“เรียนจบแล้วก็มาทำงานที่บริษัทของพี่สิ”
“พี่พูดจริงเหรอ พูดแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาดนะ อีกเทอมเดียวมินก็เรียนจบแล้วค่ะ ช่วงนี้มินเรียนหนักแล้วก็ต้องทำงานส่งอาจารย์อีก เอ่อ..นี่ก็สายมากแล้วมินขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจในวิชาที่เรียนก็ถามพี่ได้นะ”
จัสมินเกือบลืมไปเสียสนิทว่าพี่วายุเป็นรุ่นพี่ที่คณะ เขาเป็นคนฉลาดและเรียนเก่งตอนเรียนจบยังได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาแล้ว ถ้าขอคำปรึกษาจากเขาได้ก็คงดีไม่น้อย เผลอๆ เกรดเฉลี่ยเทอมสุดท้ายของเธอก็คงออกมาดีมากแน่ๆ
“จะดีเหรอคะ ช่วงนี้พี่คงจะยุ่งเรื่องงานที่บริษัท มินไม่รบกวนพี่ดีกว่าค่ะ”
“ถ้าช่วงเสาร์อาทิตย์พี่ว่างนะ ถ้าเรื่องเรียนมีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามพี่ได้ตลอด ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
“โอเคค่ะ ขอบคุณที่เลี้ยงอาหารเช้ามินนะคะ” รอยยิ้มหวานบนใบหน้าใสทำเอาอีกฝ่ายชะงักนิ่งไปเล็กน้อย พอเห็นเธอทำท่าจะลุกขึ้นยืนชายหนุ่มกลับนึกอะไรขึ้นมาได้
“เดี๋ยวมะลิ!! เกือบลืมไปเลย พี่ซื้อของฝากมา เธอช่วยเข้าไปเอาของในบ้านกับพี่ได้ไหม”
ชายหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือทั้งสองข้างดึงคอเสื้อยืดสีขาวขยับเข้าขยับออกเพื่อไล่ความร้อนออกจากร่างกาย วายุไม่ค่อยชินกับอากาศร้อนเท่าไหร่
“ที่จริงพี่ไม่เห็นต้องลำบากซื้อของมาฝากก็ได้ค่ะ มินเกรงใจ” เธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ถึงเมื่อก่อนจะสนิทกับครอบครัวของเขาแต่มันก็เป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อน
“มะลิ เรียกแทนชื่อตัวเองว่ามะลิมันน่ารักกว่านะ”
“พี่ก็รู้ว่ามินไม่ชอบให้ใครเรียกแบบนั้น มันดูเชยแล้วก็ดูโบราณด้วย เรียกมินแทนได้ไหมคะ”
“แต่พี่ชอบนะ มันน่ารักเหมาะกับเราดี เรียกแทนชื่อตัวเองว่ามะลิเวลาอยู่กับพี่แค่สองคนก็ได้นะ”
คำพูดที่ดูเหมือนไม่คิดอะไรของชายหนุ่มแต่คนฟังกลับรู้สึกทะแม่งๆ ชอบกล มันทำให้เธออดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้
“อย่าเลยค่ะ มันไม่ชินปาก”
วายุไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เพราะเป็นเขาหรอกเธอถึงยอมให้เรียกชื่อเล่นว่ามะลิ เธอไม่ชอบให้ใครเรียกแบบนั้น มันทั้งเชยทั้งฟังดูโบราณเหมือนผู้หญิงไทยเรียบร้อย อ่อนหวานอะไรแบบนั้นซึ่งมันห่างไกลกับบุคลิกและนิสัยของเธออยู่มากโข
กับคนแปลกหน้าหรือคนรู้จักที่ไม่สนิทเธอมักจะนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดคุยเท่าไหร่ เพราะบุคลิกนิ่งๆ คนทั่วไปเลยเข้าใจว่าเธอเป็นคนเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ จริงๆ แล้วเธอก็เป็นผู้หญิงเรียบร้อยนะ แต่เรียบร้อยเหมือนผ้ายับที่พับไว้ต่างหาก
“ก็ได้ค่ะ มะลิก็มะลิ เอ่อ..ในบ้านมีพี่อยู่แค่คนเดียวเหรอคะ มันเงียบมากๆ ”
ถึงจะยอมให้เขาเรียกแบบนั้นแต่เธอคงไม่เรียกแทนตัวเองว่ามะลิหรอก มันไม่ชินปากเลยสักนิด
จัสมินถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางกวาดสายตาไปมองภายในห้องโถงสวยๆ ขณะเดินตามหลังชายหนุ่มขึ้นบันไดไปชั้นบน นอกจากแม่บ้านสองคนนั้นจัสมินก็ไม่เห็นใครอื่นอีก บ้านทั้งหลังเงียบเชียบเหมือนไม่มีใครอื่นอยู่เลยนอกจากเขา
ไม่ได้เสียงพุดคุยหรือแม้กระทั่งเสียงอะไรเล็ดรอดออกมาให้ได้ยินเลยนอกจากเสียงพูดคุยของเธอกับเขาสองคน
“ใช่ นอกจากแม่บ้านก็ไม่มีคนอื่นอีก”
เธอจำได้ดีว่าห้องนั้นเป็นห้องนอนของพี่วายุ พลันหัวใจก็เต้นแรงขึ้น เธอมองดูเขาเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนแต่ไม่กล้าเดินตามร่างสูงเข้าไป ที่รู้สึกแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะระยะเวลาที่ไม่ได้เจอกันนานรวมถึงบุคลิกที่เงียบขรึมขึ้นของอีกฝ่ายเลยทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เข้ามาสิ”
“มินรออยู่ข้างนอกดีกว่าค่ะ”
“ทำไม เมื่อก่อนเธอยังเข้ามาในห้องนอนของพี่บ่อยๆ เลย”
คำพูดของเขาทำเอาใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ จัสมินพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง ขยับตัวเดินเข้าไปในห้องนอนของเขา กวาดสายตามองดูห้องนอนที่กว้างขึ้นกว่าเมื่อก่อนเกือบเท่าตัว
“พี่ทำห้องนอนใหม่เหรอคะ” เธอมองไปรอบๆ ห้องที่กว้างขึ้นกว่าเดิมจากที่กว้างอยู่แล้ว พอเห็นเตียงนอนขนาดใหญ่เธอก็รู้สึกกระดากอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ใช่ พี่ให้ช่างทุบผนังห้องนอนของนทีแล้วทำเป็นห้องทำงาน อยากได้ห้องทำงานติดห้องนอนจะได้สะดวก” ดวงตาคมเข้มมองหญิงสาวที่เดินตามเข้ามาในห้องทำงานของเขา
หัวใจดวงน้อยหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงาน มุมของห้องและระเบียงด้านนอกห้องอยู่ตรงกันข้ามกับห้องนอนของเธอพอดิบพอดี ถึงระยะห่างจะไกลกันพอสมควรแต่ก็มองเห็นหน้าต่างห้องนอนของเธอได้อย่างชัดเจน จู่ๆ ก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงระเบียงห้องเมื่อคืนคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา
“มองอะไรอยู่” วายุยกยิ้มมุมปาก เดินเข้ามาหยุดยืนด้านหลังร่างเล็กที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงทุ้มต่ำที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาจัสมินสะดุ้งตกใจหันมามองคนตัวโตที่ยืนประชิดด้านหลังอยู่
“ปะเปล่าค่ะ ห้องทำงานของพี่สวยดีนะคะ เอ่อ..ไหนของฝากที่พี่จะให้มิน”
จัสมินยิ้มเจื่อนๆ เบี่ยงตัวออกห่างจากชายหนุ่มเล็กน้อย ตอนนี้เธออยากออกไปจากห้องนี้ไวๆ
“เป็นน้ำหอมกับพวกครีมทาผิวแล้วก็ขนม”
จัสมินมองถุงกระดาษสีขาวสองใบใหญ่ในมือของเขาที่ยื่นส่งให้
“ขอบคุณค่ะ งั้นมินขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ สรัลน่าจะตื่นแล้ว” เธอยิ้มแก้มแทบปริเอื้อมมือออกรับของฝากอย่างดีใจ
“อืม พี่ให้แม่บ้านเตรียมกับข้าวไว้ให้สรัลกับเธอด้วยนะ” วายุขยับตัวเดินตามหลังหญิงสาวที่รีบร้อนเปิดประตูเดินออกจากห้องไป ท่าทีที่ดูระมัดระวังตัวเมื่อครู่ดูผ่อนคลายคล้ายโล่งใจทำให้ดวงตาคมเข้มที่มองดูอยู่เป็นประกายวูบไหวก่อนจางหายไปในเวลาต่อมา
“อย่าเลยค่ะพี่วายุ แค่นี้มินก็เกรงใจพี่จะแย่แล้ว ทั้งข้าวเช้าทั้งของฝาก” เธอโบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างเกรงอกเกรงใจ
“คนกันเองไม่ต้องเกรงใจหรอก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยตอบ
จังหวะที่ทั้งคู่เดินลงมาถึงห้องโถงข้างล่าง แม่บ้านก็ถือปิ่นโตที่ใส่กับข้าวร้อนๆ มายืนรออยู่ก่อนแล้ว หญิงวัยกลางคนส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เด็กสาวที่เดินตามหลังเจ้านายหนุ่ม วายุมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ แม่บ้านและเริ่มแนะนำตัวให้ทั้งคู่รู้จักกัน
“นี่ป้าสายหยุด แม่บ้านของพี่เอง”
“สวัสดีค่ะ ไม่เจอกันนานเลย ป้าหยุดสบายดีไหมคะ” จัสมินยกมือไหว้พร้อมกับส่งยิ้มให้หญิงวัยกลางคน
“สบายดีค่ะ หนูมินสบายดีหรือเปล่าคะ”
“สบายดีค่ะป้า ไว้ว่างๆ มินจะมาคุยด้วยใหม่นะคะ มินขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เธอเอื้อมมือออกไปรับปิ่นโตจากป้าสายหยุดเสร็จก็ถือโอกาสพูดบอกลาคนทั้งคู่ หลังจากนั้นวายุก็เดินออกไปส่งหญิงสาวที่หน้าประตูบ้าน