Lovely shot 3
ทีแรกฉันก็นึกว่าพวกเขาแค่แกล้งดุให้กลัวแต่ไม่เลยแม่เก็บของใส่กระเป๋าฉันแล้วโยนไว้ที่หน้าบ้าน วันนั้นฉันเพิ่งสอบเสร็จกลับมาถึงบ้านก็ร้องไห้อย่างหนักพี่กั้งพี่คนที่สองเข้ามาประคองและพาขึ้นรถออกมาเลย
จากวันนั้นฉันก็ไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกเลย พี่กูลพี่ชายคนโตตอนนี้เป็นคนดูแลครอบครัวอยู่ แต่ฉันไม่ได้ติดต่อพี่ชายหรอกเพราะรายนั้นเองก็โกรธฉันเหมือนกันตอนนี้เลยมีเพียงพี่กั้งที่ยังติดต่ออยู่
“แวะทานข้าวก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่อยากให้ไปส่ง ไม่อยากให้รู้ว่าอยู่ไหน” ฉันบอกกับคุณกรทันทีเมื่อเขาพูดจบ ฉันพูดจริง ๆ นะฉันไม่อยากให้เขาไปส่ง
“กานต์ ย้ายไปอยู่กับพี่” คุณกรเอ่ยชวน แต่เป็นฉันเสียเองที่เค้นเสียงหัวเราะอย่างขมขื่นหลังจากได้ยินประโยคนั้น
“ไปอยู่ทำไมละคะ เราเป็นเจ้านายกับลูกน้องแค่คุณให้ฉันขึ้นรถมาด้วยมันก็ไม่เหมาะสมแล้ว”
“ช่างคนอื่นสิ”
“ไม่จำเป็นค่ะ”
“กานต์ ตอนที่พี่ไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นบอกพี่ได้ไหม” หากเขารู้ไปแล้วมันจะช่วยอะไรได้ล่ะ ไม่เห็นความจำเป็นที่ฉันจะต้องบอกเขาเลยสักนิด
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“กานต์...”
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“ครับ? ถามอะไรพี่เหรอ”
“คุณได้บอกที่อยู่ของฉันกับใครไหม”
“...”
“ถ้าไม่ก็ขอบคุณแต่ถ้าบอก...ก็พอเถอะค่ะ” ฉันโดนระรานทุกครั้งเวลาเขารู้ว่าฉันพักอยู่ที่ไหน โดนหนักจนต้องย้ายหนีอยู่บ่อย ๆ
“ทำไมกานต์ ทำไมต้องทำแบบนั้น พี่เองก็เหนื่อยที่ต้องมาตามเราแล้วนะ พี่จะทำอะไรก็ไม่ได้ทำเอาแต่คิดเรื่องเรา...”
“เซ็นอนุมัติสิคะ ใบลาออกที่ยื่นไปเซ็นให้สักทีสิคะ” เขาเองก็คงจะเหนื่อยและเบื่อแล้ว คนอย่างฉันอยู่ไหนก็สามารถทำให้คนรอบข้างเบื่อหน่ายได้ล่ะนะ นับเป็นความสามารถพิเศษได้ไหม
“ไม่!”
