ตอนที่ 6 ความรู้สึกก่อตัว

1899 คำ
"ลุง...ลุงมีหนมให้ภิณกินบ้างไหม...ลุง" ผ่านไปเพียงสิบนาทีน้ำเสียงใสๆ ก็ถามหาขนมจากคนตัวสูงที่นั่งสเก็ตช์ภาพเครื่องประดับคอลเลคชั่นใหม่ลงบนแผ่นกระดาษ เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเอ่ยเรียกของคนตัวเล็ก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดที่ทำให้เขามานั่งทำงานพวกนี้แทนที่จะไปซ้อมที่สนามแข่งรถ เพราะวันแข่งขันก็ใกล้เข้ามาทุกที ทั้งที่ความตั้งใจแรกก่อนที่จะออกจากคอนโดมิเนียมคือสนามแข่งรถของเขาเอง แต่จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนใจกลางทางหักพวกมาลัยยูเทิร์นรถมายังที่แห่งนี้ "ลุงไปซื้อเค้กกันไหม เออใช่ ภิณยังไม่ได้คืนตังค์ลุงเลย" คนตัวเล็กเด้งตัวลุกจากโซฟาเปิดกระเป๋าเป้หากระเป๋าสตางค์ของตัวเอง แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ "หายไปไหนนะ...ต้องลืมไว้ที่โต๊ะอาหารแน่ๆ เลย" ภิณนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่จะออกมาเรียนกวดวิชาเธอเอากระเป๋าสตางค์ออกมาใส่เงินที่คนเป็นพ่อให้ขณะรับประทานอาหารเช้า แล้ววางไว้บนโต๊ะอาหารไม่ได้เอาใส่กระเป๋าเป้ไว้เหมือนอย่างเคย "หิวอ่ะ...ลุง...ลุงได้ยินภิณไหม...ลุง" ภิณร้องเรียกคนตัวสูงที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่ขานรับเธอ "ลุงวาดอะไร ลุงวาดรูปเก่งจัง วันหลังลุงสอนภิณบ้างสิ ลุง...ลุงไม่หิวบ้างเหรอ เราไปซื้อเค้กกันไหม แต่วันนี้ลุงต้องเลี้ยงภิณนะ ภิณลืมเอากระเป๋าตังค์มา ลุงขา ภิณหิ๊วหิว ลุงไปซื้อเค้กกันนะ ภิณกินแค่ชิ้นเดียวก็ได้ นะลุงนะ" คนตัวเล็กลุกเดินมายืนที่หน้าโต๊ะทำงานของคนตัวสูง โน้มตัวลงไปเท้าคางมองสิ่งที่เขากำลังกระทำ ก่อนจะเอียงศีรษะเล็กช้อนตามองใบหน้าหล่อเหลาที่ขมวดคิ้วยุ่ง เสียงใสเอ่ยอย่างออดอ้อน ทำตาปริบๆ "นี่!! อยากโดนจับทุ่มออกไปข้างนอกใช่ไหม" คนตัวสูงตะคอกใส่คนตัวเล็กเสียงดังลั่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ดวงตาคู่คมฉายแววความกราดเกรี้ยวขึ้นมา "ลุงอย่าดุภิณสิ แล้วลุงก็อย่าหัวร้อนด้วย ภิณไม่ได้อยากกวนลุง แต่ภิณหิว ภิณอยากกินเค้ก" คนตัวเล็กหาได้สะทกสะท้านกับความกราดเกรี้ยวนั้นไม่ เธอเดินเข้าไปหาคนตัวสูงสองมือเล็กจับที่ลำแขนแข็งแรง ซบใบหน้าลงบนไหล่แกร่งเหมือนอย่างที่เธอทำกับคนเป็นพ่อเวลาที่ออดอ้อนขอในสิ่งที่ต้องการ "อยากกินก็โทรให้พ่อเธอมารับ แล้วก็กลับไปซะ อย่ามาทำตัวน่ารำคาญ" หัวใจของคนตัวสูงเต้นเป็นจังหวะที่ผิดแผกไป เป็นจังหวะระรัวเร็วขึ้นหลายจังหวะ ยิ่งได้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มที่ถูไถเขาอยู่ทำให้หัวใจของเขาพลันร้อนวูบวาบ มือหนาผลักใบหน้าจิ้มลิ้มออกพ้นตัว ก่อนจะบอกเสียงฉุนเฉียวกลบเกลื่อนความรู้สึกของหัวใจ "ทำไมชอบไล่ ภิณไม่น่ารักเหรอ" คนตัวเล็กเชิดปากเถียงอย่างแง่งอน "แล้วทำไมเธอต้องมายุ่งวุ่นวายกับฉันนักห๊ะ" "ก็ลุงปกป้องภิณไว้ไง" "ฉันไม่ได้ปกป้องเธอ มันเป็นแค่ความบังเอิญ เข้าใจความบังเอิญไหม" "เข้าใจ แต่ตอนนี้ลุงก็ต้องเข้าใจภิณด้วยว่าภิณหิว แต่ภิณไม่มีตังค์ แล้วภิณก็ยังไม่อยากกลับด้วย" "เด็กอะไรวะ มึนฉิบ พ่อเธอไม่ได้สอนหรือไงว่าไม่ควรเข้าใกล้ผู้ชายแปลกหน้า" "ว่าภิณเป็นเด็กอีกละ แล้วคุณพ่อก็สอนภิณแล้วด้วย แล้วลุงก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับภิณ เราเจอกันตั้งหลายครั้ง วันนี้ภิณยอมเป็นเด็กน้อยของลุงให้วันหนึ่งก็ได้ ลุงซื้อเค้กให้ภิณหน่อยนะ แค่ชิ้นเดียวก็ยังดี" "เออๆ" รัณย์ตอบไปอย่างตัดความรำคาญ "เย่! ลุงน่ารักที่สุดเลย" ภิณกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจแบบสุดๆ ก่อนจะวิ่งไปใส่รองเท้า "ลุงไปร้านนั้นนะ ร้านที่ภิณเจอลุงวันนั้นน่ะ" ภิณเดินเกาะแขนรัณย์พลางเขย่าแขนแกร่งเบาๆ ด้วยท่าทีออดอ้อน พนักงานสาวทั้งสามคนละสายตาจากลูกค้ามองทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจ "เรื่องมาก ร้านไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น" รัณย์ว่าเสียงเรียบติดไปทางหงุดหงิด "แต่ร้านนั้นเค็กช็อกโกแล็ตอร่อย เค้กชาเขียวด้วย ชีสเค้กก็ด้วย" เสียงใสเจื้อยแจ้วดังไปตลอดทางที่ทั้งคู่เดินไปยังร้านกาแฟชื่อดังภายในห้างสรรพสินค้าสุดหรูหรา "หูยยย มีแต่น่ากินทั้งนั้นเลย" ดวงตากลมโตมองเค้กในตู้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ "Pikes Place drip coffee" รัณย์สั่งกาแฟสำหรับตัวเอง "ลุง ภิณเอาชาเขียวปั่นด้วยได้ไหม" พอได้ยินเขาสั่งกาแฟเธอก็เอ่ยขอในสิ่งที่ชอบบ้าง "อยากกินก็สั่ง" เขาบอกเสียงเรียบ "ชาเขียวปั่นแก้วใหญ่ใส่วิปครีมเยอะๆ ค่ะพี่ แล้วเอาเค้กชิ้นนี้ด้วยค่ะ ...ลุง ภิณขอชิ้นนี้อีกชิ้นได้ไหม" ภิณสั่งน้ำแก้วโปรดของตัวเอง ก่อนจะร้องขอเค้กกับคนตัวสูงอีกชิ้นอย่างอดใจไม่ไหวกับความน่ากินของมัน "ไหนบอกจะกินชิ้นเดียวไง" "ก็มันน่ากิน นะลุงนะ" "ถ้ากินไม่หมด ฉันจะจับยัดปากเธอ" พูดจบร่างสูงก็เดินไปนั่งที่โต๊ะที่ในมุมที่เงียบสงบของร้าน "ดุจริงเชียว ...พี่คะเอาชิ้นนี้ค่ะ หูยยย ชิ้นนั้นก็น่ากิน พี่คะเอาชิ้นนั้นด้วย" ภิณว่าคนตัวสูงปากยู่ ก่อนจะหันมาตื่นตาตื่นใจกับเค้กตรงหน้า ไม่นานกาแฟ ชาเขียวปั่น ขนมเค้กอีกสามชิ้นก็มาวางอยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ รัณย์มองจานขนมเค้กชิ้นโตทั้งสามชิ้นสลับมองใบหน้าจิ้มลิ้ม "ก็มันน่ากิน ภิณอดใจไม่ไหวจริงๆ แค่นี้ขนหน้าแข้งลุงไม่ร่วงหรอกเนอะ" ภิณบอกใบหน้าระรื่น ต่างจากคนตรงหน้าที่มีสีหน้านิ่งเรียบ คิ้วขมวดยุ่งเล็กน้อย ก่อนจะยกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นมาดื่ม สายตาเย็นชาเสมองไปทางอื่น ไม่อยากมองคนตัวเล็กตรงหน้า "ลุงกินด้วยกันไหม" ภิณถามหลังจากกินเค้กไปได้ครึ่งชิ้น เธอเห็นเขาดื่มแค่กาแฟแก้วเดียวจึงกลัวว่าเขาจะไม่อิ่ม "ฉันไม่ชอบกินอะไรที่มันหวานๆ เลี่ยนๆ" รัณย์ตอบเสียงเรียบ "แต่ถ้าลุงได้ลองอาจจะชอบก็ได้นะ อ่ะภิณป้อน ลุงลองชิมดู" ภิณตักเค้กขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้าคนตัวสูง "ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ อย่ามาทำตัวน่ารำคาญ" ดวงตาคู่คมฉายแววกราดเกรี้ยวขึ้นมา และถ่ายทอดออกมาทางน้ำเสียงของเขาด้วย ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างหงุดหงิด "ชิ ไม่กินก็ไม่กิน ภิณกินเองก็ได้" คนตัวเล็กทำปากขมุบขมิบ ก่อนจะจัดการเค้กคำนั้นใส่ปากตัวเอง แล้วตั้งหน้าตั้งตากินเค้กทั้งสามชิ้นจนหมด โดยมีสายตาคมกริบลอบชำเลืองมองอยู่เป็นระยะๆ "อ่าาา อิ่มจัง เอิก!! อุ๊บ!" ภิณนั่งลูบท้องป่องๆ ของตัวเองขณะเอนหลังพิงเก้าอี้หลังจากเขมือบเค้กสามชิ้นกับชาเขียวปั่นไปจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเมื่อเผลอตัวเรอออกมาต่อหน้าคนตัวสูง "ตะกละ" รัณย์ว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ "ภิณไม่ได้ตั้งใจนะ มันละ...เอิก! อุ๊บ!" ภิณรีบลุกตามคนตัวสูงก่อนจะยกมือปิดปากตัวเองอีกรอบ "อิ่มแล้วก็โทรให้พ่อเธอมารับได้แล้ว" รัณย์บอกทันทีที่กลับมาถึงห้องทำงานของเขา "ภิณขอนั่งพักก่อนนะ ลุงทำงานต่อเลย" ภิณหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว โดยไม่สนใจสีหน้าดุดันของคนตัวสูง รัณย์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลันสะบัดตัวเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ก๊อกๆ "คุณอารัณย์ค่ะ มีลูกค้านำเพชรมาเสนอขายค่ะ" เสียงเคาะประตูดังขึ้น พนักงานสาวเปิดประตูเข้ามาแจ้งเรื่องต่อเจ้านายหนุ่ม "อืม" รัณย์ตอบรับเสียงในลำคอ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงาน โดยไม่สนใจคนตัวเล็กที่มองตามเขา "ทำไมคุณถึงต้องการขาย" รัณย์เอ่ยถามชายวัยกลางคนที่เขาเคยเห็นหน้าตามสื่อของแวดวงสังคมอยู่บ้าง หลังจากตรวจเช็คเพชรน้ำงามที่ส่องแสงประกายวิบวับทั้งแปดเม็ด "ผมขอบอกคุณตามตรงว่าตอนนี้ผมประสบปัญหาทางการเงิน ถ้าผมไม่จนปัญญาจริงๆ ผมคงไม่ขายเพชรทั้งแปดเม็ดนี้" ชายวัยกลางคนบอกอย่างนึกเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ต้องขายของที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน "ผมตกลงรับซื้อในราคาที่คุณเสนอมา" รัณย์ตอบตกลงรับซื้อเพชรทั้งแปดเม็ดในราคาที่สูงพอสมควรทันที หลังจากทำเรื่องซื้อขายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รัณย์นำเพชรทั้งแปดเม็ดนั้นกลับมายังห้องทำงานแล้วใส่ตู้เซพไว้ ร่างสูงเดินไปหยุดยืนที่โซฟา ที่ตอนนี้กลายเป็นที่นอนของเด็กสาว รัณย์ยื่นมือไปสะกิดคนตัวเล็กเบาๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เขามองจ้องไปที่ใบหน้าจิ้มลิ้ม ผิวขาวเนียนใสกับพวงแก้มสีชมพู องค์ประกอบบนใบหน้าที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ขนาดยังเด็กอยู่เค้าโครงหน้ายังฉายชัดถึงความงดงาม ถ้าโตมายิ่งไม่ต้องพูดถึง แพรขนตายาวที่กำลังหลับพริ้ม มุมปากเล็กๆ นั้นกำลังคลี่ยิ้มน่ารัก จนพานทำให้คนมองเผลอยิ้มตามไปด้วยอย่างลืมตัว รัณย์มองจ้องไปที่แก้มของภิณสักพักใหญ่ ครั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ก่อนที่จะโน้มหน้าเข้าไปหาสิ่งล่อตาล่อใจ ทว่าจังหวะที่ปลายจมูกโด่งสันกำลังแตะสัมผัสกับพวงแก้มเด็กสาว ก็จำต้องผละถอยห่างอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น "มีอะไร" รัณย์รีบปรับสีหน้าและท่าทีให้เป็นปกติก่อนจะเอ่ยถามพนักงานสาว "คุณพ่อของน้องมาถามหาน้องค่ะ" พนักงานสาวเอ่ยบอก "อืม ให้เขาเข้ามา" รัณย์ตอบ ไม่นานพนักงานสาวก็พาภูเข้ามา "ฉันต้องขอโทษด้วยที่ลูกสาวของฉันมารบกวนนายที่นี่" ภูบอกขณะอุ้มลูกสาวที่หลับสนิทในท่าอุ้มเด็กน้อย "ไม่เป็นไรครับ" รัณย์ตอบเสียงเรียบ "อีกไม่กี่วันโรงเรียนก็จะเปิดเทอม ภิณคงไม่มาสร้างความรบกวนให้นายอีก" ภูบอกก่อนจะอุ้มลูกสาวออกไป หัวใจแกร่งบีบตัวแน่นอย่างที่เขาเองก็หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ ว่าเป็นเพราะเหตุใดเขาถึงต้องรู้สึกใจหายเมื่อได้ยินว่าคนตัวเล็กจะไม่มาหาเขาอีก ก่อนจะรีบสลัดความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลออกจากหัว ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัวในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม