ตอนที่ 5 ทำไมถึงรู้ล่ะ?

2592 คำ
ตั้งแต่กลับมาที่บ้าน แพรววนิดเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องของตัวเอง ซึ่งถูกตกแต่งไปด้วยสีฟ้าเป็นส่วนใหญ่ แม้ตัวเองจะชอบสีส้มก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไมเวลาแวะไปซื้อของมาตกแต่งห้องทีไร มักจะหยิบสีฟ้ามาตลอดเวลา กลายเป็นว่าเธอคุมโทนสีโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวก้มมองเท้าของตัวเอง แผลถูกรองเท้ากัดปิดด้วยปลาสเตอร์เรียบร้อย ก่อนจะเหลือบมองโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง ตั้งแต่ถูกนำมาคืนถึงที่ เจ้าหล่อนยังไม่กล้าแตะมันเลยสักนิด เอาแต่มองอยู่แบบนั้น สลับกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่แนบมาด้วย ‘ผมเอาเครื่องของคุณพะแพงไปเช็กเล็กน้อย เกรงว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะติดตั้งโปรแกรมอะไรในเครื่องของคุณครับ ต้องขออภัยที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และอีกเรื่องที่ผมอยากจะขอร้อง คือช่วยปิดเรื่องวันนี้ให้เป็นความลับที่สุดด้วยนะครับ ให้เหมือนว่าไม่เคยเจอชยกรตัวปลอมคนนั้น ขอบคุณครับ’ -ขุนพล- “นั่นสินะ มันต้องเป็นคุณขุนพลอยู่แล้ว... เขาหน้าฝรั่งแบบนั้น จะไปเขียนภาษาไทยได้อย่างไรกัน” เป็นการปลอบใจตัวเอง แต่กลับทำให้อารมณ์ในอกเศร้ากว่าเดิม หากวันนั้นไม่เจอกัน ถ้าพี่สาวไม่พาเขามาบ้านในฐานะบอดี้การ์ด บางทีอาจจะไม่เป็นแบบนี้ เพราะปัญหาอะไรหลายอย่างที่เกิดขึ้น แฝดคนพี่อย่าง แพรพิไล หรือ ‘พะเพื่อน’ และแฟนสาวของเธออย่าง อัญชิสา หรือ ‘โอบขวัญ’ จำเป็นต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา โดยมีบอดี้การ์ดร่างใหญ่ทั้งสองมาคุ้มกัน แม้กระทั่งทั้งคู่จะมาพักผ่อนที่บ้านสวนแห่งนี้ เป็นการเจอกันครั้งแรก แพรววนิดแค่รู้สึกว่าพวกเขาหล่อดี แต่ดูเหมือนแซนจะพูดมากเกินไป สายตาเธอจึงมาตกที่คนเงียบขรึมอย่างอาโรว์ ตอนแรกเจ้าหล่อนสาบานเลยว่าไม่ได้คิดอะไร แค่คนหล่อคนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อถูกเขาช่วยชีวิตเอาไว้ ความรู้สึกมันเลยระเบิดออก กลายเป็นชอบเขาจนได้ “ถ้าตอนนั้นฉันไม่พูดออกไป จะดีกว่าหรือเปล่านะ?” เจ้าหล่อสารภาพความในใจกับเขา และโดนปฏิเสธทันที หรือจังหวะมันไม่ดีหรืออย่างไรกัน แต่ถึงอย่างนั้น การได้เจอกันอีกครั้ง มันก็เหมือนกับว่าโดนปฏิเสธอีกเป็นครั้งที่สอง เธอร้องไห้ต่อหน้าเขา และยังมีแผลรองเท้ากัดเหมือนกับตอนนี้อีกต่างหาก บางทีหากไม่ได้เจอกันตั้งแต่แรก... มันจะดีกว่าหรือเปล่านะ แพรววนิดอาจจะกรี๊ดคนหน้าตาดีต่อไป หรือตอนนี้อาจจะลงเอยกลับใครสักคนไปแล้ว ไม่ต้องมานั่งประสาทเสียกับไอ้เสี่ยหัวงูที่จ้องจะจับเธอไปเป็นเมียน้อยตัวเองแบบนี้ (เรื่องราวการพบกันของอาโรว์และพะแพง