สราวลีนั่งนิ่งเงียบมาในรถนานพอสมควร ในขณะที่มาร์ติเนซก็เปิดเพลงคลอเบาๆ และฮัมตามเพลงอย่างสบายอกสบายใจ หล่อนอดหมั่นไส้ไม่ได้ เพราะคิดว่าที่ชายหนุ่มอารมณ์ดีแบบนี้คงเป็นเพราะยัยปากแดงคนนั้น
“ความจริงพี่มาร์ตควรจะให้ผู้หญิงคนนั้นมานั่งแทนวลีนะคะ”
“วลีหมายถึงคุณรวีบงกชหรือ”
คนตัวโตเอ่ยถามเสียงราบเรียบ
“ค่ะ”
ชายหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อย “รถพี่ก็ต้องให้เมียนั่งสิ จะให้คนอื่นมานั่งได้ยังไงกัน”
หล่อนควรจะดีใจใช่ไหมกับคำตอบไร้อารมณ์ของมาร์ติเนซ หญิงสาวกำมือแน่น
“แต่คุณรวีบงกชอาจจะไม่พอใจก็ได้นะคะ”
คราวนี้คนตัวโตยอมละสายตาจากท้องถนนเบื้องหน้ามามองหล่อนชั่วขณะ
“แล้วพี่จำเป็นต้องสนใจด้วยหรือ”
นั่นสินะ ขนาดหล่อนเป็นเมียเขายังไม่เห็นจะให้ความสนใจอะไรเลย
“ก็ไม่รู้สิคะ เผื่อบางทีพี่มาร์ตอาจจะเกรงใจคุณรวีบงกชก็ได้”
“คุณรวีก็แค่เพื่อนร่วมงาน ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก วลีสบายใจได้ เลิกหึงได้แล้ว”
คนถูกพูดแทงใจดำสะดุ้งน้อยๆ หน้าร้อนฉ่า ก่อนจะรีบปฏิเสธกลบเกลื่อนเสียงสูง
“ใคร้...ใครว่าวลีหึงกัน...”
มาร์ติเนซหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าน้อยๆ และตั้งใจขับรถต่อไปโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาอีก
สราวลีลอบเป่าลมออกจากปากแผ่วเบา ในขณะที่ดวงหน้างามยังคงทั้งแดงและร้อนระอุ
สักพักรถสปอร์ตคันงามก็แล่นมาจอดหน้าร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตกแต่งเอาไว้อย่างร่มรื่น สราวลีมองออกไปนอกตัวรถ ก่อนจะหันกลับมามองเสี้ยวหน้าหล่อจัดของมาร์ติเนซอย่างแปลกใจ
“พี่มาร์ตจอดรถทำไมคะ”
“วลีชอบกินเค้กไม่ใช่หรือ”
ใช่ หล่อนชอบกินเค้กมาก แต่ไม่ใช่เรื่องที่มาร์ติเนซจะต้องมาใส่ใจไม่ใช่เหรอ
“ก็ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้พี่มาร์ตต้องรีบไปมหา’ลัย ลืมไปแล้วหรือไงคะว่าคุณรวีบงกชรออยู่”
ไหล่กว้างของมาร์ติเนซไหวเล็กน้อย ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว และโน้มเข้ามาหาหล่อน กลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งเป็นกลิ่นกายประจำตัวของเขาโชยเข้ามาในจมูก ทำให้หล่อนมึนเมาและร้อนฉ่าไปทั้งตัวอย่างน่าละอาย
“พี่มาร์ต...จะทำอะไรคะ”
หล่อนถามเสียงสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อใบหน้าหล่อจัดขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนความอุ่นจากลมหายใจของเขาเป่ารดลงบนผิวแก้มนวลเนียนในระยะใกล้ชิด
เขาอมยิ้ม ปลายจมูกปัดโดนแก้มนวลของหล่อน ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยให้ จากนั้นก็ยืดตัวกลับไปที่เบาะเช่นเดิม
หล่อนหายใจแทบไม่ทั่วท้อง หน้าตาแดงก่ำ และขยับตัวหนีจนชิดกับประตูฝั่งของตัวเอง
“คิดว่าพี่จะทำอะไรหรือ”
“ปละ เปล่าค่ะ”
เขามองด้วยสายตายิ้มๆ “เราเข้าไปกินเค้กกันสักปอนด์ แล้วค่อยไปมหา’ลัย” เขาพูดติดตลกก่อนจะก้าวลงจากรถ และเดินอ้อมมาเปิดประตูให้กับหล่อน
“วลีไม่มีรถเข็น...อุ๊ย...”
หล่อนยังพูดไม่ทันจบประโยค เขาก็ย่อตัวลงมาช้อนร่างของหล่อนขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
“พี่มาร์ต...ปล่อยค่ะ”
เขาหยัดตัวลุกขึ้นยืนตัวตรง ก่อนจะหัวเราะร่วน ใช้สะโพกเพรียวดันบานประตูให้ปิดสนิทลง และกดล็อก
“ปล่อยก็ตกไปตายน่ะสิครับ”
ชายหนุ่มอมยิ้ม และพาหล่อนเข้าไปในร้านกาแฟเล็กๆ พนักงานในร้านกล่าวทักทาย ในขณะที่มาร์ติเนซอุ้มหล่อนไปวางบนโซฟานุ่มอย่างอ่อนโยน
“กินเค้กอะไรดีครับ”
เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ หล่อน พร้อมกับหันมาถามอย่างใส่ใจ…ใส่ใจจนหล่อนรู้สึกไม่คุ้นชิน
“พี่มาร์ตขยับออกไปหน่อยสิคะ วลีอึดอัด”
เขายังคงนั่งเฉยๆ เบียดหล่อนเช่นเดิม หล่อนจำเป็นต้องเม้มปากเป็นเส้นตรงและก้มหน้าหลบสายตายิ้มแย้มของพนักงานที่มองมาด้วยความชื่นชมระคนอิจฉา
“เอาเค้กส้มครับ แล้วก็เค้กช็อกโกแลต” เขาสั่งเค้กที่หล่อนชื่นชอบได้อย่างถูกต้อง ก่อนจะหันมาหาหล่อนอีกครั้ง “วลีเอาเครื่องดื่มอะไรดีครับ กาแฟไหม”
“ไม่ค่ะ วลีขอแค่น้ำเปล่า”
เขาระบายยิ้มให้ ก่อนจะหันไปหาพนักงาน “งั้นขอน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว แล้วก็คาปูชิโน่ร้อนครับ”
“รอสักครู่นะคะ” พนักงานรับเมนูกลับคืนไป และรีบเดินออกไปจัดการตามคำสั่งซื้อ
เมื่ออยู่กันตามลำพังสองคน สราวลีก็อดที่จะหาเรื่องประชดประชันอีกไม่ได้
“ไม่คิดว่าอาจารย์ผู้สุขุมอย่างพี่มาร์ตจะมีโหมดเกเรด้วยนะคะ”
เขาอมยิ้ม มองภรรยาข้างกาย “พี่ยังมีอีกหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในบุคลิกที่ทุกคนเห็น วลีจะค่อยๆ ได้เห็นมัน และพี่หวังว่าวลีจะรับมือไหว”
“ยังมีอะไรเลวร้ายกว่านี้อีกเหรอคะ”
“ไม่รู้ว่าร้ายหรือดีเหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่ายังไงซะวลีก็ต้องรับให้ได้ เพราะเราสองคนแต่งงานกันแล้ว”
“แต่งแล้วก็หย่าได้ค่ะ”
“พี่ไม่ใช่ผู้ชายที่นิยมแต่งงานหลายครั้ง แค่ครั้งเดียวกับหนึ่งชีวิตก็เกินพอแล้ว” น้ำเสียงของเขาจริงจังและหนักแน่น บอกให้รู้ว่าคนพูดไม่ได้อยู่ในอารมณ์ขบขันหรือตลกแต่อย่างใด
“แต่วลีไม่อยากทำให้พี่มาร์ตต้องมาติดแหง็กกับคนพิการอย่างวลีไปตลอดชีวิต แค่พี่มาร์ตยอมแต่งงานกับวลีตามคำขอของผู้ใหญ่ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้วล่ะค่ะ”
“อย่าคิดแทนพี่สิครับ บางอย่างวลีอาจจะไม่รู้ก็ได้” เขาจ้องหน้าหล่อนนิ่ง แววตาของเขาลึกล้ำเกินจะหยั่งถึงความรู้สึกภายในได้
สราวลีเมินหน้าหนีเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์มือถือของมาร์ติเนซดังขึ้นพอดี
“ครับ”
“คุณมาร์ตคะ รวีมารอตั้งนานแล้ว ไม่เห็นคุณมาร์ตเลยค่ะ”
เสียงของรวีบงกชดังแหลมออกมาจากโทรศัพท์เลยทีเดียว มาร์ติเนซมองหน้าหล่อนเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป
“ผมกับภรรยาแวะทำธุระกันน่ะครับ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงจะรีบเข้าไปครับ แค่นี้นะครับ”
“เดี๋ยวก่อนสิคะ คุณมาร์ตคะ...”
เสียงของรวีบงกชร้องเรียกเอาไว้ แต่มาร์ติเนซไม่สนใจ กดตัดสายสนทนาลงทันที
“พี่มาร์ตน่าจะใส่ใจเธอบ้างนะคะ เพราะดูเธอสนใจพี่มาร์ตเป็นพิเศษ”
“ตอนนี้พี่มีวลีอยู่ทั้งคนแล้ว พี่ไม่สนใจใครอีกหรอก”
หล่อนเสหลบสายตาของเขา และไม่คิดจะเชื่อในคำพูดของ มาร์ติเนซแม้แต่น้อย
ใครจะมาจริงใจกับเจ้าสาวง่อยเปลี้ยอย่างหล่อน โดยเฉพาะผู้ชายเพอร์เฟกต์อย่างมาร์ติเนซ
สักพักพนักงานก็ยกเค้กเข้ามาให้ กลิ่นของเค้กรสชาติที่โปรดปรานทำให้หญิงสาวเผลอตัวระบายยิ้มออกมา หล่อนตักเค้กเนื้อเนียนเข้าไปชิมรสในปากครั้งแล้วครั้งเล่า ท่ามกลางสายตาพึงพอใจของมาร์ติเนซที่เฝ้ามองดู
“เดี๋ยวหมดแล้วพี่สั่งให้อีก”
คนที่กำลังจะอ้าปากงับเค้กส้มชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาอย่างเอียงอาย
“วลีกินแค่นี้แหละค่ะ มากกว่านี้คงอ้วนแย่”
“ถ้าชอบก็กินไปเถอะ พี่อยากเห็นวลีมีความสุข”
หล่อนมองสบตากับเขา ก่อนจะเสหลบสายตามองจานเค้กส้มของตัวเอง หัวใจของหล่อนเต้นแรงไม่หยุด เกลียดตัวเองนักที่ไม่เคยหักห้ามใจรักที่มีต่อเขาได้ แค่มาร์ติเนซทำดีด้วยนิดเดียว หล่อนก็ดันลุ่มหลงคลั่งไคล้มากมายเช่นนี้
หัวใจนะหัวใจ...ทำไมไม่รักดีเลย...