บทที่3.2

1435 คำ
สังเกตเขาไม่นานฉันก็หันหน้ากลับมาเหมือนเดิม และเพื่อความง่ายในการจับจูง จึงปรับเปลี่ยนจากการกุมข้อมือหนาเป็นฝ่ามืออันสั่นพร่าของการ์วินแทน ทันทีที่ตำแหน่งถูกเปลี่ยน ฉันพลันสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิเย็นเฉียบจากอวัยวะดังกล่าว และเพียงไม่กี่วินาทีนับจากนั้น...ความชื้นเล็ก ๆ ตรงกลางอุ้งมือก็ค่อย ๆ พัฒนาเป็นหยาดเหงื่อชุ่มโชก บ่งบอกถึงระดับความประหม่าที่เขามีต่อการกระทำและการตัดสินใจอันบ้าบิ่นของฉัน “...อืม” ถึงอย่างนั้น การ์วินก็ปล่อยให้ตัวเองไหลตามการนำพาของฉันในที่สุด วูบหนึ่ง ฉันคล้ายรับรู้ถึงการกระชับตอบจากอีกฝ่าย แทบเป็นการสอดประสานนิ้วของกันและกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาเขากลับปล่อยให้ฉันทำมันอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนเดิม แม้แต่การจับมือกับใครสักคน เขายังทำเหมือนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองคุ้นชิน แค่จับมือกัน...เขายังดูลังเลมากขนาดนั้น ใช้เวลาไม่นานเราสองคนก็ขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าของตึกวิทยาศาสตร์ แหล่งกบดานใหม่ที่ฉันเพิ่งค้นพบเมื่อวานนี้ และเพิ่งรู้ว่าเป็นสถานที่ที่การ์วินมักใช้มันหลีกหนีจากความวุ่นวายเช่นเดียวกัน พรึ่บ... ด้วยเป็นจุดที่รู้สึกผ่อนคลาย ฉันเลยค่อย ๆ ปล่อยมือเขาออกอย่างเป็นธรรมชาติ แอบเห็นการ์วินมีท่าทีสับสนเล็กน้อยหลังถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ทว่าครู่เดียวก็เอามือชื้นเหงื่อข้างนั้นไปขยุ้มแน่นกับกางเกงนักเรียน ฉันยกยิ้มบางเบาให้ภาพนั้น เพราะไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเราสองคน ฉันจึงดึงเป้มาไว้ด้านหน้า รูดซิปล้วงซองบุหรี่ที่ซุกซ่อนไว้ในกระเป๋าลับ จัดการเคาะกับสันมือหนึ่งครั้งจนมวนกระดาษสีขาวโผล่ออกมาถึงค่อยนำมันขึ้นมาคาบไว้ด้วยปาก ตามด้วยใช้ไฟแช็กจุดบริเวณส่วนปลาย เมื่อดูดสารอันตรายเข้าปอดและพรูมันออกมาอย่างเนิบช้าหนึ่งที...ฉันถึงหันไปหาเขาอีกครั้ง จนพบว่าการ์วินกำลังจับจ้องฉันอยู่ที่เดิม นัยน์ตาลึกลับภายใต้เลนส์แว่นสีใสคล้ายพิจารณากันอยู่ในที ไม่รู้ว่ากำลังหาคำตอบที่ฉันลากเขามาที่นี่ หรือสงสัยที่คนอย่างฉันสูบบุหรี่กันแน่ “ทำเพื่ออะไร” ไม่ปล่อยให้รอนาน การ์วินที่มักนิ่งเงียบอยู่เสมอยอมเปิดปากทำลายความเงียบระหว่างเรา ฉันชอบเสียงทุ้มลึกนั่นของเขาจริง ๆ นะ ถ้าพูดให้เยอะกว่านี้ได้ก็คงดี “หมายถึงเรื่องเมื่อกี้ใช่ไหม” “อือ” เขาครางสั้น ๆ ขณะจับจ้องริมฝีปากของฉันที่เพิ่งพรูควันออกมาเป็นหนที่สอง ทว่าหลังจากนั้น...