ตอนที่ 4 ความผิดที่ได้ก่อ
“กรี๊ดดดดดด นี่มันของจริงนี่หว่า ช่วยด้วยยยยยยยยย!” ฉันหวีดร้องสุดเสียง หลับตาปี๋ด้วยความกลัว ทำไมชีวิตของฉันถึงอาภัพแบบนี้ เมื่อก่อนอยากบินได้ ตอนนี้ได้บินสมใจ แต่หยุดไม่ได้ !! ฉันไม่ได้อยากบินแบบนี้ ฉันแค่อยากนั่งเครื่องบิน!!
อ้ากกกก! ตายแน่ หลินหลิน ชาตินี้ยังไม่มีแฟน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีสามี ไม่มีลูก ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรซักอย่าง นิยายก็ไม่ดัง(มั้ง) น้ำก็ไม่มีกิน แถมหมายังมาขโมยเงินอีก แล้วฉันกลับมาพบเจอตาแก่แต่งตัวปหลาด หน้าเหมือนปลาบู่ ฆ่าตายอีก ท่านเทพเจ้าคะ ลูกยังอยากมีชีวิตต่อ ได้โปรดช่วยลูกด้วยยยยย
ทันใดนั้นเอง ก็มีมือหนามาคว้าเอวของฉัน แล้วอุ้มฉันไว้ ฉันค่อย ๆ ลืมตาข้างนึงมองไปยังใบหน้าของเขา แล้วเบิกตากว้างขึ้น เขาคือพ่อหนุ่มผลน้ำตาลอ่อนชุดขาวนั่นเอง หืม ได้มองใกล้ ๆ แบบนี้ หล่อจัง
“เป็นเทพฉันก็เชื่อนะเนี่ย” ฉันพูดออกมา พร้อมใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่แก้ม
ของเขา เพื่อเช็คดูว่าเขามีตัวตนอยู่ จริง ๆ โอ้ย แก้มนุ่มนิ่มน่าฟัดจริง ๆ ผิวพรรณก็ดี ต้องเกิดมาในตระกูลที่สูงส่งแน่ ๆ
“หากเจ้ายังไม่เอามือของเจ้าออกไปจากใบหน้าของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม พร้อมกับทำใบหน้าถมึงทึงใส่ฉัน
“ดุจัง” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ก้มหน้ามองลงไปข้างล่าง ฉันชักมือออกจากใบหน้าของเขาทันที กลัวว่าเขาจะปล่อยฉันลงไปจริง ๆ เพราะพื้นที่ข้างล่างมันสูงจนมองไม่เห็นพื้น เห็นเพียงแค่ปุยเมฆสีขาว เหมือนนุ่นลอยอยู่กลางอากาศ นี่ฉันกำลังบินอยู่ !
ใบหน้าของฉันตื่นตระหนก ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะกลัวความสูง ฉันเป็นคนรักตัวกลัวตาย อะไรยอมได้ยอม ฉันพยายามปรับอารมณ์ให้นิ่งลง แล้วปั้นหน้ายิ้มเพื่อสอบถามความเป็นมา ว่าเกิดอะไรขึ้น เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม จะตีสนิทต้องใช้ภาษาเดียวกัน เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้ไปฉันจะพูดภาษาโบราณ คงต้องงัดคำพูดจากนิยายจีนโบราณมาใช้ซะแล้ว
“พี่ชาย เอ่อ ไม่สิ ท่าน ท่านชื่อ ไม่ใช่ คือ ท่านมีนามว่าอย่างไร” ฉันถามออกไปด้วยความตะกุกตะกัก คงต้องใช้เวลาปรับตัวนิดนึง
“ข้าหวังเย่” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“แล้วที่นี่คือที่ใดหรือท่าน” ฉันเอียงคอถามด้วยความสงสัย
“สวรรค์”
“แล้วนี่ท่านจะพาข้าไปที่ใดรึ”
“ตำหนักสวรรค์ แท่นประหาร” เขาพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“แล้วข้าทำเรื่องผิดอันใดรึ” ฉันงงเป็นไก่ตาแตก ทำไมต้องพาฉันไปยังแท่นประหาร แค่เขียนนิยายกลับต้องฆ่าแกงกันเลยหรือ
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
“แล้วนี่ ท่านไม่อยากรู้จักข้าบ้างรึ เผื่อข้าอาจจะเป็นสหายกับท่านได้” ฉันใจดีสู้เสือ หากฉันทำอะไรผิดพลาดไป เขาจะได้ไว้ชีวิตให้ฉันบ้าง
“ไม่จำเป็น” เขาตอบอย่างไม่แยแส
เอื้อก จบละ หนทางรอดของฉัน แล้วฉันทำอะไรผิด T^T
ไม่นานฉันได้มาถึง ตำหนักสวรรค์ ฉันเบิกตากว้าง หมุนตัวดู สิ่งก่อสร้าง รวมถึงบรรยากาศรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น มันสวยเหมือนไม่มีอยู่จริง ตำหนักสวรรค์เลื่องชื่อจริง ๆ
หวังเย่พาฉันเดินมาข้างในตำหนัก แล้วมาหยุดอยู่ ด้านล่างของบัลลังก์
ฉันมองใบหน้าของท่านเทพ ที่แท้ชายชราที่หน้าเหมือนปลาบู่นั่นคือเทพนี่เอง ปกครองตำหนักสวรรค์แห่งนี้