“แล้วจะเก็บไว้ทำไมล่ะ เบื่อนี่ เหนื่อยไม่ใช่เหรอ ปล่อยไปสิคนพวกนั้นจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับคุณ”
“กานต์คุยกันดี ๆ ”
“แล้วนี่ไม่ดีตรงไหนคะ?” ฉันถามมือก็ยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มเร็ว ๆ ฉันจะไม่มีทางร้องไห้ให้เขาเห็นเด็ดขาด จะไม่มีวันอ่อนแออีกแล้ว
“กานต์อย่ามางี่เง่ากับพี่” งี่เง่าอย่างนั้นเหรอ? ฉันกลายเป็นคนแบบนั้นแล้วเหรอ
ท้ายที่สุดคุณกรก็มาส่งถึงห้อง เขาพาไปทานข้าวแต่ฉันทานไม่ลงเลยนั่งนิ่ง ๆ แทน กว่าเขาจะยอมมาส่งก็ห้าทุ่มฉันไม่พูด ไม่ลา ไม่กล่าวขอบคุณอะไรเขาเลย แต่เดินเข้าห้องปิดประตูทรุดตัวร้องไห้อย่างหนัก ทั้งเหนื่อยและเบื่อกับเรื่องที่ต้องเจอแบบนี้
ทั้งที่ก็พยายามห้ามตัวเองแล้ว บอกตัวเองให้เข้มแข็งต่อเรื่องพวกนี้แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผลเลยสักนิด
บ้าจริงพรุ่งนี้ฉันต้องทำงานอีกนะทำไมต้องมาร้องไห้ด้วยเนี่ยยัยกานต์
นั่งเรียกสติตัวเองอยู่นานจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างอ่อนแรง กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เที่ยงคืนไปแล้ว ฉันข่มตาหลับอยู่ตลอดทั้งคืนไม่รู้ว่าหลับจริง ๆ ตอนไหน พอรู้สึกตัวตื่นอาการปวดศีรษะก็วิ่งแล่นไปทั่วทั้งศีรษะ ไหนจะอาการวิงเวียนนั่นอีก
บ้าจริง ฉันไม่ชอบอาการแบบนี้เลย แต่ทำยังไงได้ล่ะงานก็ต้องทำ จึงต้องฝืนร่างกายที่แสนอ่อนล้าของตัวเองลงจากเตียง
“เฮ้ย ๆ ทำไมหน้าซีดแบบนั้น” เสียงพี่ที่แผนกดังขึ้นให้ได้ยินฉันโบกมือให้หงอย ๆ มันไม่มีแรงนี่นา
“ไหวไหมเนี่ย” พี่ปองเดินเข้ามาทัก ใช้หลังมือวัดไข้ให้ ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดีหรอกนะคะ เพราะทั้งแผนกมีฉันโสดเพียงคนเดียว พี่ ๆ แต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว แถมฉันยังเป็นน้องเล็กที่สุดด้วยพี่ ๆ ในแผนกเลยโอ๋กันใหญ่ บอกว่าเลี้ยงฉันเหมือนได้เลี้ยงลูก
“ตัวอุ่น ๆ นะเนี่ย”
“เวียนหัวนิดหน่อยค่ะ”
“ถ้าบ่ายไม่ไหวก็ลา ไม่เป็นไรหรอกแกเคลียร์งานแกไปหมดแล้วนี่”
“ขอบคุณค่ะพี่” ฉันบอกพี่ปอง พอพี่ปองเดินออกไปพี่ภัสก็เดินเข้ามาดูทั้งยังแปะแผ่นเจลลดไข้ให้ด้วย
“ไม่ไหวก็ลานะกานต์”
“ค่ะพี่ภัส” ฉันนั่งเคลียร์งานเอกสารบนโต๊ะจนถึงเที่ยง อาการที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักนิดจึงตัดสินใจลาช่วงบ่าย พอพี่ภัสเซ็นอนุมัติฉันก็ไม่รอช้าที่จะเก็บของกลับบ้าน จังหวะที่เดินออกจากออฟฟิศฉันเห็นรถคุณกรเลี้ยวเข้ามาพอดี จึงตัดสินใจเดินออกให้ห่างจากเขาไปเรียกแท็กซี่ และฉันเองก็พอจะมั่นใจว่าแรงสั่นและเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มาจากใคร
KhunKORN
ไปไหน
รู้ว่าเห็นข้อความแต่ทำไมไม่ตอบ
จะไปไหนทำไมไม่บอกกันบ้าง
ฉันปล่อยข้อความไว้แบบนั้นไม่ได้กดเข้าไปอ่าน
กระทั่งกลับมาถึงห้องพัก ฉันรีบกินยาแล้วนอนพักทันที ตอนนี้เวียนศีรษะจนอยากจะอาเจียนแต่ในท้องก็ไม่มีอะไรให้อาเจียนออกมา เป็นความรู้สึกที่ทรมานมากจริง ๆ
ฉันหลับไปด้วยความเหนื่อย รู้สึกตัวตื่นก็เกือบหนึ่งทุ่ม หลับยาวหลายชั่วโมงตื่นมาก็ไม่มีอะไรทำเลยนั่งดูยูทูปติดตามข่าวลูก ๆ ในทวิตเตอร์ไปพราง ความสุขของฉันล่ะแบบนี้น่ะ