จะอยู่ในเรื่อง My Little Girl เพียงพบรัก (GL) นะคะ) “เฮ้อ~” หญิงสาวทิ้งตัวลงนอน การเจอกับอาโรว์อีกครั้งในรอบปี กลายเป็นว่าต่อให้เหนื่อยหรือเมื่อยอย่างไร เธอไม่สามารถข่มตาหลับได้เลย โทรศัพท์มือถือถูกเปิดเครื่องอีกครั้ง และทันทีที่เปิดขึ้น ทั้งข้อความ และหมายเลขที่พยายามติดต่อเจ้าหล่อน มันเด้งขึ้นมาราวกับว่ามีใครกำลังจะตาย!! Errr~ หัวใจแทบวาย เปิดปุ๊บมีสายเข้ามาปั๊บ ราวกับว่ากำลังเฝ้ารอเจ้าหล่อนอยู่ ยิ่งทำให้รู้สึกเสียวสันหลังกว่าเดิมเสียอีก เพราะเพิ่งผ่านเรื่องชวนขนลุกมา เป็นประสบการณ์ที่แพรววนิดคนนี้ ไม่อยากเจอเลยสักนิด ไอ้ประสบการณ์นั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกับฆาตกรเนี่ย!! ‘เรไร’ “มีอะ...” [ปิดเครื่องทำไมยะ!! แกรู้หรือเปล่าว่าพวกฉันเป็นห่วงแกแค่ไหน นี่คิดว่าถ้ายังติดต่อไม่ได้อีกจะบุกไปหาถึงบ้านแกเลยนะแพง!!] ยังไม่ทันพูดอะไร ยัยเพื่อนขี้โวยวายก็โผล่ขึ้นมากลางปล้องเชียว! แต่เหมือนเหตุการณ์แบบนี้มันจะคุ้น ๆ อยู่นะ เหมือนเคยเจอที่ไหน “อ่อ พอดีว่าฉันลืมมือถือเอาไว้ เพิ่งได้คืน โทษทีนะ” และเสียงหัวเราะแฮะ ๆ ทำเอาคนเป็นห่วงแทบไม่เป็นตาทำอะไรควันขึ้นหัว “โอ๋ ๆ นะเร ฉันมันขี้ลืมเอง โทษทีครับผม” [เอาเถอะ ๆ ฉันเป็นห่วงแก กลัวแกน้อยใจจนคิดมาก แต่พอได้ยินเสียงแกแบบนี้แล้ว ค่อยสบายใจหน่อย] น้อยใจหรือ? มันก็น้อยใจนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่เข้าใจทุกอย่างว่าจูบนั่นทำไปเพราะอะไร แต่ยิ่งคิดยิ่งทำให้ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว สัมผัสอุ่นนั่นยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก และทุกครั้งที่คิดถึง... มันยิ่งสับสน กำลังจะลืมได้แล้วหรือเปล่า? กำลังจะตัดใจได้แล้ว? แต่การมาเจอกันอีกครั้งหลังไม่ได้ข่าวมานาน มันเหมือนเป็นการกวนน้ำให้ขุ่น อย่างกับว่าจะมีความหวัง แต่ความหวังนั้นถูกพังลงในพริบตา ‘จะได้เจออีกหรือเปล่า แล้ว... ถ้าเจอกันอีกฉันจะทำหน้าอย่างไรดี? อาจจะร้องไห้อีกก็ได้’ [ทำไมเงียบ หรือว่าแกน้อยใจจริง ๆ มันมีสาเหตุนะแพง ที่คุณทนายไปไม่ได้ เพราะว่า... เอ่อ คือว่า... เขาถูกพบเป็นศพไปแล้ว] ตอนนี้ข่าวเรื่องทนายชยกรแผ่กระจายไปทั่ว เพราะฝีมือของขุนพลและลูกน้อง ศพที่ซ่อนเอาไว้ถูกโบกปูนแน่ในห้องของเขาเอง เป็นเรื่องสยดสยองที่ถูกพูดถึงจนขึ้นเทรนอันดับหนึ่งในตอนนี้ “...” แพรววนิดไม่ตอบอะไร วันนี้เธอเหนื่อยเกินไปจะแสดงท่าทีตกใจให้สมจริงแล้ว [ไม่แปลกหรอกที่แกจะตกใจ ตอนเห็นข่าวฉันยังตกใจเลย แต่สิ่งที่ฉันเป็นห่วงก็คือแกนะแพง... กลัวว่าแกจะนั่งกินข้าวกับผี] “ไอ้บ้า! ผีอะไร บ้าบอ! และฉันก็ไม่ได้เจอใครด้วย แค่นั่งรอจนเบื่อแล้วกลับ!!” พอนึกถึง