ขอให้กลับไปได้ ต่อให้ต้องบนบานสานกล่าวกับที่ไหน เธอก็ยอม

2252 คำ
การที่มีผู้ชายแปลกหน้ามาร่วมห้อง ถึงจะไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกันแต่ก็ทำให้มีนาข่มตานอนไม่หลับเกือบทั้งคืน สาเหตุที่นอนไม่หลับนอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังเป็นเพราะเธอคิดไม่ตกด้วยว่าจะจัดการกับเขาอย่างไรดี รู้อยู่ว่าจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขากลับไปยังมิติของตัวเอง แต่มันทำอย่างไรล่ะ? เพราะเหตุนี้ หญิงสาวจึงต้องลุกขึ้นมาเปิดโน้ตบุ๊ก เสิร์ชหาวิธีพารองเจ้ากรมคนนั้นกลับไปยังโลกของตัวเองทั้งคืน ทว่าอินเทอร์เน็ตที่ว่ามีทุกสิ่งสรรพให้ค้นหายังไม่มีวิธีพาพระรองในนิยายกลับเข้าไปในหนังสือ ทำให้เธอต้องมานั่งกุมขมับอีกรอบ มันจะไปมีได้อย่างไรล่ะ ไอ้เรื่องที่ทะลุมิติออกมาอะไรนั่นมันเป็นแค่เรื่องแต่งขึ้นมาเท่านั้นแหละ! มีนาจึงต้องเบนเข็มไปค้นว่าพวกเรื่องแต่งที่มีตัวเอกทะลุมิติไปยังโลกใดโลกหนึ่งมีวิธีกลับอย่างไร เท่าที่เธอดู โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีช่องมิติพาเดินทางกลับ เท่านั้นหญิงสาวก็ครุ่นคิดทันที ช่องมิติมักจะเกี่ยวพันกับเวลา คิมคังยูคนนั้นหลุดมาจากยุคสมัยโชซอน หรือจะต้องใช้โบราณสถานเป็นประตูเชื่อมมิติ? นึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งในกรุงโซลขึ้นมาทันที สถานที่แห่งนั้นเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของประเทศเกาหลีใต้เสียด้วย พระราชวังคยองบก[1] เพราะเห็นว่าคังยูเป็นข้าราชการ การพาไปยังสถานที่ว่าราชการหลักน่าจะพอได้อะไรบ้าง อีกอย่าง จากอพาร์ตเมนต์ของเธอไปยังพระราชวังคยองบกนั้นก็ใช้เวลาไม่นานนัก เพียงไม่กี่สิบสถานีก็ถึงยังที่หมาย จึงไม่เป็นการยากที่เธอจะตัดสินใจพาเขาไปที่นั่น หากแต่เรื่องที่ยากก็คือ...จะพาเขาไปอย่างไรโดยไม่ให้แตกตื่นล่ะ สภาพบ้านเมืองทันสมัยและเต็มไปด้วยรถรา ต่างจากยุคสมัยโชซอนราวฟ้ากับเหว ไม่ว่าอย่างไรรองเจ้ากรมนั่นก็ต้องแตกตื่นอยู่แล้ว มีนาเลยต้องมานั่งคิดอีกทีว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าคังยูเจอ culture shock มันคงไม่เป็นการดีสำหรับเธอแน่ ขนาดเขาเดินร่อนไปร่อนมาละแวกนี้แค่ไม่นานยังทำเธอปวดศีรษะหนึบไปตลอดทั้งวันเลย หรือจะต้องอธิบายให้เข้าใจก่อนว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว? คงต้องทำอย่างนั้นแหละ มีนาไม่มีทางเลือกมากนัก เท่านั้นเธอก็ใช้เวลาในการสรุปข้อมูลยุคสมัยประวัติศาสตร์ของเกาหลีอย่างคร่าวๆ ใส่กระดาษ รอจนกว่าคังยูจะตื่นและจัดการกับอาหารมื้อเช้าฝีมือเธอเสร็จ หญิงสาวถึงได้เปิดปากคุยกับเขา “ฉัน...เอ่อ...