สายๆ นายอำเภอหนุ่มก้าวลงจากรถยนต์คันใหญ่สีดำซึ่งมีตราปกครองติดอยู่ที่ประตูรถพร้อมสาวสวยข้างกาย ชายหนุ่มคว้ามือเล็กมากุมไว้อย่างถือวิสาสะก่อนจะเดินจูงตรงมาหาชาวบ้านชายหญิงที่นั่งเกาะกลุ่มกันอยู่ที่ศาลาท้ายหมู่บ้าน ดูจากท่านั่งตบยุงเกาแขนขาเล่นของแต่ละคนก็คงจะมารอนานพอสมควร
สายตาทุกคู่มองมาที่ทั้งสองเป็นตาเดียว ทำให้อิงครัตต้องรีบดึงมือออกจากอุ้งมือใหญ่เพราะกลัวทุกคนจะเข้าใจผิด เมื่อเช้าที่ตลาดก็ทีหนึ่งแล้ว แต่อย่างไม่ทันจะทำอะไรเสียงหนึ่งของชาวบ้านในกลุ่มก็ดังขึ้น
“ปกตินายอำเภอเป็นคนตรงเวลา แต่ที่มาสายวันนี้สงสัยจะติดคุณนาย”
เจพอวัยรุ่นหัวโจกในหมู่บ้านเอ่ยแซวนายอำเภอหนุ่ม ก่อนที่จะได้รับเสียงสนับสนุนจากชาวบ้านคนอื่นๆ พร้อมเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
ส่วนคนถูกแซวเพียงยิ้มๆ ไม่คิดจะปฏิเสธหรือพูดแก้ต่างอะไรให้กับตัวเอง แถมยังไม่คิดจะโกรธเคืองคนแซวแต่อย่างใด ต่างจากคนตัวเล็กที่เดินเคียงกันมาซึ่งตอนนี้ใบหน้าขาวเนียนได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความเอียงอาย เพราะประโยคภาษาไทยของหนุ่มน้อยนั้นแม้จะไม่ค่อยชัดแต่ก็สามารถจับใจความได้ไม่ยาก
เมื่อเห็นว่านายอำเภอไม่คิดจะอธิบายสถานะให้กระจ่าง อิงครัตก็เลยจะพูดแทน แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากเสียงทุ้มก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
“ก่อนที่จะลงมือทำแนวกันไฟ ทุกคนยังจำสิ่งที่ได้อบรมไปคราวก่อนได้อยู่หรือเปล่า ว่าแนวกันไฟที่ถูกหลักวิชาการจะต้องมีความกว้างไม่ต่ำกว่าแปดเมตร และต้องถางให้โล่งไม่ให้เหลือเศษไม้หรือใบไม้ในแนวกันไฟ”
“จำได้ครับนายอำเภอ แต่พวกเราทำตามหลักวิชาการไม่ได้หรอกครับ เพราะต้นไม้บางต้นกำลังโตเท่าแขนเท่าขา ถ้าจะต้องตัดทิ้งก็เสียดาย”
เสียงชาวบ้านคนหนึ่งแย้งขึ้นมา เพราะความรู้ที่ได้ไปฝึกอบรมมาไม่สามารถใช้ได้จริงในพื้นที่ผาตะวัน
‘แบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าเจอปัญหาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลงมือ แล้วแบบนี้นายอำเภอจะแก้ปัญญานี้ยังไง”
อิงครัตแอบลุ้นคำตอบของคนข้างกายอย่างเงียบๆ ไม่ต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆ
“ผมเข้าใจบริบทของผาตะวันดี และก็ไม่สนับสนุนให้ตัดต้นไม้เล็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นมาใหม่ เพราะต้นไม้เหล่านี้จะกลายเป็นผืนป่าใหญ่ในวันข้างหน้า ฉะนั้นเราจะใช้วิธีบูรณาการหลักวิชาการกับภูมิปัญญาชาวบ้านเข้าด้วยกัน เราจะไม่ตัดต้นไม้ที่กำลังเติบโต แต่จะลิดรอนกิ่งไม้และทำความสะอาดหน้าดินเพื่อตัดช่วงไฟให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”
“แล้วต้นไม้เล็กๆ ที่เราลิดรอนกิ่งจะไม่ตายเหรอครับนายอำเภอ”
“ไม่ตายหรอก เพราะการตัดกิ่งและใบที่ไม่จำเป็นออกจะช่วยให้ต้นไม้ไม่ต้องสูญเสียน้ำมากจนเกินไปในฤดูร้อน หากถึงฤดูฝนพวกมันก็จะแตกกิ่งก้านเติบโตได้ตามปกติ”
นายอำเภอหนุ่มอธิบายต่ออย่างใจเย็น เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายที่สุด และทุกคนก็พยักหน้าพลางหันไปพูดคุยกันเป็นภาษาถิ่นที่อิงครัตไม่อาจเข้าใจได้ ก่อนที่ผู้ชายจะหยิบอุปกรณ์ทำแนวกันไฟแยกออกจากกลุ่มผู้หญิง ระหว่างนี้ศรัณก็กลับไปหยิบมีดพร้าที่หลังรถแล้วเดินกลับมารวมกลุ่มกับผู้ชายพร้อมลุยไปกับชาวบ้าน
“วันนี้ฝากดูแลคุณนายด้วยนะครับ อย่าปล่อยให้ไปไหนมาไหนคนเดี๋ยว”
ศรัณบอกกับเหล่าแม่บ้านที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของศาลาเป็นภาษาถิ่นอย่างคล่องแคล่ว
“นายอำเภอไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยวพวกเราจะดูแลคุณนายเป็นอย่างดีเลย”
เหล่าแม่บ้านรับปากพลางส่งรอยยิ้มให้นายอำเภอหนุ่มหล่อ เพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล
“ผมไปก่อนนะอิง ไว้ถึงเที่ยงจะกลับมาทานข้าวด้วย ระหว่างนี้คุณก็ช่วยเตรียมอาหารกับพวกแม่บ้านแล้วกันนะ หมู่บ้านนี้เป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยงสะกอ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าปาเกอญอก็ได้ ถ้าคุณสื่อสารด้วยภาษาไทยไม่รู้เรื่องให้ใช้ภาษาอังกฤษแทนแล้วกันนะ”
“ภาษาอังกฤษ?”
อิงครัตท้วนประโยคด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม ก่อนที่นายอำเภอหนุ่มจะระบายยิ้มอ่อนอธิบายเพิ่มเติม
“ใช่ ชาวบ้านที่นี่จะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าภาษาไทยกลางเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีต่างชาติเข้ามาค่อนข้างมาก อีกทั้งหมู่บ้านแถวนี้ยังติดกับตะเข็บชายแดน เวลาทำมาค้าขายระหว่างประเทสเพื่อนบ้านจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ฉะนั้นคุณสามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับพวกเขาได้เลย”
มิน่าละ ตอนที่นายอำเภอให้ร่วมทีม ถึงได้ถามถึงการใช้ภาษาอังกฤษของเรา…อิงครัตเพิ่งจะได้รับความกระจ่างก็ตอนนี้เอง
“ค่ะ”
สาวน้อยรับคำอย่างว่าง่าย มองตามกลุ่มผู้ชายที่เดินถือมีด ถือจอบ เช้าป่าไปโดยหนึ่งในนั้นก็มีนายอำเภอหนุ่มหล่อติดตามไปด้วย หากเธอไม่มาเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเอง เธอจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าคนร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีอย่างศรัณจะมาทำอะไรแบบนี้ได้
ในชีวิตราชการเขาเป็นผู้นำสายลุย ที่ใช้ชีวิตติดดิน ท้าลมท้าแดดอย่างไม่เกรงกลัวความยากลำบาก แต่ทว่าทุกอย่างที่เป็นเขากลับมีเสน่ห์น่าหลงใหล ยิ่งกว่าหนุ่มไฮโซผิวขาวหน้าใสในเมืองกรุงที่เธอรู้จักเสียอีก
ยิ่งได้รู้จักเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้หลงเสน่ห์เขามากเท่านั้น ก็นายอำเภอออกจะเป็นคนน่ารัก เป็นการเองแบบนี้จะไม่ให้หลงรักได้ยังไง คิดแล้วใบหน้างามก็เผลอระบายยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“คุณนายคะ เชิญทางนี้ค่ะ”
เสียงเรียกจากแม่บ้านคนหนึ่งในกลุ่มพร้อมเดินมาจูงมือเล็กของเธอพามานั่งล้อมวงทำอาหารกับกลุ่มแม่บ้าน
เห็นว่าพวกแม่บ้านทำอาหารถิ่นหน้าตาแปลกประหลาดอิงครัตก็เอ่ยถามชื่อเมนูด้วยความอยากรู้ ตามประสาคนขี้สงสัย
“เมนูนี้เรียกว่าอะไรเหรอคะ ทำไมต้องใส่ข้าวสารกับเนื้อและผักไปพร้อมๆ กันด้วย ใส่รวมกันแบบนี้จะทานได้เหรอคะ”
ได้ยินคำถามของคุณนาย เหล่าแม่บ้านก็ต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะมีคนหนึ่งในกลุ่มช่วยตอบคำถามให้กระจ่าง
“ได้สิคะคุณนาย นี่เขาเรียกว่าข้าวเบ๊อะ เป็นอาหารประจำของของชนเผ่าปาเกอญอ เราจะต้มเหมือนข้าวต้มแต่จะใส่สมุนไพร เนื้อสัตว์ และผักตามฤดูกาลลงไปตั้งไฟ จากนั้นก็จะเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ จนกว่าผักจะเละแล้วก็ใส่ผักอีหลืนลงไปเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการทำข้าวเบ๊อะ คุณนายรู้ไหมคะว่านี่เป็นอาหารจานโปรดของนายอำเภอเลยนะ”
“จริงเหรอคะ”
อิงครัตรู้สึกทึ่งในตัวว่าที่เจ้าบ่าวไม่น้อย ที่เขาทานง่ายอยู่ง่าย ขณะเดียวกันก็หยิบช่อผักอีหลืนสีเขียวอมม่วงส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ขึ้นมาดม
“จริงค่ะ และอีกเมนูโปรดของนายอำเภอศรัณก็คือน้ำพริกกะเหรี่ยงใส่ผักอีหลืนค่ะ เดี๋ยวเราจะสอนให้เผื่อคุณนายอยากกลับไปทำให้นายอำเภอกิน”
“ขอบคุณค่ะ”
สาวน้อยกล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจของทุกคน แต่ก่อนที่จะได้ลงมือตำพริกที่เหล่าแม่บ้านใส่ไว้ให้ในครกมือเล็กต้องชะงักไปนิด เพราะพริกที่ถูกเผาไฟมาเรียบร้อยมีไม่ต่ำกว่าสองกำมือเห็นจะได้
“พริกเยอะไปหรือเปล่าคะ”
สาวน้อยอ้อมแอ้มถามด้วยความไม่แน่ใจ เยอะขนาดนี้จะทานลงได้ยังไง
“สำหรับกินหลายคนไม่เยอะหรอกค่ะคุณนาย แต่ถ้าไปตำให้นายอำเภอกินใส่แค่ห้าถึงเจ็ดเม็ดก็พอนะคะ เพราะพริกกระเหรี่ยงมีความเผ็ดร้อนกว่าพริกทั่วไปหลายเท่าเลยค่ะ”
สาวน้อยพยักเข้าใจ ก่อนจะเริ่มลงมือตำน้ำพริกกะเหรี่ยงโดยมีแม่บ้านคอยช่วยจับโน้นหยิบนี่ใส่ให้เรื่อยๆ กระทั่งละเอียดจึงตักใส่ถ้วยเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
จากที่ได้พูดคุยกับกลุ่มแม่บ้าน บทสนทนาหลักเห็นจะเป็นเรื่องของนายอำเภอหนุ่มหล่อแห่งผาตะวัน ที่ดูจะมีแต่คำชื่นชมจากปากของทุกคนไม่ขาด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงาน การใช้ชีวิตติดดินไม่ถือตัว รวมทั้งรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาสะดุดตาสะดุดใจสาวๆ นั่นอีกด้วย ซึ่งดูจากการที่ทุกคนพูดถึง อิงครัตก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาเป็นที่รักของชาวบ้านผาตะวันอย่างที่พรสุดาเคยเล่าให้ฟังจริงๆ
เพียงได้พูดคุยกันไม่นานอิงครัตก็สามารถเข้ากับเหล่าแม่บ้านทุกคนได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่จำเป็นต้องพยายาม เพราะถึงเธอจะเป็นคุณหนูไฮโซเมืองกรุง แต่ทว่ากลับชอบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนจะเรียบง่ายและเป็นกันเองแบบนี้ จนรู้สึกว่าการมาอยู่บนดอยที่ห่างไกลความเจริญก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกอบอุ่นราวกับที่นี่เป็นบ้านเสียด้วยซ้ำ
..................................................
นักอ่านเรื่องนี้จะใจร้ายมากไปแล้วนะ ไม่คิดจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยเหรอคะ นี่รอเม้นต์จากพวกคุณทุกวินาทีเลยนะ รู้ป่าว// พูดแล้ว น้ำตาจิไหล//