ลูกสาวคนเดียวไม่กลับบ้านมาเป็นอาทิตย์! ไม่ส่งเสียงมาตามสายให้หายคิดถึง ทั้งที่เคยเห็นหน้ากันมาแต่ตัวเล็ก ๆ จนโตเป็นสาวอายุยี่สิบเอ็ดย่างเข้ายี่สิบสองปี คนเป็นแม่หรือจะอยู่เฉยไหว
“แบร์นาร์ด... นี่เลิกโกรธสักทีได้ไหม? ฉันกำลังคิดเรื่องที่คุณพูดนะ”
“ก็ควรเป็นอย่างนั้น ผมไม่ชอบมัน...” เสียงเข้มเอ่ยกับเจ้าของร่างบางในเดรสสีดำสนิทเข้ารูปทรงสมส่วนคุณแม่ยังสาว ถึงปีนี้เธอจะย่างเข้าสี่สิบห้าปีก็ไม่ดูแก่ขึ้นสักเท่าไรเลย
เลขานุการหนุ่มทำตัวสบาย ๆ แต่งตัวสบาย ๆ กางเกงขาสั้นเสื้อยืดด้วยความที่หยุดงานมาเป็นอาทิตย์ ลาพักร้อนแต่ก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหน ใช้เวลาพักผ่อนอย่างคุ้มค่าในห้องชุดคอนโดมิเนียมของตัวเอง
“อ้อ... ไม่ใช่สิ ผมไม่ควรเรียกว่าที่ลูกเขยของคุณนายว่ามัน ต้องเป็นคุณอานนท์... ผมไม่อยากบอกเลยจริง ๆ นะว่าเขาอยู่ในกรุ๊ปไลน์ FWB เพื่อนกันมันดี นอนกับผู้หญิงมากกว่าหนึ่งคนภายในหนึ่งอาทิตย์ คุณยังอยากได้มาเป็นลูกเขยไหม?”
นิตยายืนนิ่งเงียบโดยที่เธอยังกำกุญแจห้อง สะพายกระเป๋าสไตล์คุณนายอยู่อย่างนั้น ทั้งโมโหทั้งน้อยใจ ความรู้สึกหลายอย่างปนเปกันไป และเธอยิ่งโมโหอีกคนก็ทำไม่สนใจอะไรเลย หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นเปิด เปลี่ยนช่องไปเรื่อยเปื่อย
“คุณอยากให้ปริมเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวแบบคุณ... อยากได้ผู้ชายแบบ... คุณพิสุทธิ์?” เอ่ยเนือย ๆ ในท่าทางเหนื่อยหน่ายไปเสียทุกอย่าง
เรื่องสามีเก่าคุณผู้หญิงของบ้านคงไม่มีใครกล้าพูดมันขึ้นมา ถ้าไม่ใช่แบร์นาร์ด ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอน้ำหยดใส ขณะกัดปากกัดฟันกรอด ๆ
ไม่มีวันไหนที่เธอจะลืมสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นทำแม้ว่าจะหย่ากันไปแล้วถึงยี่สิบปี!
“ผมเข้าไปดูเล่นดีบ้างไหมนะ... เด็ก ๆ เขาทำอะไรกัน? FWB เนี่ย...”
คำพูดนั้นทำร้ายจิตใจคนที่อุตส่าห์มาหาเขาถึงที่ นักธุรกิจพันล้านอย่างนิตยาไม่เคยง้อใคร จู่ ๆ เธอก็ปล่อยโฮออกมาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ยกมือขึ้นปาดแก้มพลันก้าวพรวดหนี ทว่าไม่ทันไร กุญแจห้องในมือถูกกำหมับพร้อมคนข้างหลังที่รวบเธอเอาไว้ทั้งตัว
“คุณป้อม เดี๋ยวสิ... จะรีบไปไหนเล่า?”
“ไอ้ฝรั่งปากหมา...” เสียงสะอึกสะอื้นไห้ต่อว่าคนข้างหลัง คงจะมีแค่คนเดียวบนโลกที่ทำร้ายจิตใจของเธอได้นอกจากนัชชา ร่างบางดิ้นขลุกขลักในพันธนาการที่รัดแน่นกว่าเดิม เขาจุปากปราม
“ชู่ว์… ผมเรียนภาษาไทยมากจากคุณป้อมกับลูกปริมนะครับ... ปากผมเป็นแบบนี้ ควรจะโทษใคร?”