มีอะไรอยากจะคุยกับคุณหน่อยน่ะค่ะ” คำพูดนั้นทำเอาคังยูที่เพิ่งจะวางตะเกียบลงบนโต๊ะเมื่อครู่ชำเลืองมอง “เรื่องอันใดรึ” “ก็เรื่อง...” ไม่รู้จะพูดอย่างไรเลย “เรื่องที่อธิบายยากนิดหน่อยค่ะ” พูดไปอย่างนั้นก็ทำให้คนฟังจ้องมองนิ่งๆ หรือแม่นางผู้นี้จะลำบากใจที่เรามาอยู่ด้วย เป็นอย่างนั้นแน่นอนเพราะเท่าที่ประเมินจากสายตาแล้ว หญิงสาวตรงหน้าคงยังไม่ได้แต่งงานกับชายใด แม้ว่าจะเป็นสตรีที่เลยวัยแต่งงานมามากแล้ว แต่มันก็ไม่เป็นการสมควรที่เขาจะมาอยู่ร่วมชายคากับหล่อนด้วย เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไปจากที่นี่ทันทีที่ขอบน้ำใจเจ้าเป็นที่เรียบร้อย แม้เจ้าจะเป็นสาวใหญ่ แต่ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องถูกครหา” สาวใหญ่? ถูกครหา? อีตาบ้านี่พูดอะไรอยู่เนี่ย! เข้าใจผิดไม่ว่า แต่เรียกเธอว่าสาวใหญ่นี่ยอมไม่ได้! พวงแก้มของมีนาแดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ ด้วยกรุ่นโกรธ “สาวใหญ่อะไรกันคะ ฉันเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่” เจ้าหล่อนว่ากระแทกเสียง คิ้วคันธนูของคังยูเลิกขึ้นสูงเล็กน้อย “อายุมากกว่าที่ข้าประเมินเสียอีก” หยาบคาย! แทบจะคว้าเอาทัพพีข้าวฟาดหน้าหล่อๆ นั่น “อายุขนาดนี้เขาเรียกว่าพอดีกินต่างหากค่ะ” อดไม่ได้ต้องเถียงออกไปอีก คังยูไม่เข้าใจความหมายที่เจ้าหล่อนว่านักหรอก แต่รู้ว่าเธอคงจะไม่พอใจทว่าก็อดอยากรู้ไม่ได้ “หรือเจ้าจะเป็นหม้าย?” ไม่ใช้แค่ทัพพีฟาดละ ยกไปฟาดทั้งหม้อหุงข้าวเลย! “แค่ถูกผู้ชายทิ้งเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นหม้ายนะคะ” ไม่เข้าใจอยู่ดี คังยูไม่สนใจที่จะถามอีกต่อไปแล้ว ดูจากสถานการณ์ หากเขายังถามซอกแซกไปเรื่อย นอกจากมันจะเป็นการเสียมารยาทแล้ว เขาอาจจะถูกหญิงผู้นี้ขว้างถ้วยข้าวที่กำลังเก็บอยู่ใส่ก็เป็นได้ “ข้าก็เพียงว่าไปตามความจริง อายุของเจ้าเลยวัยแต่งงานมามากโขแล้ว แต่ก็ขอเจ้าอย่าได้ถือสาในถ้อยคำพล่อยๆ ของข้าเลยแม่นาง” ความจริงบ้าบออะไรกันล่ะ! มีนาอยากจะเถียงกลับอย่างนี้เสียจริง ทว่าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในยุคสมัยของคังยูนั้น ผู้คนแต่งงานมีครอบครัวกันเร็ว เด็กสาวอายุเพียงสิบสองสิบสามก็แต่งงานมีลูกกันแล้ว จึงไม่แปลกที่เขาจะเรียกเธอว่าสาวใหญ่ ไม่ใช่แค่เธอที่เป็นสาวใหญ่ด้วย คังยูเองก็เป็นหนุ่มใหญ่เช่นกัน เขาอายุย่างเข้าสามสิบแล้ว ยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว มัวแต่ตามก้นนางเอกในนิยายต้อยๆ เขาเองก็ควรถูกเรียกอย่างนั้นเหมือนกัน! “ฉันไม่ถือสาหรอกค่ะ คุณจัดการเรื่องของคุณให้รอดเถอะ ตามแม่นั่นมาตั้งนานละ ไม่ได้กินสักที” เผลอพูดเสียดสีไปเสียอย่างนั้น คังยูขมวดคิ้วทันควัน “เจ้าหมายถึงใครรึ” “ก็แม่นางเอก ลูกสาวขุนนางตระกูลอีไงล่ะคะ ตามจีบมาตั้งนาน ไม่เห็นได้กันสักที” “เจ้ารู้จักนาง?” พูดพลางขมวดคิ้ว “แล้วเจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าข้ามีใจชอบพอนางอยู่” มีนารู้สึกตัวในตอนนี้ว่าพูดอะไรออกมาก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น ลืมไปสนิทเลยว่าในนิยายน่ะ คังยูเพียงแอบชอบนางเอกของเรื่องโดยไม่เคยปริปากพูดออกมา การถูกเขาย้อนถามอย่างนั้นทำให้เธอไปต่อไม่ถูก “ว่าอย่างไรล่ะ เจ้ารู้ได้เช่นไร” ถูกย้ำถามมาอีกที มีนาก็เหลือบไปมองใบหน้าคร้ามคมของอีกฝ่าย “ฉันก็เดาไปอย่างนั้นแหละค่ะ หะ...เห็นว่าสนิทสนมกันดี เอ้า กินเสร็จแล้วก็ลุกไปสิคะ ฉันจะได้เก็บกวาด” เฉไฉไปเรื่องอื่นเสียเลย รองเจ้ากรมหนุ่มที่เพิ่งถูกไล่จ้องร่างบางของหญิงสาวอย่างจับผิด แต่ก็ไม่พูดอะไร ลุกขึ้นยืนแล้วหลบไปอีกทางให้มีนาได้ทำความสะอาดจนเสร็จสิ้น เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็เอ่ยปาก “ข้าคงจะรบกวนแม่นางแค่นี้ เห็นทีข้าจะต้องไปแล้ว ขอบน้ำใจเจ้ามากที่เอื้อเฟื้อที่พักและอาหารให้กับข้า” คำพูดนั้นทำเอามีนาที่กำลังจะล้างจานหันขวับไปมองชายหนุ่มที่ตั้งท่าจะเดินออกจากห้องของตนอย่างรวดเร็ว พอเห็นเขาเดินไปยังทางออกก็วิ่งปรู๊ดไปดักหน้าไว้ “เดี๋ยวค่ะ” “มีอันใด” ขาหยุดชะงัก เรียวคิ้วเลิกสูง สายตาจับจ้องยังดวงหน้ามน “คุณจะออกไปทั้งแบบนี้ไม่ได้” ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าปล่อยให้ไป รับรองเลยว่าเป็นเรื่องแน่ “ทำไม” ยังมีหน้ามาถาม จำไม่ได้หรือไงว่าเมื่อวานตัวเองก่อเรื่องอะไรไว้บ้าง อยากจะสวนไปอย่างนี้นัก ทว่าสิ่งที่มีนาตอบกลับเป็นประโยคอื่น “ก็ที่นี่มันไม่ใช่บ้านเมืองที่คุณเกิด ขืนปล่อยให้คุณทะเล่อทะล่าออกไป เดี๋ยวหลงขึ้นมาจะทำยังไงล่ะคะ” “แม้จะไม่ใช่ฮันยาง แต่เมืองของเจ้าก็คงมีที่ว่าการเมืองอยู่กระมัง ประเดี๋ยวข้าไปที่นั่น บอกเล่าเรื่องราวของตนกับผู้ว่าการ เท่านั้นข้าก็กลับฮันยางได้” ตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าไม่ได้อยู่ในเมืองบ้านเกิดของตน ถึงจะต่างเมืองแต่ตราบใดที่ผู้คนพูดภาษาเกาหลี มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเขาหรอกที่จะกลับไปยังที่ซึ่งจากมาแม้จะไม่รู้ว่าตนมาปรากฏกายที่นี่ได้อย่างไรก็ตาม หากแต่สำหรับมีนาแล้ว เธอไม่ได้กังวลเรื่องนั้น เธอกลัวว่าเขาจะออกไปแล้วรถชนตายตั้งแต่หน้าปากซอยต่างหาก เธอถึงต้องยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามอย่างที่ทำอยู่ “ถ้ามันง่ายอย่างนั้น ฉันก็คงปล่อยให้คุณไปแล้วค่ะ” มีนาถอนหายใจ ก่อนจะสบดวงตาเรียว “เจ้าประสงค์จะพูดอะไรกันแน่” คังยูรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าหญิงสาวลำบากใจที่จะพูดจึงเป็นฝ่ายถาม “คือจริงๆ แล้วที่ที่ฉันอยู่มันไม่ใช่ยุคที่คุณเกิด ที่นี่ไม่ใช่ฮันยาง ไม่ใช่โชซอน แต่เป็นกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ค่ะ” เมื่อวานก็ได้ยินสาวเจ้าพูดอย่างนี้ เขารับรู้แล้ว แต่ไม่เข้าใจที่เธอบอกว่าไม่ใช่ยุคที่เขาเกิดหมายความว่าอะไร สีหน้างุนงงทำให้มีนาต้องพยักหน้าเรียกเขาเข้าไปข้างในห้องนอนอีกครั้ง “ฉันก็อยากให้คุณกลับไปยังที่ของคุณเหมือนกัน แต่กลับเข้ามาก่อนเถอะค่ะ ให้ฉันได้อธิบายหน่อยว่าสิ่งที่ฉันบอกคุณมันหมายความว่าอะไร” คังยูพยักหน้ารับ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันจึงได้เดินกลับเข้ามาในห้องนอนดังเดิม ปล่อยให้มีนาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเดินตามมานั่งบนเบาะที่โต๊ะทานข้าวเล็กๆ อีกครั้ง ความเงียบเข้าครอบงำทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่ง มีนาถึงได้เริ่มอธิบาย “ยุคที่ฉันกับคุณอยู่ในตอนนี้มันเรียกว่าศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดค่ะ เป็นยุคหลังจากยุคโชซอนที่คุณเกิดที่สิ้นสุดไปเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ที่สำคัญ คุณไม่ใช่คนที่หลุดออกมาจากประวัติศาสตร์ด้วย แต่ออกมาจากนิยาย ฉะนั้นที่ที่คุณอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่โลกของคุณเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันเลยปล่อยให้คุณไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ เข้าใจใช่ไหมคะ” ไม่เลย ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย สีหน้าของรองเจ้ากรมหนุ่มดูงุนงงไม่น้อย เผลอคิดไปแล้วด้วยว่าหญิงสาวตรงหน้าคงจะประสาทไม่ค่อยดีถึงได้พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่องเขาไม่ได้อยู่ในฮันยางยังพอเข้าใจได้ แต่บอกว่าไม่ได้อยู่ในโลกของเขานั่น คังยูไม่เข้าใจเลยสักนิด ใจไม่อยากจะฟังหญิงสาวหรอก ทว่าเมื่อสังเกตสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายแล้วก็ดูออกว่าเธอไม่ได้โกหก เขาจึงนั่งนิ่งเพื่อรอฟังว่าเธอจะพูดอะไรต่อ “ฉันก็ไม่ได้อยากจะรั้งคุณเอาไว้หรอกนะคะ อยากให้คุณกลับจะแย่อยู่แล้ว วันนี้ก็ว่าจะพาคุณไปหาทางกลับเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขเดียวคือคุณต้องเชื่อฟังฉัน” “แล้วเจ้าจะพาข้ากลับไปเช่นไร” ชายหนุ่มถามกลับ “ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าจะพาคุณไปที่พระราชวังคยองบก ลองไปเริ่มต้นที่นั่นดู” น้ำเสียงของมีนาฟังดูไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย คังยูเองก็ไม่อยากจะขัดใดๆ หรอก เพียงแค่พาเขาไปยังพระราชวังคยองบกได้ก็ถือว่าพาเขากลับไปยังฮันยางได้แล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธข้อเสนอของหญิงสาว ตอบรับกลับไปทันใด “ได้ ข้าจะเชื่อฟังเจ้า” มีนาเหลือบมอง โล่งใจไม่น้อยที่เขายอมรับข้อเสนอโดยง่าย “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวรอฉันอาบน้ำแต่งตัวสักแป๊บนะคะ เราจะได้ไปกัน” คังยูพยักหน้ารับ ปล่อยให้มีนาไปจัดการธุระส่วนตัวในขณะที่หัวของหญิงสาวมีความหวังขึ้นมาเลือนราง หวังว่าการพาผู้ชายคนนี้ไปยังพระราชวังนั้นคงจะได้เรื่องอะไรขึ้นมาบ้าง ชีวิตของเธอจะได้สงบสุขลงสักหน่อย แค่ถูกผู้ชายทิ้งก็มีปัญหามากพออยู่แล้ว ให้ดูแลผู้ชายตัวใหญ่อีกคน เธอไม่เอาด้วยหรอก ขอให้กลับไปได้ ต่อให้ต้องบนบานสานกล่าวกับที่ไหน เธอก็ยอม [1] พระราชวังคยองบก ตั้งอยู่ที่ตอนเหนือของกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในห้าพระราชวังที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โชซอนเมื่อปี ค.ศ.1394 โดยชองโดจอน และได้กลายเป็นพระราชวังหลวงหรือวังหลักสำหรับประทับว่าราชการของกษัตริย์และเหล่าเชื้อพระวงศ์ของเกาหลีมาโดยตลอด ภายหลังได้รับการต่อเติมโดยพระเจ้าแทจงและพระเจ้าเซจงมหาราช แต่บางส่วนของพระราชวังถูกเผาทำลายในช่วงที่ญี่ปุ่นประเทศเกาหลี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม