“อยู่นี่เอง พี่ก็เดินหาเสียให้ทั่ว” แม่วาดจันทร์ที่กำลังเดินหนีคุณเทพถึงกับหยุดเดินทันทีเมื่อได้ยินเสียงคุณเทียน หากแต่ก่อนจะหันไปหาเจ้าของเธอได้แอบซับน้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้าตา
“น้องลงมารอเจ้าคุณแม่เจ้าค่ะ คิดว่าคงเดินมาแล้ว พี่เทียนพอจะเห็นหรือไม่เจ้าคะ”
“คุณหญิงป้าเรียกหาแม่วาดจันทร์อยู่บนศาลา พี่ถึงขันอาสามาตามหา แว่วมาว่ากลุ่มแม่หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ แม่พูดถึงพิธีหมั้นหมายของเรารึ เจ้าถึงหลบเลี่ยงลงมาด้านล่าง”
“น้องมิได้ถือความ พวกปากหอยปากปูเยี่ยงนั้นหรอกเจ้าค่ะ ความจริงเป็นเยี่ยงไรคนในก็รู้กันอยู่”
“แล้วเจ้าล่ะพึงใจในพี่บ้างหรือไม่เล่าแม่” คุณเทียนพูดจบก็เอื้อมมือไปจับมือแม่วาดจันทร์ไว้ แม่วาดจันทร์ถละออกเล็กน้อยก่อนจะถอยหลังหนึ่งก้าวเป็นท่าทีสำรวม
“พี่เทียนเป็นคนดี ชัดเจนและให้เกียรติน้องเสมอ น้องขอเวลาปลงใจอีกไม่นานนะเจ้าคะ จะให้คำตอบพี่ท่านเจ้าค่ะ”
แม่วาดจันทร์พูดพลางหลบสายตาคุณเทียน ไม่ทันได้พูดอะไรต่อคุณหญิงป้าและคุณหญิงแม่ก็เรียกหาคุณวาดจันทร์และคุณเทียนโดยให้บ่าวไพร่มาตามให้ไปพบ ทั้งคู่เดินเคียงกันไปจนถึงศาลาก่อนจะนั่งลงที่หน้าธรรมาสน์ของหลวงพ่อที่นั่งรออยู่พร้อมกันกับผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย
“ปีนี้พ่อเทียนก็จักได้ขวบปีย่าง 23 ปีแล้วเจ้าค่ะ ส่วนแม่วาดจันทร์เองก็ได้ขวบปีเข้าย่าง 19 ปี อิฉันกับคุณหญิงก็อยากให้คุณพระท่านช่วยจับฤกษ์ยามสู่ขอหรือพิธีตบแต่งกันเสีย จะพอมีในปีนี้หรือไม่เจ้าคะ”
คุณหญิงป้าพูดจบคุณเทียนถึงกับหน้าเสีย รีบหันกลับไปมองหน้าแม่วาดจันทร์ที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ ตัวคุณเทียนเองนั้นเป็นห่วงใจของแม่วาดจันทร์เสียเหลือเกิน ด้วยรู้อยู่เป็นนัยๆ อยู่แล้วว่า คุณวาดจันทร์ดูจักมีใจเอนเอียงไปทางพ่อเทพเสียมากกว่า แต่ด้วยความที่ตนเองก็มีใจเสน่หารักใคร่ในตัวแม่วาดจันทร์อยู่มากโข จึงยังมีใจอยากแต่งงานหมั้นหมายด้วยอยู่
“ฤกษ์แต่งถ้าตามดวงทักษาของทั้งคู่นั้น ปีนี้ปีขาลไปจวบยันปีมะเมียยังไม่มีฤกษ์มงคลให้ได้แต่ง หากแต่จะมีก็มีฤกษ์สู่ขออยู่ จักขอกันไว้เสียก่อนภายในปีนี้ก็พอเป็นได้ แม่พิกุลคิดดีแล้วรึที่จักให้ลูกสาวลูกชายตกแต่งกันจริงๆ”
“ทำไมรึเจ้าคะ”
“ดวงเขาทั้งคู่นั้น หากจักตบแต่งกันก็ย่อมได้เพราะไม่ได้เป็นกาลกิณีต่อกันดอก จะมีก็แต่ว่าเมื่อหมั้นหมายกันแล้วนั้นเกรงอาจจะเหตุหลังงานสู่ขอจักไม่เป็นอันดีต่อทั้งสองฝั่ง ข้าพูดเตือนได้เพียงเท่านี้สุดแท้แต่เวรแต่กรรมเถิด”
“หมายความว่ากระไรเจ้าคะ คุณพระท่าน”
“คุณหลวง แม่วาดจันทร์ นับจากนี้จะทำการสิ่งใดพึงระลึกถึงความถูกต้องเสียให้มาก อย่าทำตามอารมณ์ตนเสียจนเกินไปแล้วจักไม่ทุกข์มากมายเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ขอรับ” ทั้งสองคนก้มลงกราบรับพร แล้วพระท่านก็ลุกขึ้นเดินออกจากธรรมาสน์ไป คุณหญิงป้าและคุณหญิงแม่พากันลุกขึ้นและเดินไปร่ำลากันที่ท่าน้ำ คุณเทพเองเดินเข้ามาสบทบอีกทีตอนที่คุณวาดจันทร์กับคุณหญิงแม่กำลังลงเรือ คุณวาดจันทร์หันไปสบตากับคุณเทพก่อนจะหลบสายมองไปทางอื่น
เรือของคุณวาดจันทร์พายห่างออกจากท่าเรือมาเรื่อยๆ คุณหญิงแม่เอื้อมมือมาจับที่หน้าขาแม่วาดจันทร์เป็นเชิงปลอบเพราะกลัวว่าลูกสาวจะเป็นกังวลเรื่องที่พระท่านทักตอนดูฤกษ์ยาม แม่วาดจันทร์ยิ้มนิดๆ ก่อนจะเหม่อลอยออกไปนอกลำเรืออีกครั้ง ม่านไหมที่เฝ้าดูเหตุการณ์มาตลอดก็พาลใจคอไม่ดีไปด้วย
เมื่อมาถึงเรือนใหญ่แม่วาดจันทร์ก็พาคุณหญิงแม่ขึ้นเรือนและจัดแจงน้ำท่าอาหารขึ้นสำรับให้คุณหญิงแม่จนเรียบร้อยก็ขอตัวเข้าหอนอนของตัวเองทันที คุณวาดจันทร์เดินเข้ามาที่ชานเรือนหน้าหอนอนของเธอก่อนจะปล่อยร่างลงบนตั่งที่นั่ง น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย เธอหยิบกำไลทองที่คุณเทพเคยให้ไว้ขึ้นมากอดจนแน่นแนบเนื้อ
“เหตุใดพี่เทพถึงไม่พูดจาให้ชัดเจนเยี่ยงจดหมายที่ส่งถึงน้อง หากแม่นน้องแน่ใจในรักของพี่ได้สักนิดคงปลงใจได้ตกและคงบอกใครต่อใครไปเสียให้ชัดแล้วว่า น้องเลือกพี่เทพมิใช่พี่เทียน”
เสียงกระดิ่งบนเรือนหอนอนดังระคนแข่งกับเสียงสะอื้นเบาๆ ของแม่วาดจันทร์ จนข้ามผ่านไปถึงยามค่ำของวันนั้น แม่วาดจันทร์ไม่ได้ออกไปทานข้าวกับเรือนใหญ่เก็บตัวอยู่ในหอนอนเพียงลำพัง พลางเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างเสียตลอด ม่านไหมที่มองดูเหตุการณ์ก็ร้องไห้ตามคุณวาดจันทร์ไปด้วยอยู่หลายครั้ง ได้แต่นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าแม่วาดจันทร์คงมองไม่เห็น
‘เห็นที่เขาทำกับข้าแล้วใช่หรือไม่ ภพชาตินี้เขาก็ทำอีกมิใช่หรือแม่’
ภาพคุณวาดจันทร์ที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ค่อยๆ จางหายไปกลายเป็นทั่วอาณาบริเวณนั้นเป็นสีดำมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยที่ส่องลงมาพอให้ม่านไหมมองเห็นได้บ้าง หญิงสาวในชุดสไบสีกรีบบัวกำลังลอยเข้ามาหาเธอตรงหน้าช้าๆ แต่ครั้งนี้ม่านไหมไม่ได้ตกใจกลัวเหมือนครั้งก่อนๆ
‘คุณเทพเขารักแม่วาดจันทร์มาก ฉันเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แม่วาดจันทร์กำลังเข้าใจคุณเทพผิดนะคะ’
‘รักข้ารึ ข้าเจ็บปวดกับความโลเลของเขา อับอายต่อคำโกหกหลอกลวงของเขา มิมีวันอภัยให้ได้ดอก’
‘แม่วาดจันทร์เองก็รักคุณเทพมาก ทำไมถึงไม่ยอมให้อภัยเขาล่ะคะ’
แม่วาดจันทร์ยิ้มมุมปากจนดูน่ากลัวมากๆ ก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆ ไหลเอ่อออกมา และเมื่อนั้นเองที่ม่านไหมก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในใจและร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กันกับแม่วาดจันทร์ ม่านไหมพยายามจะเดินเข้าไปกอดแม่วาดจันทร์ไว้แต่ก็ต้องทรุดลงเพราะรู้สึกเจ็บที่หัวใจของตัวเองราวกับถูกอะไรแทงเข้าไป
‘ทำไมฉันถึงเจ็บหัวใจแบบนี้ โอ๊ย...มันเจ็บเหลือเกิน’ เธอนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น ความรู้สึกเจ็บหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย เธอไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยสักนิดหันกลับไปมองที่คุณวาดจันทร์อีกครั้งเธอได้หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว วินาทีนั้นเธอเจ็บจนทนไม่ไหวก่อนจะสลบไปอีกครั้ง
“ไหม ม่านไหม เป็นอย่างไรบ้างลูก ไหมได้ยินแม่ไหม” ม่านไหมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ปรากฏร่างของคุณแม่และพี่ทิวากำลังทำหน้าตกใจกันอยู่ รู้สึกตัวอีกทีเธอกำลังนอนอยู่บนพื้นโดยที่ศรีษะของเธอกำลังหนุนอยู่ตักของทิวา ส่วนคุณแม่ก็เอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้เธอ เธอแบมือออกมาก็เห็นว่าในมือของเธอนั้นกำแหวนทับทิมโบราณเอาไว้แน่น
“พี่ว่าน้องไหมไปหาหมอดีมั้ยครับ เมื่อกี้พี่เข้ามาเห็นน้องไหมนอนนิ่งอยู่บนพื้นเลยรีบตามคุณแม่เข้ามา”
“ไหมดีขึ้นแล้วค่ะ คงเพราะเครียดๆ ก็เลยหน้ามืดน่ะค่ะ นี่กี่โมงแล้วหรือคะ”
“9 โมงเช้าแล้วลูก หนูหายเข้าห้องมาตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่าย ข้าวเย็นก็ไม่ลงไปกิน ถ้าคณะใช้งานหนูหนักขนาดนี้กับงานศิษย์เก่า แม่จะให้ถอนตัวนะ”
“เปล่าหรอกค่ะแม่ หนูคงพักผ่อนไม่พอเอง ขอโทษแม่กับพี่ทิวานะคะด้วยที่ทำให้เป็นห่วง”
ทิวาพยุงม่านไหมไปนั่งที่เตียง คุณแม่รีบเดินไปเอาน้ำกับอาหารเช้ามาให้ จึงเหลือทั้งสองคนที่นั่งกันอยู่ในห้องนั้น ม่านไหมกำลังจะสวมแหวนทับทิมโบราณเข้าที่นิ้วนางของเธอแต่ก็พลัดหลุดมือตกลงบนพื้นต่อหน้าทิวา เขารีบก้มลงหยิบแหวนทับทิมโบราณขึ้นมาก่อนจะพินิจแหวนวงนั้นด้วยสายตาฉงน
“แหวนวงนี้ที่น้องไหมบอกพี่ว่าอยากได้ วันที่ไปดูแหวนหมั้นนี่คะ”
“ใช่ค่ะ ไหมกลับไปที่ร้านนั้นเพราะกลัวทางร้านจะขายให้คนอื่นไป”
“ถ้าชอบมากขนาดนี้ ทำไมไม่ให้พี่ซื้อให้เป็นแหวนหมั้นล่ะคะ”
“ไหมเกรงใจพี่ทิวาน่ะค่ะ พี่ก็ค่อยมีเวลาถ้าจะรอพี่มาซื้อให้ ไหมกลัวคนอื่นจะเอาแหวนวงนี้ไปก่อน”
“พี่ไม่มีเวลาให้น้องไหมขนาดนี้เลยเหรอ ถึงทำให้น้องไหมดูห่างเหินพี่ไปขนาดนี้”
“ไหมขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่เราหมั้นหมายกันแล้วพี่อยากให้น้องไหมบอกพี่ได้ทุกอย่าง จากนี้บอกพี่ทุกอย่างนะคะ อย่าโกหกพี่หรือไม่บอกในสิ่งที่พี่ควรจะรู้”
“ค่ะ จากนี้ไหมจะบอกพี่ทิวาในทุกเรื่องค่ะ”
ทิวาเอื้อมมือไปลูบหัวม่านไหมเบาๆ เหมือนที่เคยทำมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ ม่านไหมอมยิ้มนิดๆ สักพักคุณแม่ก็เดินถือถาดอาหารเช้ามาให้ม่านไหมกับทิวา และคุณแม่ก็รีบเดินลงไปเรือนใหญ่เพราะต้องไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ ม่านไหมกับทิวาจึงนั่งคุยกันต่อ บรรยากาศของทั้งคู่เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะและเริ่มกลับมาสนิทสนมกันอีกครั้ง
“เสร็จงานแต่งแล้วเราไปฮันนีมูลที่ปารีสกันไหม น้องไหมชอบหอไอเฟลนี่คะ”
“พี่ทิวายังจำได้อีกเหรอคะ นึกว่าลืมไปหมดแล้ว”
“พี่จำทุกเรื่องของน้องไหมได้หมดแหละค่ะ พี่รักของพี่มาตั้งนานแล้วนี่”
“ไหมว่าให้ผ่านช่วงงานแต่งไปก่อนค่อยตัดสินใจก็ได้ค่ะ กว่าเราจะแต่งกันก็ตั้งปีหน้า”
ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด
“ค่ะดอกเตอร์ ได้ค่ะเดี๋ยวไหมจัดการให้นะคะ” ทิวานั่งมองม่านไหมที่กำลังคุยสายอยู่แล้วแอบอมยิ้ม เมื่อม่านไหมคุยสายจบก็ทำสีหน้าตื่นเต้นใส่เขาทันที
“ดอกเตอร์โทรมาน่ะค่ะ ว่าตกลงใช้สถานที่เรือนไทยของพี่ทิวาแล้ว เดี๋ยวอีกไม่กี่วันไหมคงต้องไปอยู่จัดงานที่นั่น เพราะสัปดาห์หน้าก็ถึงงานเลี้ยงแล้ว”
“สัปดาห์หน้าเหรอ พี่ต้องไปดูงานที่เซียงไฮหลายวันเลย แบบนี้ได้มั้ยครับเดี๋ยวพี่ให้เจ้าวินทร์ไปคอยดูแลน้องไหม เพราะเจ้าตัวแสบมันกลับมาแล้วนะไหมรู้มั้ย”
“ไหมพอทราบมาบ้างค่ะ”
“งั้นตามนี้ ระหว่างพี่ไปเซียงไฮพี่จะให้เจ้าวินทร์คอยดูแลน้องไหมอย่างดีที่สุด จะใช้อะไรมันก็บอกได้เลยนะคะ”
“คือ...จริงๆ ไหมดูแลตัวเองได้นะคะ พี่ทิวาไม่ต้องลำบากก็ได้ค่ะ”
“ไม่เลยสักนิดครับ มีเจ้าวินทร์ดูแลพี่จะยิ่งเบาใจ ว่าน้องไหมมีคนที่พี่ไว้ใจคอยดูแลอยู่”
“ถ้าพี่ทิวาคิดว่าอย่างนั้น ไหมก็ไม่ขัดใจค่ะ”
ทิวาดึงม่านไหมเข้าไปกอดเบาๆ ก่อนจะลูบหัวม่านไหมด้วยความเอ็นดู เขาหลงรักม่านไหมตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าเธอ ครั้งแรกที่เจอกันม่านไหมหกล้มที่ท่าน้ำข้างบ้าน ทิวาเป็นคนโอ๋เธอและพันแผลที่ข้อเท้าให้เธอ หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงคนไหนได้อีกเลยนอกจากม่านไหม การหมั้นหมายครั้งนี้ที่ม่านไหมคิดว่าผู้ใหญ่จัดแจงกันนั้น แท้จริงแล้วเขาเป็นคนขอคุณย่าให้เอ่ยปากขอม่านไหมให้กับเขานั่นเอง