บทที่ ๒ พบหน้าสามี

1815 คำ
เห็นนายหญิงน้อยยืนนิ่ง เสี่ยวหรงอดปวดใจแทนไม่ได้ ดูแล้วในบรรดาพี่น้องที่แต่งงานออกจากจวนสกุลเจียงพร้อมกัน คุณหนูสิบเจ็ดคงเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ร่วมหอกับเจ้าบ่าว หนำซ้ำยามพบหน้าพ่อแม่สามีครั้งแรกก็ยังไม่มีคนเป็นสามีคอยอยู่เคียงข้าง ดังนั้นมือที่ประคองเจียงซูเหยาจึงสั่นเทาไม่น้อย เพราะรับรู้ความเห็นใจจากสาวใช้คนสนิท เจียงซูเหยาจึงพยายามยิ้มออกมา “เสี่ยวหรงอย่าคิดมากเลย ข้าไม่เป็นอะไรหรอก” บีบมือตอบแล้วจึงพยักหน้า “เข้าไปกันเถิด” เสี่ยวหรงไม่รู้หรอกว่าในเวลาที่เจียงซูเหยาต้องก้าวเข้าเรือนซิ่นเจี้ยนโดยไม่มีผู้เป็นสามีนั้นทำให้ภายในใจเหน็บหนาวราวกับถูกหิมะปกคลุมเป็นชั้นหนา กระทั่งเข้ามาในห้องโถงความรู้สึกเหล่านั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น แผ่นหลังของนางเย็นสะท้าน ปลายนิ้วที่บีบกระชับขณะก้าวเข้าห้องโถงมาอยู่ต่อหน้าพ่อแม่สามีนั้นยิ่งสั่นเทา แต่ถึงกระนั้นก็ยังคุกเข่าโขกศีรษะคำนับเต็มพิธีการ “คำนับบิดา คำนับมารดา” จิ้งห้าวกับหลิวซีเย่สบตากัน ในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่นอกจากรู้แก่ใจดีแล้วก็มีแต่นึกเวทนาสะใภ้จากสกุลเจียงผู้นี้ เจียงซูเหยา งดงาม กิริยามารยาทก็สมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ แม้กระทั่งยามเผชิญหน้ากับพ่อแม่สามีโดยไม่มีบุตรชายของพวกนาง หญิงผู้นี้ก็ยังวางท่าทีได้เหมาะสม ในเมื่อเห็นลูกสะใภ้มีชีวิตแต่งงานเช่นนี้ ท่านโหวจิ้งห้าวกับจิ้งฮูหยินมีหรือจะไม่เมตตา “ยกน้ำชาเถิด” เป็นจิ้งฮูหยินที่สั่งบ่าวคนสนิทให้เตรียมน้ำชา แต่ยังไม่ทันที่เจียงซูเหยาจะได้ยกน้ำชาคารวะพ่อแม่สามีก็พลันมีคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาด้วยความรีบร้อน แต่ไม่ทิ้งความองอาจน่าเกรงขาม แต่เจียงซูเหยามองเพียงชายชุดของเขาก็รั้งสายตากลับ นางไม่อยากเห็นหน้าสามีผู้นี้ ไม่อยากรู้ว่าเขาหน้าตาเช่นไร และก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าเหตุใดเขาจึงปรากฏตัวตอนนี้ เพียงเห็นบุตรชายคนรองของตนอยู่ตรงหน้า ท่านโหว จิ้งห้าวก็พลันมีสีหน้าบึ้งตึงไม่น้อย เป็นจิ้งฮูหยินที่คอยแก้สถานการณ์ “เฉินเอ๋อ เจ้ามาแล้วหรือ” “ลูกคำนับบิดา คำนับมารดา” จิ้งเฉินคุกเข่าโขกศีรษะ พอลุกขึ้นก็ปรายตามองสตรีที่อยู่ในชุดสีฟ้าปักลายดอกเบญจมาศเล็กน้อย มองมือขาวบางที่เจ้าตัววางนิ่งแล้วแววตาพลันล้ำลึก “เจ้ามาก็ดีแล้ว