หลังจากที่ได้พักอยู่กับเพื่อนรักได้สองสามวัน คอนโดมีเนียมที่ซื้อไว้เมื่อห้าปีก่อนนั้นได้รับการตกแต่งและทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อย จากการจัดการของ วิลาวัลย์ พราวฟ้าจึงตัดสินใจที่จะย้ายไปพักที่คอนโดมีเนียมของเธอ
“อยู่บ้านฉันไปก่อนก็ได้นะ หนูวาท่าทางจะติดน้าพราวเสียแล้ว” วิลาวัลย์บอกกับพราวฟ้าที่กำลังเก็บของลงกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่
“อย่าเลยรบกวนมาหลายวันแล้ว สำหรับหนูวาหลานสาวจ้ำม่ำ พราวต้องแวะมาฟัดบ่อยๆ แน่ ขอบใจมากนะ วิ สำหรับทุกอย่างเลย รวมถึงเรื่องตกแต่งและทำความสะอาดคอนโดด้วย” พราวฟ้ากอดเพื่อนรักของเธอด้วยความขอบคุณจากใจจริง
“ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ก็แค่ช่วยหาช่างมาจัดการให้ คอนโดปล่อยให้เช่าก็เสื่อมสภาพไปบ้าง ตกแต่งใหม่ก็ใหม่เหมือนตอนที่พราวไปเมืองนอกนั่นแหละ เอาเป็นว่าขอให้เพื่อนพบเจอแต่สิ่งดีๆ ก็แล้วกันนะกับการเริ่มต้นใหม่ถึงแม้ห้องจะเป็นห้องเก่า แต่เราก็คิดเสียว่าเราได้ย้ายเข้าบ้านใหม่ก็แล้วกัน นี่ของขวัญสำหรับพราว”ของขวัญจากวิลาวัลย์ที่ให้เพื่อนที่ย้ายเข้าบ้านใหม่ คือพระพุทธรูปองค์ไม่ใหญ่นัก ถึงคอนโดนั้นจะเก่า แต่ก็เป็นที่พักแห่งใหม่ เพราะตั้งแต่ซื้อเจ้าของยังไม่เคยได้เข้าไปพักค้างอ้างแรมเลยสักครั้ง ดังนั้น พระพุทธรูปจึงเหมาะที่สุดสำหรับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ สำหรับพราวฟ้า
“ขอบใจมากนะ วิ สำหรับทุกอย่าง ขอบใจจริงๆ” พราวฟ้าสวมกอดวิลาวัลย์เอาไว้แนบแน่นด้วยความขอบคุณอีกครั้ง
“เฮ้ยอย่ามาทำซึ้งกับเพื่อนแบบนี้ เดี๋ยวก็มีน้ำตาก่อนย้ายเข้าบ้านใหม่กันพอดี ไม่เป็นมงคล สำหรับเพื่อนเรื่องแค่นี้เล็กน้อย เพื่อนเขาไม่ได้มีไว้เฮอย่างเดียวต้องช่วยเหลือกันด้วย ขอให้พราวมีความสุขกับชีวิตที่กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งนะ ฉันอยู่ข้างๆ เธอเสมอจำเอาไว้” วิลาวัลย์อมยิ้มมองสบตากับพราวฟ้าที่เริ่มน้ำตาซึมเล็กน้อย แต่ทั้งหมดก็ด้วยความสุขที่มีอยู่เต็มหัวใจ
ห้องสีขาวสะอาดสร้างรอยยิ้มให้กับพราวฟ้า เธอเป็นเจ้าของห้องนี้ แต่นี่เป็นก้าวแรกที่เพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาเห็น เธอซื้อห้องนี้ไว้เมื่อห้าปีก่อนตั้งใจว่าจะย้ายเข้ามาอยู่ หลังจากก่อสร้างเสร็จ แต่ก็มีเหตุให้ต้องเดินทางก่อนที่เจ้าห้องแห่งนี้จะสร้างเสร็จสมบูรณ์
“ขอให้มีความสุขกับการกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งนะ พราวฟ้า”
พราวฟ้าเริ่มจัดข้าวของและเสื้อผ้าที่รื้อออกจากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ลมเย็นๆ พัดผ่านหน้าต่างที่เธอเปิดเอาไว้ได้สร้างรอยยิ้มและความสดชื่นให้ รอยยิ้มเล็กๆ เกิดขึ้นระหว่างที่กำลังจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง วิลาวัลย์เตรียมข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างให้ครบ พราวฟ้าจัดการเพียงแค่เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของเธอเท่านั้น รอยยิ้มของเธอกว้างขึ้นเมื่อนึกถึงความน่ารักของวิลาวัลย์และยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อนึกถึงหนูวาหลานสาวตัวอวบอ้วนแสนน่ารัก
สิ่งสุดท้ายที่ถูกหยิบออกจากกระเป๋าก็คือ หนังสือซึ่งมีก้านดอกไม้แห้งโผล่ออกมา พราวฟ้าเปิดหนังสือเล่มนั้น ดอกกุหลาบแห้งซึ่งถูกหน้ากระดาษของหนังสือทาบทับอยู่เป็นเวลานานหลายปียังคงสร้างรอยยิ้มให้กับพราวฟ้าได้เสมอเมื่อได้เห็น
เธอได้หนังสือเล่มนี้มาพร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงสดและเธอก็เลือกที่จะเก็บมันไว้คู่กันอยู่แบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับมา รอยยิ้มอายๆ ของผู้ให้ยังคงประทับและตราตรึงอยู่ในหัวใจเสมอ ถึงแม้เคยพยายามสลัดภาพเหล่านั้นออกไป แต่ก็ไม่เคยทำได้สักที
พราวฟ้าปิดหนังสือเล่มนั้นลงและวางเอาไว้บนหมอนเคียงข้างกับหมอนใบที่เธอกำลังล้มตัวลงนอน
“จะรู้บ้างไหมว่าพราวคิดถึง” ประโยคนี้ดังก้องกังวานแต่พราวฟ้าก็ไม่ได้พูดออกมา มันดังอยู่เพียงในความคิดคำนึงและในหัวใจของเธอเพียงลำพังเท่านั้น
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นช่วยปลุกพราวฟ้าที่เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการจัดห้องพักให้เรียบร้อย และเสียงทักทายในยามบ่ายของสาวน้อยตัวอวบอ้วนที่ดังขึ้นจากปลายสายก็ได้สร้างรอยยิ้มให้กับพราวฟ้า
“คิดถึงค่ะ” เสียงหัวเราะคิกคักของทั้งแม่และลูกดังมาจากปลายสาย
“น้าพราวก็คิดถึงหนูวาค่ะ อยากกอด” พราวฟ้าพูดไปพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“อยากกอดน้าพราว”
“เอาไว้ว่างๆ น้าพราวจะแวะไปให้หนูวากอดนะคะ” เสียงหัวเราะของสาวน้อยดังแทรกมาทางโทรศัพท์ก่อนที่จะได้ยินเสียงมารดามาพูดแทน
“เรียบร้อยดีหรือเปล่า พราว” วิลาวัลย์ถามขึ้น
“ดีจ๊ะ ขอบคุณมากนะ ตกแต่งใหม่ได้น่าอยู่มาก ขอบคุณจริงๆ จัดของเสร็จเรียบร้อย เผลอหลับไปสักพักจนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ฝากหอมสาวน้อยสักสองสามฟอดนะคะ คุณแม่” พราวฟ้าหัวเราะเล็กๆ เพราะได้ยินเสียงวิลาวัลย์หอมลูกสาวเสียงดังแว่วๆ มาสองสามฟอด
“จัดการเรียบร้อย วิ่งหนีไปหาพ่อแล้ว” วิลาวัลย์หัวเราะเมื่อได้บอกกับเพื่อนรักของเธอ
“ฟัดลูกแรงไปล่ะสิ”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี แล้วหัวใจล่ะ โอเคหรือเปล่า” วิลาวัลย์คาดเดาเอาว่าเรื่องราวเก่าๆ คงยังไม่จางหายไปจากหัวใจของเพื่อน
เพราะแค่ได้ยินชื่อของคนๆ นั้นจากที่ได้พูดคุยกันเมื่อวันแรกที่กลับมาถึง รอยยิ้มของเพื่อนรักก็จางลงไปในทันที
“วิกำลังรื้อฟื้นอยู่นะ ไม่ถามเราได้ไหมเรื่องนี้ วิบอกเราเองไม่ใช่หรือว่าเขามีความสุขดีกับพี่ศศิ” พราวฟ้าเสียงอ่อยๆ เมื่อต้องพูดถึงใครคนนั้น
“ขอโทษที เราก็แค่เป็นห่วง เอาเป็นว่าเริ่มต้นใหม่ลืมเรื่องเก่าๆ ให้หมด ถ้าพราวทำได้” วิลาวัลย์หัวเราะเล็กๆ ดังแว่วมา
“กำลังหัวเราะเพื่อนอยู่นะ คิดละสิว่าทำไม่ได้ คอยดูก็แล้วกัน” พราวฟ้านึกขำที่ท้าทายวิลาวัลย์ออกไปอย่างนั้น
“จ้า แม่คนเก่งเพื่อนจะคอยดู เอไม่สิ คอยเอาใจช่วยก็แล้วกัน ไม่กวนแล้วอย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะจ๊ะคนเก่ง ขอให้มีความสุข
มากๆ กับบ้านหลังใหม่นะ รักเธอนะ พราว” วิลาวัลย์อมยิ้มก่อนที่จะวางสายไป
“ฉันก็รักเธอ วิ” พราวฟ้าอมยิ้มแล้วรีบลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
พราวฟ้าเลือกที่จะเดินดูบริเวณใกล้ๆ ที่พักของเธอเป็นการสำรวจสถานที่รวมถึงร้านค้าและร้านอาหารในละแวกนี้ เพราะคงต้องพึ่งพาร้านอาหารเหล่านี้ ในบางวันหรืออาจจะเกือบทุกวันก็ได้ แต่ความตั้งใจของเธอนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็คง เลือกที่จะทำอาหารทานเองมากกว่า
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ” เสียงทักทายดังขึ้น พราวฟ้าอมยิ้มหลังจากที่ได้เห็นผักและผลไม้จำนวนไม่น้อย ซึ่งดูน่ารับประทานเป็นที่
สุดในความรู้สึกของเธอในตอนนี้ อาจจะเพราะด้วยความหิวที่กำลังก่อตัวขึ้น
“ทั้งหมดเป็นผักปลอดสารพิษหรือคะ” พราวฟ้าถามขึ้นพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่ทักทายเธอกำลังเดินออกมาจากด้านข้างของตู้เย็น ซึ่งมีนมสดหลาก หลายรสชาติวางเรียงรายอยู่เต็มตู้
“ใช่พราวหรือเปล่า” เสียงพูดนั้นทำให้พราวฟ้ารีบหันไปในทันที
“พี่ศศิ สวัสดีค่ะ” พราวฟ้าทักทายคนที่เพิ่งเดินออกมาซึ่งเป็นรุ่นพี่ของเธอตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยและคาดว่าคงเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้
“พราวจริงๆ ด้วย กลับมาเมื่อไหร่คะ วันก่อนพี่เจอวิ ไม่เห็นบอกว่าพราวจะกลับ หรือมาพักผ่อนกันคะ” ศศิมารับไหว้และเข้าสวม
กอดพราวฟ้าพร้อมคำถาม
“วิบอกเหมือนกันค่ะว่าเจอพี่ศศิ สบายดีนะคะ” พราวฟ้าเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องที่เธอกลับมา และจะอยู่เลย หรือมาแค่เพียงพักผ่อน
“สบายดี แต่พี่ว่าพราวผอมไปเยอะนะ หลายปีเลยที่ไม่ได้เจอกัน”
“พราวสบายดีค่ะ อายุเยอะคงแก่ขึ้นล่ะคะ ก็เลยดูซูบๆ แต่พี่ศศิยังสวยพริ้งเหมือนเดิมเลยนะคะ ไม่เปลี่ยนเลย” พราวฟ้าอมยิ้มมอง
ใบหน้าที่ดูสวยอยู่เสมอในความรู้สึกของเธอ ศศิมาเป็นดาวมหาวิทยาลัยที่หลายๆ คนพูดถึงอยู่เสมอด้วยความสวยที่มีและความเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ไม่เย่อหยิ่งแถมยังเป็นคนมีน้ำใจชอบช่วยเหลือผู้อื่นจึงเป็นที่รักของทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องที่มีโอกาสได้รู้จัก
“ชมเกินไปแล้วค่ะ ถ้าเราแก่พี่ก็คงแก่กว่าแล้วล่ะ ตกลงรับอะไรดีคะ มัวแต่ทักทายในฐานะพี่น้องเลยลืมไปเลยว่าเป็นลูกค้าด้วย” ศศิมาถามพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ผักสลัด นมสด แล้วก็ผลไม้ค่ะ”
“เลือกได้ตามสะดวกเลยนะคะ เจ้าของร้านไม่อยู่ เดี๋ยวพี่คิดราคาพิเศษให้พร้อมแถมให้เยอะๆ เลย” ศศิมานึกขำเมื่อได้พูดถึงเจ้า
ของร้าน
“อ้าว พราวคิดว่าร้านของพี่ศศิเสียอีกนะคะ”
“พี่แค่เอานมสดจากที่ฟาร์มมาฝากที่นี่ขายค่ะ ส่วนเจ้าของออกไปซื้อของแถวนี้เดี๋ยวคงกลับมา”
“ขอบคุณค่ะ แค่ในตะกร้านี้ก็พอค่ะ เอาไว้วันหลังค่อยมาอุดหนุนใหม่และนมสดสักครึ่งโหลนะคะ” พราวฟ้าอมยิ้มและมองไปรอบๆ ร้าน
“เรียบร้อยค่ะ ขอบคุณนะคะ เลยไม่ได้เจอเจ้าของร้านเลย คราวหน้ามาก็คงได้เจอกัน บอกเจ้าของร้านก็แล้วกันค่ะว่าเป็นรุ่นน้องพี่
จะได้ราคาพิเศษ” ศศิมาหัวเราะเล็กๆ และยิ้มหวานให้กับพราวฟ้าที่กำลังยื่นเงินให้และรับถุงมาถือไว้
“ขอบคุณค่ะแต่คิดราคาปกติดีกว่าค่ะ ผักปลอดสารพิษปลูกยากต้องดูแลเยอะ คิดเสียว่าเราได้ของสะอาดและมีประโยชน์ถึงจะราคาแพงกว่านิดหน่อยก็ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีต้องลงทุนกันหน่อย พราวขอตัวก่อนนะคะ ได้ของแล้วชักจะหิว ขอบคุณมากนะคะ ดีใจมากค่ะที่ได้พบพี่ศศิ” พราวฟ้าพนมมือไหว้ลาศศิมาที่รับไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีค่ะ ดีใจเช่นกันที่ได้เจอพราว”ศศิมามองตามสาวสวยรุ่นน้องที่เดินออกไปจากร้านจนลับสายตาโดยที่รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ
“อะแฮ่ม ยิ้มมองตามหนุ่มที่ไหนกันคะ เห็นยืนยิ้มชะเง้อมองออกไปหน้าร้านอยู่สักครู่แล้ว” เสียงของอักษราดังมาจากทางด้านหลังทำเอาศศิมาตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าเจ้าของร้านจะกลับเข้ามาทางหลังร้านแบบนี้
“แอบมาเงียบๆ พี่ตกใจหมดนะคะ ทำไมกลับเข้ามาทางด้านหลังล่ะคะ”
“ไม่เข้าทางด้านหลังจะเห็นหรือว่าพี่ศศิแอบชะเง้อมองตามใครอยู่” อักษรายิ้มทะเล้นให้ศศิมาที่แกล้งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“อยากคิดเข้าข้างตัวเองบ้างจริงๆ” ศศิมาแกล้งหันกลับมาชะเง้อมองที่หน้าร้าน เธออยากรู้ว่าปฏิกิริยาของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังจะ
เป็นเช่นไร
“ท่าทางลูกค้ารายล่าสุดจะมีความสำคัญนะคะ เพราะพี่ศศิชะเง้อเสียคอยาวขนาดนี้ ใครกันนะ” อักษราพูดจบก็เดินไปจัดของให้ดูเรียบร้อย
“ซักแบบนี้หมายความว่าอย่างไรคะ หรือว่าหวง” ศศิมาพูดยิ้มๆ เดินไปยื่นหน้าและมองจ้องตาอักษราที่อมยิ้มและก็ไม่ยอมลดละสายตาของเธอยังคงจดจ้องโดยที่ไม่ได้หลบสายตาของศศิมาเลยแม้แต่น้อย
“ห่วงค่ะ” อักษรายิ้มแป้น
“ก็แค่ห่วง เมื่อไหร่จะหวงเสียทีก็ไม่รู้ กลับบ้านดีกว่า” ศศิมาพูดด้วยน้ำเสียงที่คนฟังก็พอจะรู้ว่าแสดงอาการน้อยใจออกมา
“โอ๋อย่าน้อยใจเลยนะคะ คนหวงพี่ศศิกันออกทั้งเมืองไม่ว่าหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ขยันขับรถไปหาถึงฟาร์มถึงรีสอร์ท คนหวงมีตั้งเยอะแล้วนะคะ ไม่อยากมีคนเป็นห่วงบ้างหรือคะ” อักษราอมยิ้มมองสบตากับศศิมาที่ยิ้มกว้างขึ้น เมื่อได้ยินคำว่าห่วงอีกครั้ง
“คนที่อยากให้ไปก็ไม่สนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คนที่ไม่อยากให้ไปก็ขยันกันจัง ไม่รู้เมื่อไหร่จะรู้ตัวเสียที” ศศิมาถอนใจเล็กๆ แต่ก็ยังคงยิ้มให้อักษรา
“พี่ศศิก็บอกเขาสิคะ เขาจะได้รู้” อักษรายิ้ม
“ก็คิดอยู่นะ แต่ตอนนี้คนห่วงมาให้กอดก่อน จะไม่ได้เจอบุ๊คอีกหลายวันพี่คงคิดถึงแย่แน่ๆ จะกลับไร่เมื่อไหร่คะ” ศศิมากอดกระชับอักษราเอาไว้แนบแน่น
“อีกสักสองสามวันคงจะกลับค่ะ แล้วก็อย่าขับรถเร็วนักนะคะ เป็นสาวซิ่งตลอดเลย นั่งรถไปกับพี่ศศิทีไรหัวใจจะวายทุกที” อักษราหัวเราะเล็กๆ เมื่อศศิมาคลายอ้อมกอดแล้วทำหน้าดุใส่เธอ
“ก็มาขับให้พี่นั่งสิ นะ นะ” ศศิมาขยับเข้าไปใกล้จนตัวแนบชิดกับอักษราที่ยืนยิ้มๆ กับความน่ารักของคนที่อยู่ตรงหน้า
“เป็นสาวชาวไร่ดีแล้วค่ะ”
“อ้อนมาสี่ห้าปีไม่เคยใจอ่อนสักครั้งเลย หัวใจดวงนี้มันมีเจ้าของแล้วหรืออย่างไรนะ” ศศิมายิ้มจางๆ มองจ้องดวงตาคู่สวยที่ดูเศร้า
ไปเมื่อศศิมาพูดถึงเรื่องของหัวใจ
“ไม่มีค่ะ อย่างบุ๊คจะมีใครมาสนใจล่ะคะ” อักษรายิ้มจางๆ ให้ศศิมาที่รู้สึกผิดเมื่อทำให้รอยยิ้มสดใสของอักษราจางลง จูบเล็กๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ศศิมารู้สึกอยากปลอบโยนคนที่รอยยิ้มจางไปและสายตาดูเศร้าๆ หลายปีที่ผ่านมาเธอเฝ้าหวังว่าสักวันจะมีเรื่องราวอะไรบอกเล่าให้เธอได้รับรู้บ้างกับอดีตที่ผ่านมาซึ่งดูท่าทางไม่ค่อยจะสดใสนักของอักษรา แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องราวใดๆ หลุดออกมาจากปากของคนที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้
“ใครเห็นเข้าจะไม่ดีนะคะ พี่ศศิ” อักษราพูดอึกๆ อักๆ หลังจากที่ได้รับสัมผัสเล็กๆ จากศศิมา
“ทำไมล่ะ กลัวใครเห็น หรือบุ๊คมีใครอยู่แล้ว” ศศิมาขยับเข้าใกล้อักษรามากขึ้น
“เปล่าค่ะ แต่บุ๊คเป็นห่วงภาพพจน์พี่ศศิมากกว่า” อักษราบอกตามตรง
“ถ้าห่วงกันจริง เปลี่ยนมาห่วงหัวใจพี่ดีกว่านะ บุ๊ค พี่จะดีใจมากเลยถ้าหากว่าเป็นแบบนั้น เรื่องภาพพจน์ไม่ต้องไปสนใจ ถามจริงๆ เมื่อไหร่จะใจอ่อนเสียทีหรือพี่ไม่ดีพอกันคะ” ศศิมากำลังรุกด้วยคำถามที่ได้ถามออกไป
“พี่ศศิดีกับบุ๊คมาตลอด บุ๊คจำได้ดีค่ะ ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันจนกระทั่งถึงทุกวันนี้” อักษรายิ้มจางๆ ให้ แล้วเธอก็ถูกริมฝีปากเรียวบางอันแสนอบอุ่นของศศิมาทาบทับที่ริมฝีปากซึ่งกำลังสั่นระริกของเธออีกครั้ง
“เปิดใจเสียทีนะคนดี ได้หรือเปล่า” ศศิมามองสบตากับอักษราซึ่งดูว่างเปล่าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำถามจากศศิมา
“คือ บุ๊ค”
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร ขยันจูบบ่อยๆ คงใจอ่อนสักวัน พี่เปิดใจของพี่ให้บุ๊คเห็นแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับบุ๊คแล้วว่าจะเปิดใจให้พี่ได้หรือยัง
ห้ามคิดนานเปิดหรือไม่เปิดกลับไปที่ไร่ต้องให้คำตอบพี่ ตกลงไหม” ศศิมาอมยิ้มที่พูดสรุปเสียจนอักษราตั้งตัวไม่ทัน
“มัดมือชก” อักษราพูดขึ้นลอยๆ
“ก็ไม่ใจอ่อนสักที รอมานานมากแล้วนะ จูบตอบแค่เล็กๆ ก็ไม่ยอมทำเราน่ะใจร้ายกับพี่มากรู้ตัวบ้างไหมคะ” ศศิมาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนและเฝ้าหวังว่าจูบครั้งนี้เธอจะได้รับสัมผัสอันอ่อนโยนกลับมากสักนิดก็ยังดีแล้วหัวใจก็เต้นแรงและเร็วเสียจนแทบจะหยุดหายใจเพราะริมฝีปากอันเรียวบางและอบอุ่นของอักษราขยับเล็กน้อยทำให้หัวใจของศศิมาพองโตแล้วยิ้มกว้างขึ้นในทันที
“ยิ้มอะไรคะ” อักษราถามเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างๆ และเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทะเล้นๆ แต่ก็น่ารักให้เห็น
“รู้ไหมว่าเราทำให้หัวใจพี่พองโตขึ้นเยอะเลย ขอบคุณสำหรับความอ่อนโยนที่มีให้เมื่อสักครู่” เด็กบ้าอะไรก็ไม่รู้น่ารักเหลือเกิน
ประโยคหลังศศิมาคิดอยู่เพียงในใจไม่ได้พูดออกมาให้อักษราได้รับรู้
“บางทีบุ๊คก็อาจจะไม่ได้น่ารักอย่างที่พี่ศศิคิดก็ได้นะคะ” อักษราพูดเสียงอ่อยๆ ซึ่งได้สร้างรอยยิ้มให้กับศศิมา
“น่ารักหรือไม่ต้องให้คนอื่นเป็นคนบอก บุ๊คก็เป็นตัวเองต่อไป ขอบคุณนะสำหรับสัมผัสเล็กๆ เมื่อสักครู่ พี่คิดว่าพี่ได้คำตอบแล้ว
ขอบคุณมากคนน่ารักของพี่” ศศิมาจูบอักษราอย่างดูดดื่มอีกครั้งก่อนที่จะเดินยิ้มและเปิดประตูออกไปจากร้าน