เพื่อนร่วมห้องคล้ายตระหนักได้ว่าตัวเองเพิ่งมองสิ่งที่ไม่ควรมองนานเกินไปจึงดึงสายตากลับไปอย่างรีบร้อน ทั้งยังเขยิบเท้าไปทางขวา รักษาระยะห่างอย่างที่ชอบทำ “ปกป้องนายไง” ด้านฉันให้คำตอบที่ตรงไปตรงมา ก่อนเปลี่ยนจุดโฟกัสเป็นท้องฟ้าช่วงกลางวันที่ไม่ค่อยสดใสนัก เห็นฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล...ดูท่าแล้วอีกไม่นานฝนคงตกอีกแน่ “...” คนข้าง ๆ เงียบเหมือนเคย “เป็นยังไงบ้าง เราเมื่อกี้นี้เท่สุด ๆ เลยใช่มะ?” ดังนั้นฉันจึงเอ่ยถามพร้อมลากสายตากลับมา โดยไม่ลืมหยิบยื่นรอยยิ้มที่คิดว่าสดใสที่สุดให้เขาเป็นการสำทับ “แบบนี้การ์วินต้องยอมเป็นเพื่อนกับเมย์แล้วนะ” Garwin Describe ผ่านไปหลายนาทีแล้วนับตั้งแต่เมย์พาผมขึ้นมาที่นี่ ที่ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีตลอดการเป็นนักเรียนของสถานศึกษาแห่งนี้ ทั้งที่อยากหลีกหนี ถอยห่าง และเฉยชากับเธอคนนั้นให้มากที่สุด แต่เพราะได้รับการปฏิบัติแบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่สิ...นับเมื่อวานด้วยก็รวมเป็นครั้งที่สามแล้ว ลึก ๆ ข้างในจึงลิงโลดอย่างน่าประหลาด ทว่าผมเลือกเก็บความรู้สึกพองโตนั้นไว้ในใจ เก็บงำคำพูดขณะก้มมองมือข้างซ้ายของตัวเอง ซึ่งจนป่านนี้แล้ว...ไออุ่นจากสัมผัสของเธอยังคงตกค้างอยู่ ไม่เลือนหายไปสักที เมย์เพิ่งลงไปข้างล่าง เห็นว่าอยากไปซื้อน้ำหรืออะไรสักอย่าง ดังนั้นผมในตอนนี้จึงมีเวลาใคร่ครวญความรู้สึกของตัวเองเพียงลำพังได้มากยิ่งขึ้น มือนุ่ม ๆ นั่น... มือของนักเรียนใหม่คนนั้น... ดีชะมัดเลย แกร็ก ๆ นั่งว้าวุ่นใจได้สักพัก เสียงคล้ายมีคนเขย่าประตูพลันดังสนั่น เรียกให้ผมหันกลับไปมอง กระทั่งพบว่าประตูเก่าคร่ำคร่าซึ่งเป็นทางเข้าชั้นดาดฟ้ากำลังสั่นสะเทือน และเพียงไม่นานมันก็ถูกเปิดโพล่งอย่างรุนแรงพร้อมการปรากฏกายของนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งที่แม้ไม่ได้สนิทสนม ทว่าก็คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีเพราะปีที่แล้วเราเรียนห้องเดียวกัน แต่ปีนี้อยู่กันคนละห้อง ถึงอย่างนั้น ความทรงจำอันดำมืดก็ยังมีภาพพวกมันชัดเจน ใครที่เคยทำอะไรแย่ ๆ กับผม ผมย่อมไม่มีวันลืม “อ้าว มีคนอยู่ว่ะ” เสียงแหบห้าวของหนึ่งในนั้นแสดงออกถึงความประหลาดใจเมื่อพบว่าสถานที่ที่ไม่ค่อยมีใครมาป้วนเปี้ยนนักเพราะหลายปีก่อนเคยมีนักเรียนคนหนึ่งขึ้นมาบนนี้เพื่อฆ่าตัวตาย…มีผมนั่งสงบเงียบอยู่ก่อนที่พวกมันจะมาถึง “นั่นมัน…” ใครอีกคนหรี่ตาขณะพินิจพิจารณาผมให้ถี่ถ้วน ครู่เดียวริมฝีปากที่เคยพ่นคำด่าสารพัดก็ผลิยิ้มเมื่อได้คำตอบว่าเป็นเหยื่อที่พวกมันเคยกลั่นแกล้งในอดีต “มึงเองเหรอเนี่ย” พรึ่บ เพราะตระหนักได้ว่าไม่สามารถอยู่ตรงนี้ต่อไปได้ ผมจึงลุกขึ้นยืนทันที ตั้งใจไปจากตรงนี้เพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าที่อาจมีความวุ่นวายอื่น ๆ ตามมา แน่นอนว่าผมไม่ได้ลุกพรวดแล้วจากไปซะทีเดียว ยังหยิบเป้สีน้ำตาลที่วางอยู่ข้างกันติดมือมาด้วย ทว่า…ตุ้บ ด้วยความรีบเร่ง บวกกับเมย์ไม่ได้รูดซิปเป้ให้เรียบร้อย ส่งผลให้บางสิ่งบางอย่างตกลงบนพื้น …ซองบุหรี่ ใจอยากทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ไม่วายก้มตัวลงหยิบมันขึ้นมา ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกันที่ไอ้พวกนั้นเดินดุ่มเข้ามาล้อมตัวผมได้สำเร็จ ผ่านมาเป็นปี พฤติกรรมหมาหมู่ของพวกมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย หมับ! ไม่มีเวลาได้ประเมินสถานการณ์ ซองบุหรี่ในมือก็ถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตา “หืม ดูซิ ไอ้เฉิ่มนี่ดูดบุหรี่ด้วยว่ะ” คนที่แย่งสิ่งนั้นไปกล่าวเจือเสียงหัวเราะ ผมไม่เคยมองว่าการสูบบุหรี่เป็นเรื่องดี แต่ในเมื่อมันเป็นของของเมย์ ผมจึงจำเป็นต้องเอาคืน “เอามา” “เสียงห้วนด้วยแฮะ หวงเหรอ? ไม่รู้หรือไงว่าการพกของนี้เข้ามามันผิดกฎโรงเรียน” กล้าพูดเรื่องกฎ…ทั้งที่ตัวพวกมันเองนั่นแหละที่ทำสิ่งต้องห้ามกันเป็นว่าเล่น ผมกดข่มความรู้สึกบางชนิดไว้ภายใต้ใบหน้าอันราบเรียบ “เอามา” และพูดประโยคเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สอง โดยคราวนี้ไม่ลืมยื่นมือไปตรงหน้า หมายแย่งมันกลับคืนมา นักเรียนใหม่คนนั้นอุตส่าห์ไว้ใจ กล้าฝากกระเป๋าที่ใส่ของมีค่ามากมายไว้กับผม ต่อให้หนึ่งในนั้นจะเป็นแค่บุหรี่ก็ต้องเอาคืนมาให้ได้ ผัวะ! พอเห็นผมมีปากมีเสียงขึ้นมาบ้าง หนึ่งในนั้นก็ใช้กำปั้นอัดเข้าเต็มท้อง แรงส่งมหาศาลส่งผลให้ผมงอตัวลงจนแทบทรุด ทว่ายังพอประคองสองขาไม่ให้ล้มลงไปกับพื้น “ไอ้ห่านี่ เดี๋ยวนี้ชักกล้าใหญ่แล้วนะมึง” “…” ผมเม้มริมฝีปากไม่ส่งเสียง เพียงซ่อนประกายความครุ่นแค้นไว้ภายใต้แววตาอันหม่นมืด “เฮ้ย พอ ไม่ต้องลงมือลงแรงหรอกคราวนี้” “…” “มึงลากมันไปห้องปกครอง เอาบุหรี่นี่ไปด้วย กูอยากจะรู้นักว่าลูกรักฝ่ายปกครองอย่างมัน พอโดนจับได้ว่าพกของต้องห้ามเข้าโรงเรียนจะโดนอะไรบ้าง”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม