ตอนที่ 6 ความผิดที่ได้ก่อ ( 3 )
ณ ตำหนักซานซาน
ฉันอ่านป้ายก่อนจะเข้าตำหนัก ‘ซานซาน’ นี่คงเป็นตำหนักของหลินซานซานแหละมั้ง ฉันละสายตาจากหวังเย่มาดูบรรยากาศรอบ ๆ การตกแต่งสมกับเป็นสวรรค์ ทุกอย่างเป็นสีโทนอ่อน น่าจะเหมาะกับสตรีที่อยู่บนฟ้า บนสวรรค์
“ซานซาน หลินซานซานเป็นคนเช่นไรหรือท่าน” ฉันถามด้วยความ
อยากรู้ แต่ทว่าหวังเย่ขมวดคิ้วหน้าตึง
“ตุบ” เสียงก้นกระแทกเตียงของสวรรค์
“อ้ากก ท่านโยนมาได้อย่างไร รู้หรือไม่ว่าข้าเจ็บ” ฉันร้องเสียงหลง เตียงมันไม่ได้นิ่มนะโว้ยย โยนมาได้คนทั้งคน ไม่สิ วิญญาณทั้งวิญญาณ
“ข้ารู้” หวังเย่ตอบอย่างไม่แยแส
“ท่านรู้แล้วเหตุใดจึงโยนข้า”
“เพราะข้ารู้ว่าเป็นเจ้า ข้าถึงทำ” หวังเย่ยิ้มเย็น แล้วพูดต่อ “นี่ผ้าพันบาดแผล ส่วนนี่ยา พอกแผลของเจ้าซะ บาดแผลจะได้หาย” เขาพูดพร้อมกับโยนผ้ากับขวดยาใส่หัวของฉัน ฉันขอถอนคำพูดได้ไหมว่าเขาใจดี
ฉันได้แต่ทำตาปริบ ๆ แขนขาใช้งานไม่ได้จะทำแผลยังไง หวังเย่ไม่หันมามองฉันแม้แต่น้อย
“ช้าก่อน ท่าน”
“ว่าอย่างไร” หวังเย่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่พึงพอใจ
“คือว่าข้าทำไม่ได้ ท่านจะจากข้าไปแบบนี้หรือ สงสารมนุษย์ตัวน้อย ๆ นะช่วยทำแผลให้ข้าที” ฉันพูดอ้อนวอน เพราะรักตัวกลัวตายถึงได้ยอมขอร้องเขา
หวังเย่ถอนหายใจออกมา แล้วเดินมานั่งข้างฉัน หยิบขวดยามาเทใส่แผล แล้วพันแผลอย่างชำนาญ
ฉันอมยิ้มน้อย ๆ เขาก็ไม่ได้ร้ายนี่นา เขาใจดี ( เมื่อกี้พึ่งถอนคำพูดไม่ใช่รึ )
“นี่ท่านช่วยเล่าเรื่องหลินซานซานให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม นางเป็นใครตอนอยู่บนสวรรค์อ่ะ”
หวังเย่ชะงักเล็กน้อย แล้วดึงมัดผ้าพันแผลแน่นขึ้น
“อ้ากกก ท่านเบามือหน่อยได้ไหม ข้าเองก็เป็นสตรีนะ” ฉันร้องโอดโอย
“สตรีอัปลักษณ์เช่นเจ้า ข้าไม่นับว่าเป็นสตรี” หวังเย่พูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“เหตุใดข้าจึงอัปลักษณ์” ฉันเอียงคอถามออกไปด้วยความสงสัย
“เอาคันฉ่องไหมเจ้าจะได้รู้”
แรงอ่ะ เขาให้ฉันไปส่องกระจกเลยหรอ เอ๊ะ อะไรติดหน้าฉัน หรือเขาจะเห็นเม็ดขี้แมลงวันที่ข้างแก้ม นั่นโลกของฉันเขาเรียกว่าคนมีเสน่ห์เลยนะ
“นี่หรอที่ว่าอัปลักษณ์” ฉันชี้ไปที่แก้มเพื่อให้เขาดู
“ไม่ ข้าหมายถึงตรงนี้ต่างหาก” หวังเย่เอานิ้วจิ้มมาที่กลางหน้าผากของฉันแล้วออกแรงผลักอย่างแรง จนฉันหงายหลังอย่างไม่เป็นท่า
ฉันงงเป็นไก่ตาแตก กลางหน้าผากของฉันมันเป็นอะไร มีอะไร ฉันดูหน้าตัวเองมาตั้งแต่เล็ก ๆ หน้าผากไม่ได้มีอะไรผิดปกตินี่นา
“มันมีอะไรงั้นรึ ข้าขอดูหน่อยได้ไหม ท่านช่วยไปหยิบคันฉ่องให้ข้าทีสิ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล การจะไหว้วานใครซักคนต้องพูดแบบนี้แหละ ยิ่งเป็นหวังเย่ กราบได้ฉันกราบ แต่ตอนนี้ไม่ถนัดนะ ฉันเจ็บมือ เจ็บขา
หวังเย่หน้านิ่งขรึม ถอนหายใจออกมาแรง ๆ ด้วยความเบื่อหน่าย แต่ก็ยอมไปหยิบกระจกมาให้ฉัน
“ขอบใจท่านมาก แต่ข้ารบกวนท่านช่วยถือไว้ครู่นึงนะ ข้าขอดูก่อน” ฉันไหว้วานหวังเย่อีกรอบ เพราะฉันหยิบจับอะไรไม่ได้เลย
ฉันค่อย ๆ ยื่นใบหน้าไปใกล้ ๆ กระจก เพ่งมองบริเวณกลางหน้าผาก กลับพบว่าเป็นสัญลักษณ์คล้าย ๆ ดอกไม้ สีชมพูนวล ๆ ไม่ใหญ่มาก อยู่กลางหน้าผาก มันมาได้ยังไง
“มันคือรอยอะไรรึ”
“มันคือผนึกวิญญาณและรูปลักษณ์ เจ้าทำผิดอะไรมา ถึงกับโดนผนึกวิญญาณและรูปลักษณ์” หวังเย่ถามเสียงเข้ม
“ข้ามิได้ทำผิดอันใดเลย ข้าพึ่งรู้เมื่อครู่ว่ามีผนึกนี้อยู่กลางหน้าผาก วิญญาณและรูปลักษณ์ ? ‘งั้นแสดงว่าใบหน้านี้ไม่ใช่ของข้างั้นรึ” ฉันตาเบิกโพลงถามออกไปด้วยความอยากรู้
หวังเย่พยักหน้าแทนคำตอบ โอ้ ใบหน้าสวย ๆ นี้ไม่ใช่ฉันหรอ อุตส่าห์ชื่นชมตัวเองตั้งแต่เด็กจนโต แบบนี้สินะหวังเย่ถึงบอกว่าฉันอัปลักษณ์
“ท่านปลดมันได้ไหม ช่วยข้าได้ไหม” ฉันพูดเว้าวอน
“มิได้ ผนึกนี้จะคลายก็ต่อเมื่อเจ้ารู้ว่าตัวเองเป็นผู้ใด”
“ข้า หลินหลินไง ข้ารู้แล้วเหตุใดมันยังไม่คลายล่ะ” ฉันถามด้วยความสงสัย ตั้งแต่เกิดมาความทรงจำของฉันเป็นหลินหลินมาโดยตลอด จะเป็นใครอื่นได้อย่างไร
“ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
“เฮ้อ นี่ท่านข้าหิว” แล้วทำไมจู่ ๆ ท้องมันถึงรู้สึกหิวขึ้นมา
“เจ้าเป็นเพียงดวงวิญญาณของมนุษย์ เหตุใดยังมีประสาทสัมผัสทั้งห้าอยู่ เจ้าคือผู้ใดกันแน่” หวังเย่ถามออกมาด้วยความสงสัย
“ข้าคือหลินหลิน มีนามว่าหลินหลิน หากข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่หลินหลิน รู้ว่าข้าคือผู้ใด ผนึกที่อัปลักษณ์อย่างที่ท่านว่าคงคลายไปแล้ว” ฉันพูดออกมาด้วยความหิว ใจเย็น ๆ หลินหลิน อย่าโมโหใครเพียงเพราะว่าหิวข้าว ยิ่งโมโหหวังเย่ ยิ่งไม่ควรทำ เดี๋ยวเขาถือแส้มาฟาดจนหลังหักอีกนะคราวนี้