“…”
ไม่มีคำตอบจากคนตัวเล็ก แผ่นหลังบางสั่นเทาเพราะความโศกเศร้า และเครียดจากงาน
หลายวันมานี้พอเลขาฯ ประจำตัวทำประท้วง นิตยาจึงต้องทำงานกับเลขาฯ ชั่วคราวที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีนิสัยเงียบขรึมเหมือนแบร์นาร์ด ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสแต่กำเนิด ก็ไม่ได้มีนิสัยน่ารักสักเท่าไร แต่หากเทียบกับความละเอียดของงาน คงพอจะลืมเรื่องนั้นไปได้ไม่ยาก
“ฉันคิดถึงลูก… คุณไปรับ.. ลูกปริมให้หน่อยนะ…”
เสียงแผ่วเบาทำให้อีกคนที่มีสีหน้าแปลกใจ นัยน์ตาสีนิลสนิทหลุบมองดวงหน้าแดงก่ำอย่างนึกสงสาร
ก็แน่ล่ะ... เขาอยู่กับเธอมาตั้งยี่สิบปีในความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครพูดอะไรมาก ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ยังไม่มีใครอยากแต่งงานอีกรอบ แบร์นาร์ดเองก็หย่ามาครั้งหนึ่ง
“ครับ… อาทิตย์หน้าผมจะฝากให้เลขาฯ คนใหม่ไปรับละกัน”
“ทำไมไม่ไปเอง?” ถามหน้ายุ่งแล้วเอี้ยวตัวไปเล็กน้อย เพื่อเชยคอมองชายหนุ่มที่ก้มหน้าลงเล็กน้อย บอกด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม
“มีเรื่องต้องคุยกับคุณหน่อย อืม... มันยังเป็นวันหยุดของผมอยู่ด้วยนะ”
“คุยอะไรอีกล่ะ?” ตอบเท่านั้น สองขาของเธอก็ลอยโหวงเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง โดยคนอุ้มไม่พูดอะไรสักคำ แค่ทำหน้าเครียด ๆ เดินตัวปลิวไปอย่างปล่อยให้สาวใหญ่ต้องคิดมากมายในความหมายของเขา มือเล็กตีบ่าแกร่งเบา ๆ ตวาดว่า
“นี่! ฉันแก่แล้วนะยะ ไม่ใช่สาว ๆ จะอุ้มฉันไปไหน!?”
“ไปคุยกันในห้องดีกว่า แก่อะไรกัน ยังสาวยังสวยจะตาย” ปากชมไปตามตรง กระชับกอดคนในอ้อมแขนแน่น ไม่สนแรงดิ้นขลุกขลักของหญิงสาวที่ดูแลตัวเองดีไม่ต่างจากสาวรุ่นสามสิบ ประสาคนมีเงิน
“อย่ามาทำหื่นกับฉันนะ ไอ้แบร์นาร์ด” เสียงขู่ฟ่อผ่านไรฟันบอกว่าเธอพร้อมจะกัดคอเขาและเขาก็คงยอมให้คุณนายกัดอย่างเต็มใจ
เลขานุการหนุ่มในนอกเวลางานคงได้เกิดความต้องการทางเพศทุกครั้งยามเห็นหน้าตาเง้างอนเหมือนเด็กสาวของเจ้านายจนอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาทุกที
“คุณป้อมครับ ก็เคย ๆ กันแล้วป่ะ จะเล่นตัวอะไรเนี่ย ผมไม่เคยนอกใจคุณป้อมเลยนะ ลูกคุณก็รู้เรื่องเรามาตั้งนานแล้ว วันนี้ขอ.... อย่าเยอะ”
คนโดนว่า ‘อย่าเยอะ’ มองค้อนวงโต อยากนึกคืนคำที่เธอเป็นคนสอน ตอนนี้ก็ยังยอมให้เขาพาเข้าห้อง วางลงบนเตียงอย่างว่าง่าย
ท่าทางน่ารักของแม่ม่ายสาวปั่นป่วนอารมณ์อีกคนอยู่ไม่น้อย ขณะหยัดกายขึ้นคร่อมทับคนใต้ร่างไว้ ยกปลายนิ้วโป้งขึ้นปาดหยดน้ำตาบนแก้มแดงก่ำจนเกลี้ยงเกลา
“เวลาไม่สั่งเยอะก็น่ารักดี... แต่เวลาบ่น อืม.... ผมก็ยังรักคุณป้อมอยู่ดีนั่นแหละ”