เหยาเอ๋อกำลังจะยกน้ำชา” ได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำไมจิ้งเฉินจึงอยากรู้ว่าสตรีที่แต่งเข้าจวนในฐานะภรรยาเอกของตนนั้นมีหน้าตาเช่นไร สายตาของเขาจึงจับจ้องตั้งแต่มือขาวราวกับไข่มุกไล่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเห็นใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือที่แต่งแต้มเพียงบางเบากับดวงตากระจ่างใสราวกับสายน้ำไร้คลื่นลมพัดพาถึงได้หรี่ตาลง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คุณหนูสิบเจ็ดตระกูลเจียงจะมีรูปลักษณ์งดงามเหมือนเทพธิดาบุปผาเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่แววตาของนางกลับเรียบเฉยจนเกินไป ทำให้คนคาดเดาไม่ได้เลยว่า นางรู้สึกเช่นไร โดยเฉพาะค่ำคืนที่ผ่านมานั้นเขาไม่ได้ร่วมห้องหอกับนาง ยามเช้าก็ไม่ได้เป็นคนพานางมายกน้ำชาบิดามารดาด้วยตนเองอีก เพราะเกรงว่าสะใภ้ของตนจะอึดอัดกับสายตาของบุตรชาย จิ้งฮูหยินจึงพยักหน้าให้แม่นมคนสนิท พิธียกน้ำชาเริ่มต้นขึ้น และจบลงด้วยการที่เจียงซูเหยาอยู่ปรนนิบัติพ่อแม่สามีกินมื้อเช้า ดีหน่อยที่ท่านโหวจิ้งห้าวกับ จิ้งฮูหยินไม่ได้เคร่งครัดกฎระเบียบมากมายนัก วันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ทุกคนในสกุลจิ้งได้กินมื้อเช้าร่วมกัน กินอิ่ม ดื่มน้ำชาล้างปาก พูดคุยพอเป็นพิธี จิ้งฮูหยินก็โบกมือไล่บุตรชายกับลูกสะใภ้กลับเรือน หลังทั้งคู่ออกไปนางพลันทอดถอนใจเอ่ยกับผู้เป็นสามี “ไม่รู้ว่า การตัดสินใจรับคุณหนูตระกูลเจียงเข้าจวน จะเป็นการทำร้ายหรือทำให้นางมีความสุขกันแน่” “ฮูหยิน ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น” “ท่านโหวก็รู้ จิ้งเฉินของเรา...” หลิวซีเย่ไม่รู้จะเอ่ยปากออกมาเช่นไร สุดท้ายก็ได้แต่ทอดสายตามองไปตามทิศทางที่บุตรชายกับลูกสะใภ้จากไป ท่านโหวจิ้งห้าวจึงได้แต่ตบหลังมือฮูหยินเบาๆ พลางว่า “เจียงซูเหยาผู้นี้ นับว่าเป็นหญิงสาวที่ดีคนหนึ่ง สักวันเฉินเอ๋อย่อมมองเห็นความดีงามของนาง ซีเย่ป็นแม่สามีต่อไปนี้คงต้องลำบากเจ้าดูแลเหยาเอ๋อแล้ว” “ข้าจะดูแลลูกสะใภ้คนนี้ให้ดีเจ้าค่ะ” “ข้ารู้ เจ้าเป็นแม่ที่ดี และก็เป็นภรรยาที่ดี” หลิวซื่อได้แต่ยิ้มแล้วเอนซบแผ่นอกของท่านโหว แต่ไม่รู้ว่าทำไมภายในใจก็ยังไม่สงบลงแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะนางมองออกว่าชีวิตคู่ของบุตรชายกับลูกสะใภ้ตระกูลเจียงคงไม่ราบรื่นเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจวนโหวแห่งนี้ต้องมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง นึกแล้วหากไม่ทอดถอนใจให้มากหน่อยคงผิดวิสัยผู้เป็นมารดา เส้นทางจากเรือนซิ่นเจี้ยนของท่านโหวกับฮูหยิน ทอดยาวผ่านภูเขาจำลองกระทั่งมาถึงสะพานโค้งพาดผ่านสระบัว ต่อให้ยามนี้มีคุณชายรองจิ้งเฉินกับฮูหยินสกุลเจียงรวมถึงบ่าวรับใช้หลายคนใช้งาน น่าประหลาดที่นับตั้งแต่ก้าวออกจากเรือนพำนักของท่านโหวจิ้งห้าวก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย เจียงซูเหยาทำเพียงเดินตามแผ่นหลังของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีอยู่เงียบๆ เว้นระยะห่างเกือบสองช่วงตัว ด้านหลังนั้นมีเสี่ยวหรงกับจื่อเฟิง ซึ่งเป็นคนสนิทของทั้งคู่เดินตามมาพร้อมบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่ง นับตั้งแต่พบกันในห้องโถงเรือนซิ่นเจี้ยน ผ่านมาเกือบหนึ่งชั่วยาม ทั้งจิ้งเฉินและเจียงซูเหยากลับไร้ถ้อยคำที่จะสนทนากัน ความหมางเมิน เงียบเชียบเช่นนี้ล้วนทำเอาบ่าวไพร่ที่ติดตามมาพากันกลั้นหายใจ เกรงว่าถ้าหากส่งเสียงดังออกมาแม้เพียงเล็กน้อยจะทำให้สถานการณ์ระหว่างคุณชายรองและ ฮูหยินน้อยไม่ดียิ่งขึ้น ยังไม่ทันผ่านสะพานโค้งเหนือสระบัว น้ำเสียงห้าวทุ้มแฝงความเยือกเย็นของคุณชายรองพลันหลุดออกมา “พวกเจ้าถอยไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับคุณหนูสิบเจ็ด” เขาเรียกนางว่าคุณหนูสิบเจ็ด ไม่ใช่ฮูหยิน ไม่ใช่ซูเหยาหรือเหยาเหยา เป็นเช่นนี้ก็ยืนกรานได้แล้วว่า ฐานะของนางในสายตาของเขายังเป็นคนอื่น หาใช่ภรรยาเอกผู้ต้องใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแม้แต่น้อย นางกลืนความฝาดขมลงคอ ดีหน่อยที่ก่อนหน้าไม่ได้คาดหวังว่าบุรุษผู้นี้จะมอบความรักใคร่ให้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าใดนัก บ่าวหลายคนถอยออกไป แม้กระทั่งเสี่ยวหรงก็ทิ้งไว้เพียงสายตาห่วงใย คนของเขาที่ติดตามมาก็ยังปลีกตัวออกห่าง เจียงซูเหยารู้ดีว่าตนไร้หนทางหลีกหนี ต้องเผชิญหน้ากับท่านโหวน้อยเพียงลำพัง ดังนั้นจึงวางท่าทีนิ่งสงบ ยามอยู่ในจวนสกุลเจียงชีวิตของนางหาได้ราบรื่น มาอยู่ที่นี่ถือว่าได้ฝึกฝนความเข้มแข็งเพิ่มอีกขั้นหนึ่ง เป็นเช่นนี้คงไม่เสียหายอะไร นับตั้งแต่จำความได้ นางผ่านเหตุการณ์มาไม่น้อย คล้ายจะเป็นเรื่องเลวร้ายมากกว่าเรื่องดี ยามนี้เมื่อต้องอยู่กับสามีที่ไม่ได้เห็นนางเป็นภรรยา จึงไม่รู้สึกอึดอัดเท่าใด เจียงซูเหยาทำเพียงซ่อนมือไว้ใต้ชายแขนเสื้อ ไม่ให้เขาเห็นความรู้สึกแท้จริง ก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยแววตาสงบไร้ความรู้สึกใดๆ พัดพา นางไม่เจ็บปวด ไม่ทรมาน ไม่หวาดกลัว มีเพียงความนิ่งเฉยที่แผ่ออกมาจากร่างกายบอบบาง “คุณชายรองมีสิ่งใดจะพูดกับข้าก็พูดมาเถิด ข้ายินดีทำตามความต้องการของท่านทุกอย่าง” “คุณชายรอง? ข้า?” จิ้งเฉินได้แต่หรี่ตามองสตรีที่กล่าววาจาเช่นนั้นออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขานึกเกลียดท่าทีของนางในยามนี้ยิ่งนัก “ข้าพูดสิ่งใดผิดหรือ คุณชายรองจึงมีสีหน้าเช่นนั้น” จิ้งเฉินได้แต่มองสตรีที่ไม่เผยความรู้สึกใดๆ ให้คนจับสังเกตด้วยแววตาล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ “ต่อให้ค่ำคืนที่ผ่านมาข้าไม่ได้ร่วมหอกับเจ้า แต่บัดนี้เจ้ายกน้ำชาคารวะบิดามารดาแล้ว เจ้าก็คือสะใภ้ตระกูลจิ้ง เป็นภรรยาเอกของข้าจิ้งเฉิน ต่อไปนี้ย่อมสมควรแทนตัวเองว่าข้าภรรยา” “ข้าภรรยาทราบแล้ว คุณชายรองมีสิ่งใดจะพูดอีกหรือไม่” “เลิกเรียกข้าว่าคุณชายรองเสียที ข้าคือสามีของเจ้า” “ข้าภรรยาทราบแล้ว ท่านพี่ต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่” จิ้งเฉินลอบสูดหายใจ ก่อนจะทอดสายตามองผ่านสระบัวเบื้องหน้า ไปยังทิศทางที่ตั้งของเรือนไป๋เซ่อ “ต่อไปนี้ เจ้าอยู่ในเรือนพำนักให้ดีๆ ส่วนข้าจะอยู่ เรือนจิ๋นอวี่ หากไม่มีเรื่องจำเป็นหวังว่าเจ้าคงไม่ไปรบกวนข้าที่นั่น” “ท่านพี่มีกิจธุระต้องทำมากมาย ข้าภรรยาเข้าใจดี ดังนั้นท่านพี่อย่าเป็นกังวลเลย ข้าภรรยาจะอยู่แต่ภายในเรือนเงียบๆ แต่ข้าภรรยาอยากขอร้องสักเรื่อง” “ว่ามา” “ถ้าหากมารดาเรียกข้าไปปรนนิบัติ ข้าภรรยาขอออกจากเรือนไปพบมารดา ได้หรือไม่เจ้าคะ” “ในเมื่อมารดาเรียกหา เจ้าเป็นลูกสะใภ้ย่อมสมควรปรนนิบัติให้ดี นั่นจึงเป็นสิ่งที่เจ้าสมควรกระทำ” “ข้าภรรยาจะปรนนิบัติมารดาให้ดี ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ข้าภรรยาขอตัวก่อน” นางยอบกายคำนับเขา ยิ่งเดินออกมาห่างไกลมากเท่าไหร่ ภายในใจก็ยิ่งกระจ่างชัด นางสามารถเป็นลูกสะใภ้ปรนนิบัติแม่สามีได้ นางต้องเชื่อฟังคำสั่งพ่อแม่สามี และคำสั่งสามี แต่กลับไม่อาจทำหน้าที่ภรรยาปรนนิบัติสามีของตน ความน่าขันนี้ ทำให้เจียงซูเหยากัดริมฝีปากแน่น แล้วบอกตัวเองว่า เป็นเช่นนี้ดีแล้ว...อย่างน้อยๆ ร่างกายและหัวใจก็ยังเป็นของนาง หาใช่เป็นของคุณชายรองสกุลจิ้ง หรือท่านโหวน้อยจิ้งเฉินผู้นั้นไม่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม