“ฟ้า ทำอะไรเสร็จแล้ว ขึ้นมาเตรียมเสื้อผ้าให้ทีนะ” คุณตรีบอกกับผมด้วยเสียงงัวเงีย พลางลุกออกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวในยามเช้า
“ได้ครับ” ผมตอบรับด้วยความไม่ค่อยมั่นใจ
อีกหนึ่งหน้าที่หลังจากที่ผมกลายมาเป็นพ่อบ้านให้คุณตรีก็คือการปลุกเขาในตอนเช้า
ผมไม่เคยเห็นคุณตรีตื่นก่อนผมมาอีกเลยนับตั้งแต่ที่ผมเริ่มทำงาน คงเพราะไม่ต้องลงไปรออาหารเช้าจากผมเหมือนเมื่อก่อน เขาเลยมีเวลานอนเพิ่มขึ้น
วันนี้เป็นวันที่สองที่คุณตรีออกไปทำงานเต็มตัว เมื่อวานเขาไปทำงานเป็นวันแรก ผมค่อนข้างประหม่าเพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำงานอะไรเพิ่มหรือเปล่า
งานที่เหมือนจะเพิ่มเข้ามาเป็นเรื่องเครื่องแต่งกายของคุณตรี มันก็ไม่ใช่งานที่ผมจำเป็นต้องทำโดยตรง แต่คุณตรีก็ช่วยสอนและบอกว่าของแต่ละชิ้นอยู่ตรงไหน ใช้งานยังไง เก็บรักษาแบบไหนอย่างคร่าวๆ เผื่อในวันที่เขาเร่งรีบ ผมจะได้ช่วยคุณตรีเตรียมของได้ถูก
เอาเข้าจริงๆ ผมยังคงมึนงงกับอุปกรณ์เครื่องแต่งกายของคุณตรีที่มีเยอะชิ้น ในชีวิตผมรู้จักแค่เสื้อ กางเกง ชั้นใน และเครื่องแต่งกายพื้นฐานเท่านั้น
แต่กับคุณตรีแล้วไม่ใช่ มันมีแยกย่อยไปมากกว่านั้น เครื่องประดับของผู้ชายที่ผมไม่เคยคิดว่ามันมี มันก็มี ผมว่าคุณตรีจัดเป็นผู้ชายสายแฟชั่นคนหนึ่งเลยละครับ
ผมปลุกคุณตรีในตอนเช้าเสร็จ ก็ลงไปเตรียมเครื่องดื่มกับผ้าขนหนูไว้ให้คุณตรีใช้ตอนออกกำลังกาย
หลังจากครั้งก่อนที่ทำพลาด มาหนนี้ผมจะจัดการเปิดแอร์ภายในห้องนั่งเล่นและห้องออกกำลังกายไว้ก่อน จากนั้นค่อยขึ้นไปปลุกคุณตรี
ทำงานบ้านข้างล่างเสร็จ ผมก็ขึ้นไปจัดชุดให้คุณตรี ซึ่งผมไม่รู้ว่าผมจะทำมันได้ดีไหม ผมไม่เก่งเรื่องแฟชั่นเสื้อผ้าสักเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึงชุดสูททำงานเต็มยศ ผมยิ่งไม่มีความรู้เลยแม้แต่นิดเดียว
ห้องแต่งตัวของคุณตรีจะอยู่ด้านหน้าห้องน้ำ ผมยืนหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศา ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
“ลองเปิดหาดูในอินเทอร์เน็ตก็ได้มั้ง” ผมพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหยิบแท็บเล็ตที่คุณตรีให้มาไว้ใช้ทำงานขึ้นมาเสิร์ชหาข้อมูล
อย่างแรก ก็คงต้องเลือกชุดสูทกับกางเกงให้เข้ากับเสื้อเชิ้ตตัวในสินะ
“เอาสีอะไรดีนะ” แล้วก็ต้องมาคิดหนักกับเรื่องสีอีก
เมื่อวานคุณตรีใส่สีเทาไปแล้ว และวันนี้คือวันอังคาร จะใส่สีชมพูตามวันก็คงไม่ใช่ แถมในตู้เสื้อผ้าของคุณตรีก็ไม่มีเสื้อผ้าสีชมพูสักชิ้น
ผมลองไล่ดูแบบชุดสูทของคุณตรีในตู้ ผมว่าสีน้ำเงินแบบที่คุณตรีชอบก็สวย สีแดงเลือดหมูก็สวยดี ผมคิดก่อนจะตัดสินใจเลือกสีน้ำเงิน ถ้าเขาซื้อมาไว้ในตู้ขนาดนี้ ก็คงต้องชอบมันนั่นแหละ
“ต่อมาก็เสื้อข้างใน”
ผมเอาชุดสูทออกมาแขวนไว้ที่ราวเตรียมชุด จากนั้นก็ไล่ดูเสื้อด้านใน ทันทีที่ปลายนิ้วได้สัมผัสกับเนื้อผ้าที่นุ่มลื่นชวนให้สบายผิว แล้วลองจินตนาการดูว่าถ้ามันไปอยู่บนตัวของคุณตรี เขาคงจะรู้สึกสบายตัวไปทั้งวัน แค่คิดผมก็รู้สึกดีแทนคุณตรีแล้ว
ดังนั้นผมจะเลือกเสื้อสีฟ้าอ่อนตัวนี้ เพราะคิดว่าเหมาะกับสีน้ำเงินเข้มที่สุดในสายตาของผม
อันดับต่อมาก็เป็นเนกไท
“อันนี้ยากแหะ”
ผมเลื่อนลิ้นชักเก็บเนกไทออกมาดู เนกไทแต่ละเส้นจะถูกม้วนเก็บอย่างดีเป็นช่องๆ ผมไล่นิ้วดูเนกไททีละเส้นด้วยความตั้งใจ พลางมองไปที่ชุดเพื่อเปรียบเทียบ
“นี่ เส้นนี้” ผมคิดว่าผมเจอเส้นที่น่าจะเข้ากับชุดที่ผมเลือกได้
หากดูตัวอย่างจากในอินเทอร์เน็ตแล้ว ผมว่าเนกไทสีฟ้าอ่อนโทนเดียวกับเสื้อด้านในน่าจะเหมาะ มีลูกเล่นเป็นจุดสีน้ำเงินเข้มเข้ากับชุดสูทด้านนอก พอลองเอาไปทาบกับชุดทั้งหมดที่เตรียมไว้ ก็ดูไม่แย่
“ผ้าเช็ดหน้าสีขาวก็น่าจะง่ายดี”
ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาพับแล้วเสียบไว้ที่กระเป๋าเสื้อสูทด้านหน้า
“ฟ้า ทำอะไรอยู่” เสียงของคุณตรีดังเข้ามาในห้องแต่งตัว ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“ตายห่า ใช้เวลานานเกือบชั่วโมงเลยเหรอวะเนี่ย” ผมบ่นกับตัวเอง รีบพาดเนกไทไว้กับชุด ก่อนจะเดินออกไปหาคุณตรี
“ครับคุณตรี ผมจัดชุดให้อยู่ครับ แต่ว่ายังจัดไม่เสร็จเลย เหลือที่ติดกระดุมข้อแขน เข็มขัด แล้วก็ถุงเท้า” ผมบอกเขาหน้าแห้งที่ตัวเองทำงานไม่ครบถ้วน
“อืม ไม่เป็นไร ที่เหลือฉันทำเอง ค่อยๆ หัดทำไป อีกหน่อยนายจะคล่องขึ้น”
“ครับ”
“ลงไปเตรียมอาหารเถอะ ฉันจะอาบน้ำและแต่งตัว ถ้ามีอะไรให้ช่วยจะเรียก”
“ครับ แล้ววันนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” ผมลองถามเขาดู
ตอนนี้ผมทำเป็นหลายเมนูแล้ว อย่างน้อยๆ ก็สามารถทำโจ๊กอร่อยๆ แบบในตลาดที่ผมชอบกินได้ ก็แอบไปถามสูตรแม่ค้าเขามา ดีที่ป้าแกเอ็นดูผม เลยไม่หวงสูตร ผมก็เลยได้เอามาทำให้คุณตรีทาน ซึ่งคุณตรีก็ดูจะชอบด้วย
“อะไรก็ได้ ทำมาเถอะ ของ่ายๆ ก็พอ วันนี้ฉันมีประชุมแต่เช้า”
“ได้ครับ”
เพิ่งจะไปทำงานได้วันเดียว คุณตรีก็มีประชุมแล้วเหรอ คนที่เขาทำงานระดับสูงๆ ชีวิตดูเคร่งเครียดอย่างบอกไม่ถูก
หากเทียบกับผมแล้ว คุณตรีดูแก่กว่าผมไปสิบปี ไม่ใช่ที่หน้าตา แต่เป็นการใช้ชีวิต
ผมอยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายบ้าง แต่ก็รู้ว่าคงเป็นแบบนั้นได้ยาก ด้วยภาระที่เขาต้องแบกรับไว้ ซึ่งผมประเมินไม่ได้ว่ามันมากขนาดไหน
ผมลงมาทำอาหารเช้าให้คุณตรี วันนี้ทำของง่ายๆ อย่างแซนด์วิช จะพิเศษกว่าเดิมก็ตรงวัตถุดิบที่ใช้ เพราะเป็นของดีและเป็นของที่คุณตรีชอบทาน อย่างอกไก่ อะโวคาโด แคร์รอตและมะเขือเทศ
อาหารเช้าอีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคุณตรีก็คือกาแฟ
ช่วงแรกๆผมโดนคุณตรีบ่นเรื่องทำกาแฟรสชาติไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ เพราะผมยังกะปริมาณและอุณหภูมิความร้อนของน้ำไม่ได้
แต่เมื่อสองวันที่ผ่านมาคุณตรีดื่มกาแฟแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมคิดว่าตอนนี้ฝีมือการทำกาแฟของผมพอจะเข้าขั้นที่เขาพอใจ
“ฟ้า เสร็จหรือยัง”
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของคุณตรีวิ่งลงมาจากบนบ้าน ผมชะโงกหน้าไปดู เห็นคุณตรีมีท่าทางรีบร้อน เนกไทของเขายังผูกไม่เรียบร้อยเลย
“เสร็จแล้วครับ คุณตรีนั่งรอที่โต๊ะได้เลย เดี๋ยวผมยกไปเสิร์ฟให้ครับ” ผมตะโกนบอกกับคุณตรี ก่อนจะเร่งมือจัดอาหารใส่ถาด แล้วยกไปให้คนที่ดูเหมือนว่ากำลังจะไปทำงานสาย
“คุณตรีทานไปก่อนเลยนะครับ ไม่ต้องรอผม ของผมยังทำไม่เสร็จ”
“อืม ไม่เป็นไร นายไปเตรียมของนายเถอะ”
คุณตรีลงมือทานมื้อเช้า ผมยืนมองเขา พิจารณาคุณตรีตั้งแต่ใบหน้าไปตามลำคอ เลื่อนต่ำไปตามร่างกายของเขา ชุดที่เขาใส่เป็นชุดที่ผมเตรียมไว้ให้ เขาไม่เคยบอกว่าผมทำได้ดีหรือแย่ เขาแค่สวมมันตามที่ผมเลือก
เพียงแต่วันนี้ที่แสนจะเร่งรีบ เสื้อผ้าหน้าผมของเขาเลยดูไม่เนี๊ยบอย่างที่เคย แต่ถ้าคนไม่เคยเห็นความเนี๊ยบในแบบฉบับปกติของคุณตรี ก็ยังต้องบอกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้สมบูรณ์แบบสุดๆ แล้ว
“ฟ้า”
“อะ ครับ”
“ยืนทำอะไร ไปทำอาหารเช้ามากินสิ”
“อ่อ ครับๆ”
ผมมัวแต่ยืนเหม่อมองคุณตรี จนลืมไปเลยว่าตัวเองต้องไปทำอะไร
ผมใช้เวลาทำอาหารของตัวเองแค่แป๊บเดียว ทำเสร็จก็เดินไปนั่งทานกับคุณตรีที่โต๊ะ ซึ่งเขาก็ทานเสร็จพอดี
คุณตรีดื่มน้ำส้มคั้นสดจนหมดแก้ว แล้วรินน้ำส้มในเหยือกดื่มต่อเป็นแก้วที่สอง
“ฉันไปทำงานก่อนนะ มีอะไรก็โทรหาได้ตลอด” คุณตรีพูด เป็นประโยคที่เขาบอกกับผมเวลาที่เขาจะออกไปไหนมาไหน
“คุณตรีครับ เนกไทยังไม่เรียบร้อยเลยครับ”
ผมเตือนก่อนที่เขาจะออกจากบ้าน คุณตรีกำลังสาละวนอยู่กับโทรศัพท์มือถือ
“มาช่วยจัดให้หน่อย” เขาบอก ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูก่อนจะพูดสั่งงานกับเลขา
ผมขยับไปยืนตรงหน้าคุณตรี ช่วยจับปกคอเสื้อ แล้วจัดการปลดเนกไทออกก่อนจะผูกให้ใหม่
โชคดีที่ผมมีพรสวรรค์ในด้านนี้ เวลาที่ผมผูกเนกไทไปสอบ อาจารย์มักชมว่าผมผูกสวยเป็นระเบียบ คงเป็นงานที่ผมสามารถทำได้ดีตั้งแต่ครั้งแรกเพื่อเขา
ในขณะที่ผูกเนกไทผมรู้สึกว่าโดนจ้อง ก็เลยช้อนสายตามองด้านบน สายตาคมของคุณตรีกำลังจดจ้องผมอยู่
เสียงแววจากปลายสายดังเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าเขากำลังตั้งใจฟังเลขาพูด หรือกำลังจดจ้องอยู่กับการผูกเนกไทของผมกันแน่
แต่จ้องกันแบบนี้ผมก็ประหม่านะ แถมยังใจเต้นแรงอีกด้วย
“อืมๆ แค่นี้นะครับ ผมกำลังจะออกจากบ้าน ไปถึงก็เตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมด้วย” ขนาดตอนเขาพูด เขายังไม่เลิกมองผมเลย
“เสร็จแล้วครับ” ผมบอกเขาเสียงเบา ก่อนจะถอยออกห่าง
คุณตรีก้มมองเนกไทของตัวเอง แล้วริมฝีปากของเขาก็คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ผูกสวยดีนิ งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป หน้าที่ของนายคือผูกเนกไทให้ฉันทุกวัน ตามนี้นะ ฉันไปทำงานก่อนละ อยู่บ้านดีๆ”
เขาขยี้หัวผมจนขึ้นฟู ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งค้างเติ่งกับความอารมณ์ดีของเขาที่เปลี่ยนไวจนตั้งตัวไม่ทัน ตอนคุยเรื่องงานยังทำหน้าเครียดอยู่เลย
“ผูกเนกไททุกวันอย่างนั้นเหรอ” ผมพึมพำ
ก็ไม่ยาก แต่ไม่ง่ายต่อใจเลยจริงๆ
ผมใช้เวลาไม่นานก็ทำงานเสร็จจนหมด เป็นแบบนี้ทุกวัน ช่วงบ่ายสามเป็นต้นไปผมจะว่างมากถึงมากที่สุด แต่ก็ไม่เคยคิดจะอู้งานแต่อย่างใด
ผมใช้เวลาว่างในการหาข้อมูลที่เกี่ยวกับการดูแลคุณตรี พอมีแท็บเล็ตและอินเทอร์เน็ตไว้ใช้งาน ผมก็สามารถค้นหาความรู้ใหม่ๆ ได้ไวมากขึ้น
หาข้อมูลเสร็จผมก็ลองฝึกทำอาหารเมนูใหม่ๆ ฝึกมือไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รสชาติที่อร่อยถูกปากคนทาน เพราะที่ยากที่สุดสำหรับผมก็คือการทำอาหาร
ในช่วงเย็นผมจะทำกับข้าวเตรียมไว้รอ ถ้าวันไหนคุณตรีมีนัดทานข้าวข้างนอกเขาจะบอกก่อนล่วงหน้า แต่ถ้าไม่ก็คือเขาจะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้าน ซึ่งผมก็มีหน้าที่ที่จะต้องนั่งกินเป็นเพื่อน
ตั้งแต่มาทำงานกับคุณตรี ผมประหยัดค่ากับข้าวไปได้เยอะ เพราะทั้งสามมื้อผมกินที่บ้านคุณตรี ไม่กินก็ไม่ได้ เจ้าของบ้านเขาบังคับครับ
เย็นนี้ผมทำกับข้าวไว้สามอย่าง ระหว่างรอคุณตรีกลับมา ผมก็ออกไปยืนรดน้ำต้นไม้ บรรยากาศในสวนเย็นสบายและร่มรื่นน่ามาผูกเปลนอน ไว้ผมจะขอคุณตรีเอาเปลมาผูกไว้กับต้นไม้ เอาไว้นั่งเล่นรับลม
เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาเรื่อยๆ ผมได้ยินแล้วก็รีบไปปิดน้ำ เอามือที่เปียกเช็ดกับกางเกง ก่อนจะออกไปเปิดประตูรั้วรอรับรถยนต์ของคุณตรี
“สวัสดีครับน้าภาพ” ผมยกมือไหว้น้าคนขับรถ
“สวัสดีๆ” น้าภาพยิ้มกว้าง เป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา วันไหนที่น้าภาพมาล้างรถ ผมก็มักจะได้ยินแกร้องเพลงลูกทุ่งคลอไปด้วย เสียงเพราะใช้ได้เลยครับ
“ผมถือให้นะครับคุณตรี”
ผมรีบเข้าไปรับเสื้อสูทกับกระเป๋าใส่เอกสารมาถือ
“ขอบใจ วันนี้ผมคงไม่ออกไปไหนแล้วนะครับน้า น้ากลับไปพักผ่อนได้เลย”
“ขอบคุณครับคุณตรี”
“เข้าบ้านกันฟ้า” คุณตรีพูดกับผม แล้วเดินนำเข้าบ้าน เขาเริ่มปลดเนกไทแล้วก็ปลดกระดุมแขนเสื้อ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา
ผมรีบเอาของขึ้นไปเก็บไว้ในห้องคุณตรี แล้วลงมาเอาเครื่องดื่มเย็นๆที่ผมเตรียมไว้มาเสิร์ฟให้คุณตรีดื่มแก้กระหาย เขาจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น
“ดื่มน้ำทับทิมแก้กระหายก่อนนะครับคุณตรี” ผมบอก
“ขอบใจนะ ฟ้า ขอยาแก้ปวดหัวหน่อยสิ”
คุณตรีใช้นิ้วนวดที่ขมับ ผมมองใบหน้าที่ค่อนข้างตึงเครียดของเขาด้วยความเป็นห่วง
“คุณตรีป่วยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมลอบถาม พอมาสังเกตดูดีๆ แล้ว สีหน้าของเขาค่อนข้างจะซีดเซียวเหมือนคนไม่สบาย
“เครียดเรื่องงานนิดหน่อยเลยปวดหัว กินยาแก้ปวดก็คงหาย”
“แน่ใจนะครับว่าไม่ได้มีอาการอย่างอื่นเพิ่ม”
“นายก็ตรวจให้ฉันสิ” เขายักคิ้วใส่ผม ไม่สบายแล้วยังจะทำเล่น
“ผมขออนุญาตนะครับ” ผมเอ่ยขอ ก่อนจะใช้ฝ่ามือแตะที่หน้าผากของเขา ตัวไม่ร้อน แสดงว่าไม่มีไข้
“มือเย็น” คุณตรีพูด
“ครับ ผมเป็นคนมือเย็น”
“ถ้าฉันเป็นไข้ ขอใช้ฝ่ามือนายแทนผ้าชุบน้ำเย็นได้ไหม” แม้คุณตรีจะมองมาด้วยใบหน้านิ่ง แต่ก็เจือความอ่อนโยนอยู่เล็กน้อย คล้ายจะอ้อน
“มันจะใช้แทนกันได้ยังไงล่ะครับ มือผมไม่ได้เย็นเป็นน้ำแข็งสักหน่อย รอเดี๋ยวนะครับ ผมจะไปหยิบยาแก้ปวดหัวมาให้”
“มันก็เย็นสบายเหมือนกันแหละน่า” เขาบ่นพลางถอนหายใจเบาๆ ผมส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหยิบยาแก้ปวดหัวมาให้เขากิน
จากนั้นคุณตรีก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมก็เตรียมตั้งโต๊ะอาหาร
คุณตรีจะกินข้าวเย็นตอนหกโมงโดยประมาณ พอกินข้าวและเก็บล้างเสร็จ งานของผมในวันนั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้น
“ฟ้า คืนนี้อยู่ล่วงเวลาหน่อยได้ไหม” คุณตรีที่อาบน้ำจนหอมฉุยเดินมานั่งที่โต๊ะทานข้าว
“คุณตรีมีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ” ผมถาม
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก คืนนี้ฉันยังต้องทำงานอีกนาน เลยว่าจะให้อยู่ช่วยเวลาที่ต้องการอะไร”
“ได้ครับ ผมไม่มีอะไรต้องทำพอดี” ผมตอบ
“อืม ขอบใจ”
“ยินดีครับ”
นอกจากความสุขในการอยู่รับใช้เขาแล้ว อย่าลืมนะครับว่าเงินค่าจ้างล่วงเวลาก็เยอะมากๆเลย หากสามารถหาเงินเก็บออมเอาไว้ได้เยอะเท่าไหร่ มันก็จะเป็นผลดีสำหรับคนตัวคนเดียวอย่างผมมากเท่านั้น
“อันนี้อร่อย” เขาใช้ช้อนชี้ที่จานผัดหมูสับถั่วฝักยาวใส่ใบโหระพา
“อร่อยก็ทานเยอะๆ นะครับ”
ผมใช้ช้อนกลางตักกับข้าวให้เขา เขามองแล้วก็ตักข้าวพร้อมกับที่ผมตักให้เข้าปากกินไปเงียบๆ
“นายเองก็กินเยอะๆ ฟ้า ช่วงเวลาว่างไม่มีอะไรทำ ก็ไปใช้ห้องออกกำลังกายได้ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง” คุณตรีพูด แล้วก็เป็นฝ่ายตักกับข้าวมาให้ผมบ้าง
“ผมใช้ไม่เป็นหรอกครับ” เครื่องใหญ่ปุ่มกดเยอะแยะ ผมกลัวจะไปทำพัง
“ของแบบนี้มันต้องมีครั้งแรกทั้งนั้น ไม่มีใครทำเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอก”
“ครับ” มันก็จริงของเขา
“ไว้วันหยุด ฉันจะสอนก็แล้วกัน นายก็เตรียมชุดออกกำลังกายมาด้วย”
“ได้ครับ”
“นายใส่รองเท้าเบอร์อะไร”
“สี่สิบสองครับ”
“อืม เดี๋ยวฉันไปหยิบรองเท้าของฉันมาให้ ฝากเขาซื้อแต่เขาส่งไซส์มาให้ผิด นายก็เอาไปใช้แล้วกัน”
“จะดีเหรอครับคุณตรี ถ้าสั่งมาผิด ก็ส่งไปคืนเขาได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“ส่งไปไม่ได้แล้ว ฉันซื้อคู่ใหม่มาแล้วด้วย คู่นั้นเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ ถ้านายไม่เอา ก็คงต้องทิ้ง”
ทิ้ง! ทิ้งอีกแล้วเหรอ
“คุณตรีครับ จะทิ้งได้ยังไง ของใหม่ขนาดนั้น” ผมพูดเสียงอ่อนอกอ่อนใจ ยอมใจกับความสุรุ่ยสุร่ายของเขาจริงๆ
“ก็มันไม่มีคนใช้นี่”
“...”
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะบังคับให้นายรับไปนะ แต่ของมันไม่ได้ใช้ เก็บไว้ก็น่าเสียดาย เห็นเป็นไซส์นายฉันก็เลยยกให้”
“งั้นผมขอซื้อต่อได้ไหมครับ ถ้าให้ฟรีๆ เลยผมเกรงใจ”
“แน่ใจ” เขาเลิกคิ้วถาม รวบช้อนทานข้าวไว้กลางจาน หยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดริมฝีปากก่อนจะดื่มน้ำตาม
“แน่ใจครับ”
ผมขอซื้อดีกว่าที่จะรับของๆ เขาฟรี
“สามหมื่นนะฟ้า”
“ห๊า”
อะไรนะ สามหมื่น!
“ทำไมมันแพงอย่างนี้ละครับ” ผมแทบร้องโอย
รองเท้าผ้าใบของผมที่ใช้ก็ว่าแพงแล้วนะ ห้าร้อยเก้าสิบเก้า ตอนซื้อก็คิดแล้วคิดอีก แล้วรองเท้าที่คุณตรีซื้อมานี่อะไร สามหมื่น!
“คนละครึ่งทางแล้วกัน ฉันจะขายต่อให้ในราคาคืนนี้ ที่นายจะอยู่ล่วงเวลาให้ฉัน”
เขาเสนอทางออกให้ผม ที่ผมคิดว่า...มันก็โอเคสำหรับผมอยู่ ไม่ต้องได้ค่าล่วงเวลาก็ได้ แต่ไม่ใช่ต้องเสียเงินเดือนทั้งเดือนเพื่อรองเท้าหนึ่งคู่
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ” ผมตอบรับข้อเสนอ แล้วลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างในครัว
คุณตรีเดินตามมายืนมองผมทำงาน ผมหันกลับไปมองเขาด้วยความสงสัย
“คุณตรีอยากได้อะไรไหมครับ” ผมถาม
“ฟ้า ไม่สบายใจเรื่องรองเท้าหรือเปล่า ฉันไม่ได้บังคับนะ ถ้านายไม่อยากได้ ก็ไม่เป็นไร”
ทำไมเขาถึงถามแบบนั้น ผมเผลอทำสีหน้าที่ไม่โอเคออกไปโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
“ทำไมคุณตรีถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ฉันรู้ว่าสำหรับนายเงินทองมันหายาก ถ้าจะต้องมาเสียเงินหลักหมื่นเพราะรองเท้าหนึ่งคู่ มันก็คงมากเกินไป”
“แต่คุณตรีก็บอกว่าจะหักจากค่าล่วงเวลานิครับ ผมก็แค่ต้องอยู่ดึกกว่าเดิมแค่นั้นเอง ไม่ได้เสียอะไรสักหน่อย”
“...” เขาเงียบเอาแต่จ้องหน้าผม ทำเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูด ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา อยากลองค้นหาสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ
“คุณตรีอย่าคิดมากเลยครับ ผมไม่ได้รู้สึกว่าโดนบังคับอะไร กลับกัน ถ้าคุณตรีให้ผมฟรีๆ ผมจะรู้สึกแย่ยิ่งกว่า”
ผมคิดอย่างที่ตัวเองพูดจริงๆ ค่าล่วงเวลาที่คุณตรีให้ต่อชั่วโมงเป็นเงินจำนวนมากกว่าที่ผมเคยได้ แถมเงินเดือนและความสบายก็มากกว่างานสองที่ที่ผมเคยทำทั้งเดือนรวมกันเสียอีก
ดังนั้นผมคิดว่าการเสียเวลาแค่สามสี่ชั่วโมงของคืนนี้แลกกับรองเท้าผ้าใบดีๆสักคู่มันยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก
“อย่าฝืนใจนะฟ้า ฉันไม่อยากเป็นคนที่ทำให้นายเดือดร้อน” เขาดูกังวลมากจริงๆ จนผมต้องแอบอมยิ้มในใจ
“ผมไม่เดือดร้อนหรอกครับ จริงๆ นะ คุณตรีไม่ต้องกังวลเลย ผมเองก็ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรดีๆให้ตัวเอง จ่ายค่าความสุขให้ตัวเองบ้างก็คงดี”
“มันจะดีกว่านี้ถ้านายรับไปเลย ยังไงฉันก็ไม่ได้ใช้ เก็บไว้ก็เสียของ”
“แบบนั้นไม่ดีหรอกครับ เพราะผมจะไม่สบายใจ”
“ก็ได้ แต่อย่าลืมนะ ถ้าอะไรที่ฉันทำให้นายไม่สบายใจก็บอกได้เลย ไม่ต้องกลัวไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น”
จะไม่ต้องเกรงใจได้ยังไงครับ ถึงคุณตรีจะทำให้ผมไม่สบายใจ ผมก็ไม่บอกเขาหรอก ใครจะไปกล้า
“ครับ” แต่ก็ต้องรับคำเพื่อให้เขาสบายใจ
คุณตรีมีเรื่องที่ต้องคิดต้องเครียดอีกเยอะ เขาไม่ควรที่จะต้องมาคิดมากเรื่องของผมอีกเรื่อง มันไม่สมควรเลย
“ฉันขึ้นไปทำงานนะ ถ้าทำอะไรเสร็จแล้ว ฉันขอชาร้อนสักกาก็แล้วกัน”
“คุณตรีจะรับชาอะไรดีครับ”
ชาที่คุณตรีดื่มมีหลายแบบมาก ทั้งชาไทย ชาจีน และพวกชาต่างประเทศอีกหลายชนิด
ผมยังไม่มีเวลามากพอที่จะศึกษาเรื่องนี้ ปกติที่จะชงไปเสิร์ฟก็พวกชาที่ตัวเองรู้จักอย่างชาเขียว ชามะลิหรือไม่ก็ชาเย็น
“เอาเป็นชาผลไม้ก็ได้ เลือกมาเลย”
“ได้ครับ เสร็จแล้วผมจะเอาขึ้นไปเสิร์ฟให้นะครับ”
“อืม ฝากด้วย”
หลังคุณตรีขึ้นไปทำงาน ผมก็เก็บล้างทำความสะอาดในครัว จากนั้นจึงต้มน้ำเตรียมชงชาร้อนให้คุณตรี
“ชาผลไม้งั้นเหรอ แล้วเอารสอะไรดีล่ะ มีหลายรสซะด้วย”
ผมหยิบกล่องชาออกมาดมดูทีละกล่อง ผมไม่เคยดื่มชาพวกนี้มาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่ารสชาติมันจะเป็นอย่างไร เลยเลือกกลิ่นที่คิดว่าน่าจะช่วยให้ผ่อนคลายอย่างชาผลไม้รวม ‘Mix fruits’ กลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวชวนให้รู้สึกสดชื่นดี
พอน้ำร้อนในกาต้มน้ำเดือดได้ที่ ผมก็รินน้ำร้อนใส่กาต้มชาอย่างช้าๆ เพื่อให้ความร้อนค่อยๆไหลผ่านซองชา
น้ากุ้งบอกว่าทำแบบนี้จะได้กลิ่นหอมและรสชาติที่พอดี ไม่อ่อนและไม่เข้มจนเกินไป ผมไม่ใช่คนดื่มชาเป็น ก็แยกไม่ออกว่ามันจะดีกว่ากันยังไง แต่ขอแค่คุณตรีพอใจ แม้จะเป็นงานที่ยาก ผมก็พร้อมที่จะศึกษา
“ขออนุญาตครับคุณตรี”
ผมเคาะประตูห้องทำงานแล้วเปิดประตูเข้าไป คุณตรีที่กำลังหลับตานั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น คิ้วของเขายังขมวดเป็นปมอยู่เลย
“มาแล้วเหรอ” เขาถาม
“เครียดเหรอครับ”
ผมอยากรู้ว่างานของเขามันมีปัญหาที่ตรงไหน ถึงทำให้เขาเครียดได้ขนาดนี้
“อืม งานมันวุ่นวายนิดหน่อย”
ผมว่าไม่น่าจะนิดหน่อยแล้วนะแบบนี้ ถ้ามองดีๆ จะเห็นเลยว่าเส้นเลือดตรงขมับของคุณตรีปูดนูนขึ้นจนเห็นชัดเป็นเส้น
“จิบชาร้อนๆ นะครับ จะได้สดชื่น”
ผมรินน้ำชาใส่ถ้วยให้คุณตรี ก่อนจะออกไปเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาให้คุณตรีเช็ดหน้า
“ฟ้า มานวดขมับให้หน่อยสิ”
“ครับ?” ผมถามย้ำถึงความต้องการของเขาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
“นวดขมับให้หน่อย ปวดหัว”
ผมอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ ทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมคุณตรีจะต้องเจอกับความเครียดและความกดดันเหล่านี้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงแค่หนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น
ผมเดินอ้อมไปด้านหลังเก้าอี้ที่เขานั่ง คุณตรีทิ้งตัวเอนกับพนักเก้าอี้อีกครั้ง ผมเอ่ยขออนุญาตแล้วใช้ผ้าเย็นเช็ดไปตามใบหน้าได้รูปสวย จากนั้นก็เริ่มต้นนวดที่ขมับให้เขาอย่างเบามือ
ตอนเด็กๆ ผมเคยนวดให้ลุงชัย ลุงบอกว่าผมนวดเก่งนวดดีเหมือนไปเรียนมา ไม่รู้ว่าลุงแกล้งชมหรือเปล่า แต่ผมจะลองทำให้คุณตรีดู
ผมนวดให้คุณตรีอยู่สักพัก เห็นสีหน้าเขาผ่อนคลายลงผมก็ระบายยิ้มบางๆ ด้วยความภูมิใจ
“สบายไหมครับ” ผมถาม
“อืม สบาย”
สบายก็ดีแล้วครับ ผมไม่อยากให้คุณเครียดเลย
“ฟ้า”
“ครับ”
คุณตรีจับมือผมเหมือนให้หยุด แต่เขาไม่ยอมปล่อยมือ ดวงตาของเขาค่อยๆเปิดขึ้นแล้วจ้องตาผมทั้งๆ ที่ยังมองกลับหัวกลับหาง
มือของเขาที่กุมมือผมไว้บีบกระชับให้แน่นขึ้นเล็กน้อย
“ขอบใจนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนฟังระรื่นหูจนผมแทบเคลิ้ม
ผมยิ้มให้เขา แล้วลองบีบมือเขากลับดูบ้าง
“ด้วยความยินดีครับ”
ผมบอกแล้วไง เพื่อเขา ผมเต็มใจทำให้ทุกอย่าง