เจ้าหล่อนอยากจะคายตับห่านราคาแพงออกมาตอนนี้เลยด้วยซ้ำ! อีกอย่างที่ทำให้เธอไม่กล้าลุกไปไหนก็คือเรื่องผีนี่แหละ! ต่อให้เดินในสวนตอนกลางคืนได้สบาย แต่ถ้าใครสักคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มันจะทำให้แพรววนิดระแวงไปทั้งคืน! [ฮ่า ๆ ๆ โตจนจะมีสามีอยู่แล้ว ยังไม่เลิกกลัวผีอีกนะ บางที วิญญาณของคุณทนายอาจจะไปนั่งกับแกที่ร้านอาหารก็ได้นะแพง~] “ไอ้เร!! ฉันกลัวนะ ถ้าเขามาจริง ๆ แล้วตามกลับมาด้วยจะทำยังไงล่ะ!?!” แพรววนิดเบะปากอยากร้องไห้เต็มแก่ เจ้าหล่อนเกลียดเรื่องผีเป็นที่สุด [เอาน่า ๆ เห็นเขาบอกว่าถ้าไม่เคยไป ก็ไปไม่ได้หรอก ไม่ต้องห่วง] คนไม่กลัวผียังคงแหย่คนกลัวผีไม่เลิก “อย่าพูดเรื่องผีตอนกลางคืนได้หรือเปล่า ฉันกลัวนะเร” คนกลัวผีรีบสอดขาเข้าใต้ผ้าห่ม รู้ทั้งรู้ว่าถ้ามีผีมาหลอกจริง ๆ คงช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่ถึงอย่างนั้น เป็นที่พึ่งทางใจก็ยังดี [โอเค ๆ ถ้าแกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันหาสามีให้ใหม่ จะเอาให้เลิศกว่าเดิมเลย] “ไม่ต้องเลยนะ!! ไม่เอาแล้ว!!” แพรววนิดเด้งตัวขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเรื่องที่น่ากลัวน้อยกว่าผีเล็กน้อย “เป็นโสดก็ดี ถ้ามันเป็นไม่ได้ ฉันจะหนีไปบวชชี!!” [แต่ถ้าแกบวชชี อาจจะเจอผีนะ] “ไอ้เร!! ไอ้เพื่อนเลว!!” พอรู้ว่าเพื่อนตัวเองไม่เป็นอะไรอย่างที่ห่วง เรไรจึงตัดสายไป เหมือนโชคดีอยู่บ้างที่การได้คุยกับเธอ จะทำให้แพรววนิดรู้สึกดีขึ้น ถึง... จะผวาเรื่องผีก็ตามทีเถอะ!! ‘อย่าตามมานะ ขอร้อง บ้านฉันพระเยอะนะ เข้าไม่ได้หรอก’ หน่วยป้องกัน และรักษาความปลอดภัยระดับสูง หรือเรียกกันอย่างชินปากว่า ‘ยามหลังบ้าน’ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีคำว่าป้องกันเข้ามา แต่ด้วยหน้าที่มากขึ้น อีกทั้งยังมีสมาชิกเพิ่มขึ้น จึงมีการกระจายหน้าที่ออกเป็นสามส่วนใหญ่ ๆ คือ หน่วยแรก คือ ‘แนวหน้า’ ซึ่งหน้าที่คือการบุกทะลวง ไม่ว่าภารกิจจะอันตรายแค่ไหน แต่ทุกคนในหน่วยล้วนถูกฝึกกับหน่วยรบพิเศษมาอย่างดี ทั้งเรื่องฝีมือ เซนส์การต่อสู้ และพละกำลัง ถูกขัดเกลาอยู่ตลอดเวลา โดยมีหัวหน้าอย่าง ‘ขุนพล’ เป็นคนคอยควบคุมและดูแลประหนึ่งเงาตามตัว อีกหน่วยที่สำคัญคือ ‘แนวหลัง’ จำนวนสมาชิกเพียงแค่หยิบมือ แต่ละคนขุนพลเคยให้ฉายาว่า ‘ปีศาจตายไม่เป็น’ เพราะขึ้นตรงกับ ‘จอมทัพ’ ผู้นำสูงสุดของยามหลังบ้าน หน้าที่หลักคือการแฝงตัวสืบหาข้อมูล ส่วนใครที่ถูกเปิดเผยตัวตน จะต้องถูกย้ายมาทำงานเป็นแนวหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ มี ‘กองทัพ’หลานชายที่จอมทัพเลี้ยงมากับมือเป็นหัวหน้า แต่เขานั้น... ไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็นสักเท่าไหร่ อีกส่วนเป็นฝ่ายสนับสนุน