หัวใจดวงน้อยสั่นระรัวกับคำหวาน สองตาสบประสาน ฝ่ามือหนาก็ลูบไปตามปลายนิ้วสอดประสานจับกุมไว้บนเตียงนุ่ม พลันวงหน้าหล่อเหลาโน้มลงประกบจุมพิตแผ่วเบา บอกผ่านความรู้สึกของเขาในฐานะเลขาฯ และสามีที่ไม่ต้องการอะไรมากกว่า ‘ความรัก’ ของคุณนายนิตยา
คนบ้างานอย่างอลันไม่ได้ทำงานแค่กับปรเมษฐ์ เขามีทรัพย์สินส่วนตัวหลายอย่าง นำเงินทุนไปหมุนเวียนด้วยการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งระยะสั้นและยาว
ถึงการครอบครองทรัพย์สินในเมืองไทยในฐานะชาวต่างชาติจะยังมีข้อจำกัดอยู่มากตามกฎหมาย เขาสามารถซื้อและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สำหรับห้องชุดหรือคอนโดมิเนียมได้ ยกเว้นสำหรับบ้านและที่ดิน ที่ยังสงวนเฉพาะคนไทยเท่านั้น
ก็ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร อลันไม่คิดจะลงหลักปักฐาน หรือว่ามีครอบครัวที่นี่อยู่แล้ว...
แต่เขาก็ไม่อยากจะกลับไปบราซิล หรือสหรัฐฯ
ตั้งแต่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไป มีลูกน้องที่ทำงานให้กับพ่อของเขามานานติดตามมาอยู่เมืองไทยด้วยหลายคน ไม่ใช่เพราะความรักตัวกลัวตาย แต่ละคนทำใจไม่ได้ที่คนดี ๆ อย่างนิคาซิโอ้ต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร
สิบปีแล้วสินะ...
ใบหน้าหล่อเหลาหยัดยิ้มหยัน คล้ายว่าจะหัวเราะออกมา โน้มตัวลงหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่วางสายไปไม่รู้ต่อกี่สายในเช้านี้
หลายคนเป็นห่วงเขาโดยเฉพาะลูกพี่ลูกน้องคนโตสุดของบ้านอย่างมาร์คัส เพื่อนฝูง ปรเมษฐ์ ปรายลดาโทรมาซักถามสารทุกข์สุกดิบ มีก็แค่คนเดียวที่หายเงียบไป ยังอุตส่าห์ทิ้งเสื้อยืดไว้หนึ่งตัว...
กลิ่นหอม ๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อยจางลง ตรงกันข้ามกับเขาที่ฟุ้งซ่านอยู่ตลอด
ทำไมไม่โทรมานะ อยู่กับแฟนหรือไง...?
คิ้วเข้มหนาที่เรียบขนานไปกับแววตาคู่คมจับจ้องอยู่กับจอสี่เหลี่ยมในมือ ในความคิดว่าเขาควรติดต่อไปไหม? และเขาจะใช้ข้ออ้างอะไร
ออ... เสื้อ... น่ะเหรอ?
เสื้อยืดสีขาวบนเตียงหยิบมาดูกี่ครั้ง หากเทียบกับเสื้อผ้าของเขาคงเหมือนเสื้อเด็กน้อย สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจถ่ายรูปเสื้อสวยบนที่นอนไป แล้วรอ...
ในสีหน้าสงบนิ่ง หัวใจชายหนุ่มเต้นระรัวอยู่ในทุกนาที กระทั่งแสงวูบวาบปรากฏพร้อมเสียงสั่นดัง เขารับในทันที
[เป็นไงบ้างล่ะ? หายแล้วไปจัดการธุระเรื่องยัยปิ่นให้หน่อยนะ อลัน]
“ออ... ครับบอส” น้ำเสียงเจือความผิดหวังบอกเจ้านายคนเดิม ก่อนวางสายไป อลันเริ่มที่จะหงุดหงิดขึ้นมา ทิ้งแผ่นหลังลงบนโซฟายกมือขึ้นกุมขมับ