“คุกเข่า” หวังเย่เสียงเข้ม พร้อมกับกดหัวของฉันให้นั่งลง ฉันทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันไม่มีแรงขัดขืนหรอกนะ เขาแรงเยอะอย่างกับช้างแมมมอธ
“เจ้ามีนามว่าอย่างไร” ท่านเทพเอ่ยเสียงเข้ม
“ข้ามีนามว่าหลินหลิน แล้วท่านล่ะ” ฉันตอบพร้อมกับถามกลับเพราะความมีมารยาทที่ดี (หรอ)
“บังอาจ! หลินหลิน เจ้าอย่าเสียมารยาท” หวังเย่กระซิบกระซาบ แล้วกดหัวของฉันให้ก้มต่ำลง อีกนิดนึงหน้าฉันจะบี้กับพื้นแล้วนะ ฮือ หน้าตาดีกลับไม่อ่อนโยนเลย
“เอาล่ะ หวังเย่ นางคงไม่รู้กฎของสวรรค์” ท่านเทพปรามหมิงเย่ไม่ให้กดหัวฉันต่ำลงไปมากกว่านี้ ขอบคุณท่านเทพมากค่ะ
“ข้าคือเทพแห่งโชคชะตา ปกครองแห่งนี้ ที่ข้าพาดวงวิญญาณของเจ้าออกจากร่าง เป็นเพราะเจ้าได้กระทำความผิด…..” ท่านเทพพูดพร้อมกับเปิดดูหนังสือเก่าคร่ำครึในมือ
“ข้าทำผิดอันใดรึ ท่านเทพ” ฉันทำหน้างงงวย ถ้าเกี่ยวกับหลินซานซานน่าจะเป็นนิยายที่ฉันแต่งละมั้ง แล้วการแต่งนิยายมันไปหนักที่ศีรษะของท่านหรืออย่างไร หรือท่านเทพจะติดตามนิยายของฉันอยู่ ฉันคิดในใจ
ทันใดนั้นเองหวังเย่ก็กดหัวลงฉันลงกับพื้น กะโหลกวิญญาณของฉันแทบแหลกสลาย ทีนี้แก้มขาว ๆ ชมพูระเรื่อของฉันแนบสนิทแทบจะสิงพื้นของตำหนักสวรรค์
“อล่อยอ้าก่อน เอาอือออกอากอัวอ้า (ปล่อยข้าก่อนเอามือออกจากหัวข้า)” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่อู้อี้อยู่ในลำคอ พูดได้ไม่เต็มเสียงเพราะอ้าปากแทบจะไม่ได้
“ปล่อยนางเถอะ ข้าจะลงโทษนางเอง เจ้าถอยไปก่อน” ท่านเทพแห่งโชคชะตาเอ่ยปากอีกครั้ง หลังจากที่เงียบไปครู่นึง
หวังเย่ปล่อยมือจากฉันทันที “ขอรับท่านอาจารย์” หวังเย่พูด แล้วเอามือประสานกันโค้งศีษะคำนับท่านเทพเล็กน้อย พร้อมกับถอยไปอยู่ทาง
ด้านหลัง
ท่านเทพปรายตาขึ้นมามองฉัน เก็บหนังสือไว้ด้านข้าง แล้วลุกขึ้นเดินมาหาฉัน
“ความผิดที่เจ้าได้ก่อ มันส่งผลกระทบกับคนทั้งโลกที่ข้าปกครองอยู่ เจ้าคงจะจำหนังสือเล่มนี้ได้กระมัง” ท่านเทพเสกออกมา พร้อมกับชูสมุดเขียนพล๊อตนิยายของฉัน
ฉันพยักหน้าให้ท่านเทพแทนคำตอบว่าฉันจำสมุดเล่มนี้ได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามุดเล่มนี้คืออะไร” ท่านเทพถามด้วยเสียงที่สุขุมใบหน้าเรียบนิ่งสง่าอย่างกับคนละคน
ฉันส่ายหัวน้อย ๆ เพราะไม่รู้จริง ๆ
“สมุดเล่มนี้คือสมุดกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ ซึ่งมันเป็นของซานซานหลานรักของข้า ก่อนที่ซานซานจะลงไปเผชิญด่านเคราะห์ ข้าได้มอบให้นางเก็บไว้กับตัว เดิมทีชะตาชีวิตของนางต้องเป็นไปตามสมุดเล่มนี้ แต่กลับถูกปรับแก้ใหม่ทั้งหมด เจ้ารู้หรือไม่หากชีวิตในโลกมนุษย์ของนางไม่เป็นไปตามสมุดจะเกิดอะไรขึ้น” ท่านเทพถามเสียงเย็นเยียบ จนฉันรู้สึกขนลุกซู่ ไม่กล้าปริปาก ได้แต่ส่ายหัวน้อย ๆ แทนคำตอบ
“หากนางเผชิญด่านเคราะห์ไม่สำเร็จเท่ากับว่าดวงวิญญาณแตกดับ
สลายไป”
ฉันเงยหน้ามองท่านเทพ ตอนนี้ดวงตาของท่านแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรือเสียใจ
“งั้นหมายความว่าตอนนี้ ซานซานที่ท่านว่าคือดวงวิญญาณสลายไป” ฉันเอ่ยปากถาม
“ใช่” ท่านเทพตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม ตายแล้วฉันเผลอไปสร้างวีรกรรมระดับโลกเข้าแล้ว
“ตายแล้ว ท่านเทพ ข้าไม่รู้ท่าอย่าทำอะไรข้าเลย ข้าไม่รู้จริง ๆ ข้าขอร้องล่ะ ท่านจะให้ข้าทำอะไรก็ได้ แต่อย่าให้ข้าตาย” ฉันพูดอ้อนวอนอย่างอับจนหนทาง ถูมือสองข้างไปมา พร้อมกับผงกหัวให้ท่านเทพหลาย ๆ ครั้ง
ความผิดในครั้งนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจ และฉันไม่รู้