ซึ่งจะเป็นหน่วยที่คิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ก็การหาข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีสมาชิกตายตัว เพราะเป็นหน้าที่ที่ทั้งแนวหน้าและแนวหลังต่างร่วมมือกันเสียมากกว่า และมักจะปรับเปลี่ยนหัวหน้างานไปเรื่อย ๆ ตามความเหมาะสม เป็นองค์กรอิสระ โดยมีเงินสนับสนุนจากหลายแห่ง ซึ่งทุกวันนี้ยังคงเป็นความลับ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ เป็นหน่วยงานที่คอยจัดการเรื่องลับ ๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในประเทศ ยอมมือสกปรกเพื่อให้ประเทศได้เดินต่อไป ‘เพราะผู้มีอำนาจบางคน ไม่สามารถใช้กฎหมายจัดการได้ บางครั้งต้องให้มือจากด้านหลังจัดการให้’ กระดาษหนึ่งแผ่นถูกยื่นไปตรงหน้าคนใส่แว่นหนา เพราะเขาจ้องหน้าจอมากว่าห้าชั่วโมงแล้ว ก่อนจะเงยขึ้นพร้อมคิ้วเข้มขมวดแน่นเล็กน้อย มองกระดาษตรงหน้า สลับกับคนหน้านิ่ง “อะไร?” “ตรวจสอบให้แล้ว มีอะไหล่ชำรุด ฝากดีนจัดการให้หน่อย... ครับ” เขาพยายามลงหางเสียงเข้าไปด้วย แม้จะเรียนด้วยกันอยู่หลายปี แต่เวลาจะขอร้องใครควรมีหางเสีย... ลูกพี่ขุนของเขาสอนเป็นประจำ “แกก็สั่งสิวะ อาโรว์” ดิฐกันต์ หรือ ดีน ตอนนี้เขาโต้รุ่งมาหลายคืนแล้ว อยากจะเคลียร์งานให้เสร็จก่อนวันที่ภรรยาของตนจะคลอด แต่ไอ้คนหน้าตายตรงหน้า ดันหางานมาให้อีกนี่สิ! “ไม่อยากคุยกับดีลเลอร์คนนั้น... ครับ เขา... พูดไม่รู้เรื่อง... ครับ” “ถ้ามันจะลำบากขนาดนั้น ไม่ต้องพูดลงท้ายว่าครับก็ได้ รำคาญหูชะมัด!” คนโต้รุ่งบ่นอุบ ก่อนจะรับเอกสารมาวางเอาไว้ตรงหน้า มันเลยทำให้เพื่อนร่วมรุ่นยิ้มออกมาเล็กน้อย “ขอบคุณด้วย” “ขอบคุณครับ” พูดแล้วรีบหันหลังเดินออกไป เพราะกลัวว่าดิฐกันต์จะเปลี่ยนใจทีหลัง ส่วนคนโดนใช้งานซ้ำซ้อนได้แต่มองตามหลัง ก่อนจะหันไปบ่นกับลูกน้องคนอื่นในทีม “แค่สั่งอะไหล่เองนะ มันวุ่นวายอะไรขนาดนั้นวะ!?!” ส่วนลูกน้องของตนได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนออกมาเล็กน้อย แน่ล่ะ นั่นคือหนึ่งในสิบขุนพลหลักของแนวหน้าเชียวนะ แถมจากค่าประเมินล่าสุด หมัดยังหนักกว่าหัวหน้าตัวเองตั้งเยอะ การเลือกที่จะไม่ไปผสมโรงด้วย คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนคนจัดการงานเล็กน้อยที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้น (ซ่อมเครื่องฟอกอากาศชั้นใต้ดิน) จึงเดินไปคว้ากุญแจรถยนต์ของศูนย์ หมายจะออกไปข้างนอกอย่างที่ทำทุกวัน... ตั้งแต่เจอกับเธออีกครั้ง “จะไปไหน” แต่กลับโดนเรียกเอาไว้ แถมยังเป็นคนที่ขัดไม่ได้เสียด้วย “ธุระครับ” อาโรว์หันไปตอบหัวหน้าของตน ก่อนจะยัดกุญแจรถยนต์ลงกระเป๋ากางเกงขายาวตัวโปรด “ลูกพี่ขุนจะไปไหนหรือครับ?” “ไม่ต้องมาถามเลย ไปกับฉันหน่อย” ขุนพลกำลังจะเดินนำไป แต่กลับโดนลูกน้องหน้าไม่สบอารมณ์มาขวางเอาไว้เสียก่อน “ไปไหนครับ ผมบอกแล้วว่ามีธุระไง” อาโรว์ขมวดคิ้วแน่น จ้องมองตากับลูกพี่ของตัวเองอยู่นาน แต่สุดท้ายต้องเป็นฝ่ายหลบเสียเอง “ไปนานหรือเปล่าครับ?” “ก็อาจจะ แค่ไปหาไอ้โอบ ใกล้แค่นี้เอง” ขุนพลจ้องมองลูกน้องตรงหน้า ดวงตาขุ่นมัวในตอนแรกเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจและชักสีหน้าไม่อยากไปเต็มที “ลูกพี่ไปเองก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องลากผมไปเลย” การไปหาอัญชิสา หรือโอบขวัญ รุ่นน้องของขุนพล มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนักหรอก แต่มันติดตรงคนที่อยู่กับเธอต่างหาก รู้ว่าไม่ใช่ แต่หน้าเหมือนกันขนาดนั้น... มันยิ่งทำให้คิดถึงไม่ใช่หรือ? “เอาน่า! ไปด้วยกันหน่อย ฉันไม่อยากโดนไอ้โอบมันรังแก ไปกับฉันหน่อยนะอาโรว์” ขุนพลทำกะพริบตาปริบ ๆ มองอย่างอ้อนวอน เพราะอัญชิสาสำหรับชายหนุ่ม มันไม่ต่างจากนางมารที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยอย่างไรล่ะ!! “ลูกพี่ มันน่าเกลียดนะครับ อีกอย่าง คุณโอบไม่ทำอะไรรุ่นพี่หรอก” อาโรว์พยายามสลัดหัวหน้าของตัวเองออก แต่ดูเหมือนว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดได้ เพราะเขาดันจับจุดอ่อนของตัวเองได้นี่สิ! “อาโรว์ หลายวันมานี้ แกชอบเอารถของศูนย์ไปที่ไกล ๆ ทุกวันเลยใช่หรือเปล่า? เป็นที่ที่ดีนะ อากาศก็ดี วิวก็สวย แถม... ยังได้เจอคุณพะแพงอีกต่างหาก” ร่างทั้งร่างชะงัก ความเล่นตัวในตอนแรกค่อย ๆ หายไป ดวงตาสีน้ำเงินเข้มตวัดมองหัวหน้ากำลังกรีดยิ้มเล็กน้อย พร้อมหยักคิ้วอย่างน่าหมั่นไส้อีกหนึ่งที หัวหน้าหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ พร้อมดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองอย่างจับสังเกต อาโรว์เกลียดสายตาแบบนี้ที่สุด โดยเฉพาะคนที่เดาความคิดอะไรไม่ได้อย่างขุนพล!! “ละ... แล้วยังไงครับ ผมแค่เป็นห่วงความปลอดภัยจากงานของเราเท่านั้น” แถได้อย่างแนบเนียน “เข้าใจได้ ต่อให้คนที่ศูนย์จะรู้เรื่องนี้ แกคงไม่แคร์สินะ แต่ถ้า...” ว่าแล้วก็ควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เตรียมต่อสายไปหาใครสักคน “...คุณพะแพงรู้... คงน่าสนุกไม่น้อย” ขวับ!! อาโรว์เอื้อมมือไปหมายจะปัดโทรศัพท์ในมือหัวหน้าด้วยความเร็ว จนเครื่องเล็กเท่าฝ่ามือมันกระเด็นลอยขึ้นกลางอากาศ สองหนุ่มจึงทุ่มสุดตัวเพื่อกระโดดคว้าเจ้าเครื่องสีดำมาครองให้ได้ และสุดท้าย... “จะไปด้วยกันมั้ย?” หัวหน้าย่อมชนะอยู่แล้ว พร้อมโชว์โทรศัพท์ของตัวเองให้ผู้แพ้ แถมยังส่งยิ้มยียวนให้เป็นของแถม “ผม... ขับเองครับ” “ดีมาก” หัวหน้าเข้าไปกอดคอลูกน้อง พร้อมออกแรงลากคนทำหน้าหงุดหงิดให้ตามไปแต่โดยดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม