว่าที่นางคิดภาพไว้มาก เห็นทีจื่อถิงจะพูดเกินจริงไปสักหน่อย ทว่าแม้จะใหญ่โตแต่กลับไม่ได้รับความนิยมนัก ดูจากจำนวนผู้คนที่เข้าไปในร้านแล้วกลับน้อยนิดจนน่าใจหาย นี่ทำให้นางปวดใจอยู่บ้าง ดูเอาเถิดมีร้านค้าอยู่ย่านการค้าและทำเลดีเยี่ยงนี้กลับไร้คนสนใจ เจ้าของร่างเดิมก็โง่เหลือแสน วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากหึงหวงบุรุษที่ไม่คิดมีใจให้ตน พลันคิดถึงบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ดวงตาของไป๋ฟางเซียนก็มีริ้วรอยความไม่พอใจพาดผ่านก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋ฟางเซียนมองไปยังอาคารร้านที่อยู่ใกล้ ๆ และละแวกเดียวกันก็เห็นว่า พื้นที่ตรงนี้น่าจะเป็นย่านผ้าและอาภรณ์เสียส่วนใหญ่ แม้ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าย่านที่มีโรงเตี๊ยมและตลาดแต่ก็ถือว่ามีผู้คนเดินอยู่ไม่น้อย ฉับพลันสายตาของไป๋ฟางเซียนสังเกตเห็นถึงลวดลายของชุดที่ถูกปักสำเร็จวางขายของแต่ละร้าน ให้นึกรู้ว่าลวดลายของผ้ามีความคล้ายคลึงกัน ไม่มีอะไรแตกต่างทั้งยังซ้ำซากจำเจหาได้มีความน่าสนใจไม่ หากมีอะไรแตกต่างคงเป็นคุณภาพของผ้าเท่านั้น เพียงเท่านั้นในดวงตาของนางก็สว่างวาบเปล่งประกายสดใสเสียจนผู้คนที่มองมาอดยิ้มตามไม่ได้
‘ยอดไปเลย ลวดลายและแบบชุดค่อนข้างเหมือนกัน งั้นข้าก็สามารถออกแบบและวาดลวดลายให้ช่างปักตามที่ข้าคิดได้สิ แบบนี้ถึงจะแตกต่างเรียกคนเข้าร้านของข้าได้!’ นางคิดอย่างยินดี
ทว่าก่อนอื่นที่นางจะทำสิ่งที่คิดให้เป็นจริง ไป๋ฟางเซียนก็มองเห็นปัญหา แม้ย่านนี้จะเป็นย่านการค้า แต่ร้านอาภรณ์กลับอยู่ใกล้เคียงกัน นี่อาจก่อให้เกิดปัญหาแย่งลูกค้ากันได้ หากร้านตนไม่มีความน่าสนใจพอคงไม่มีคนเข้าร้านแน่ เห็นทีสิ่งแรกที่นางควรทำคือการปรับปรุงร้าน ปรับปรุงให้เหมาะสมรอรับตำลึงเงินตำลึงทองที่จะลอยเข้าถุงเงินของนาง! แค่คิดดวงตาของไป๋ฟางเซียนก็ระยิบระยับแล้ว
“เข้าข้างในเถอะเจ้าค่ะคุณหนู อยู่ตรงนี้นานไม่งามนัก” จื่อถิงสะกิดแขนเรียกเจ้านายก่อนชี้แนะให้เข้าไปในร้าน ซึ่งไป๋ฟางเซียนก็เห็นด้วย ถึงจะบอกว่าไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองมา แต่เมื่อถูกมองจนเป็นจุดรวมสายตามากเข้าก็ให้รู้สึกเก้อเขินเช่นกัน
ว่าแล้วหนึ่งนายหนึ่งบ่าวก็เข้าไปในร้าน และแน่นอนทั้งสองได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเสี่ยวเอ้อร์และหลงจู๊ที่รออยู่ด้านใน เห็นกิริยาอีกฝ่ายที่มีต่อตนและลูกค้าจากที่จื่อถิงรายงานให้ฟังก็นึกพอใจไม่น้อย พอใจที่คนของนางไม่ดูคนที่ภายนอก ไม่เหยียดหยามคนยากจน และไม่ทรยศนาง ทว่าเรื่องนี้ต้องดูกันต่อไปใช่ว่านางจะเชื่อใจใครง่าย ๆ เสียเมื่อไร
จื่อถิงก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าจื่อถิงคือคนที่อยู่ใกล้ชิดนางที่สุด จึงสามารถทำลายกำแพงที่นางตั้งไว้ไปทีละขั้น ๆ ได้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่จะมาเป็นคนของนางนับจากนี้นั้น คงต้องรอดูกันต่อไป
“คารวะเจ้าค่ะฮูหยิน” สี่เสียงสอดประสานดังขึ้นจากสตรีสี่คน สี่ช่วงวัย ต่างหน้าตา ไป๋ฟางเซียนกลอกตาเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกขานว่าฮูหยิน ได้ยินกี่ครั้งล้วนไม่เคยชิน คำเรียกขานเช่นนี้ช่างขัดหูคนงามอย่างนางเสียจริง นางจึงบอกทุกคนเช่นที่บอกกับจื่อถิง
“เรียกข้าว่าคุณหนูก็พอ ส่วนฮูหยินอะไรนั่นไม่ต้องไปสนใจหรอก”
“เจ้าค่ะคุณหนู” แม้พวกนางทั้งสี่จะแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถาม ทุกคนต่างแย้มยิ้มให้กับเจ้านายสาวผู้เป็นเจ้าของร้านอย่างยินดี ในที่สุดนางก็มาที่ร้านแล้ว หลังจากนั้นพวกนางทั้งสี่จึงแนะนำตัวให้ไป๋ฟางเซียนได้รู้จัก
คนแรกเป็นสตรีวัยกลางคนหน้าตาสะอาดสะอ้านดูมีความรู้และความชำนาญเรื่องผ้าไม่น้อย นางมีชื่อว่า อวี้เหนียง ทำหน้าที่เป็นหลงจู๊ของร้าน หรือผู้จัดการร้านนั่นเอง อวี้เหนียงผู้นี้ทำหน้าที่เกือบทุกอย่างแทนผู้เป็นเจ้าของร้านตัวจริง ตั้งแต่รับผ้า ส่งผ้า ทำบัญชี คิดค่าแรง และจิปาถะอีกหลายอย่าง เมื่อไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วก็พยักหน้ารับด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในแววตาคือความพอใจ อวี้เหนียงผู้นี้เป็นสตรีที่เก่งกาจอย่างมากจึงประคองร้านผ้าให้อยู่รอดมาได้
สตรีคนที่สองมีหน้าที่เย็บปักผ้าและตัดชุดให้กับทางร้านเป็นน้องสาวของอวี้เหนียง อายุห่างกันสองปี นางชื่อว่า อวี้หรู จากที่ได้คุยไป๋ฟางเซียนพบว่า คนคนนี้เป็นคนเก่งงานฝีมืออย่างมาก เย็บปักก็เรียบร้อยเป็นระเบียบ ที่ทำให้นางอดทึ่งกับความสามารถของคนยุคนี้ไม่ได้คือ แม้ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างเครื่องจักร มีเพียงแค่มือ เข็ม และด้ายเท่านั้นเอง กลับทำให้งานออกมาดียิ่ง ไป๋ฟางเซียนจึงหมดปัญหาเรื่องลวดลายต่าง ๆ ที่นางจะออกแบบมาให้อวี้หรูได้ปักหลังจากนี้ไป
ส่วนสตรีสองคนสุดท้ายมีชื่อว่า อิงฮวากับเหยาเหยา ทั้งสองนางทำหน้าที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์ของร้าน หน้าตาสะสวยใช้ได้ กิริยามารยาทดี เหนือสิ่งอื่นใดคือความฉลาดหลักแหลม ด้วยความที่พูดเก่งและมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ และช่างเอาอกเอาใจลูกค้า จึงสามารถพูดชักจูงผู้คนให้ซื้อผ้าร้านนางได้อย่างชำนาญ นี่คงเป็นคุณสมบัติของฝ่ายขายกระมัง ซึ่งนั่นทำให้ไป๋ฟางเซียนพอใจอย่างมาก
หลังจากที่รู้จักทุกคนแล้วนางจึงบอกจุดประสงค์ของตนเองที่มาในวันนี้ทันที
“อวี้เหนียง เจ้าไปเขียนป้ายติดหน้าร้านว่าร้านปิดปรับปรุงชั่วคราวเสีย เราจะได้มาคุยรายละเอียดกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนู” อวี้เหนียงรับคำและจัดการงานที่ได้รับมอบหมายอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เดินผ่านต่างสงสัย ร้อยวันพันปีร้านผ้าเฟยเจินไม่เคยติดประกาศเช่นนี้ วันนี้ติดไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทว่าแม้จะสงสัยแต่กลับไม่มีใครรู้คำตอบ อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะรู้ในเร็ว ๆ นี้