Chapter 3 - เจอกันอีกครั้ง
ฉันที่รีบหลบออกมาจากระเบียงแล้วรีบกลับมานั่งลงบนเตียง จนต้องยกมือขึ้นกุมหัวใจที่เต้นแรงอย่างหนักหน่วง บอกเลยว่าหนักกว่าการเจอผี ก็คือเจอหมอนี่ นี่นะแหละ ใครจะไปคิดว่าตัวเองต้องมาเจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก
ฉันดึงสติของตัวเองกลับมา ก่อนจะล้มตัวลงนอน ทว่าไม่ถึงสิบนาทีต่อมา เสียงกดกริ่งที่หน้าห้องก็ดังขึ้น
พอเหลือบไปมองนาฬิกาเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว ทำให้เริ่มนึกถึงคำพูดที่แม่เพิ่งบอกเอาไว้ว่าอยู่คนเดียวให้ระวัง ความกลัวก็เริ่มแว่บเข้ามาในสมอง
หรือ...เป็นโรคจิตจริง ๆ ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ยังไม่ทันหายตกใจจากเรื่องหนึ่งก็กำลังจะตกใจอีกเรื่องหนึ่ง
เอาไงดีวะครีม...
ครั้นจะหยิบโทรศัพท์โทรบอกแม่ก็กลัวแม่จะเป็นห่วง
ครั้นจะตะโกนขอความช่วยเหลือจากอดีตเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างห้อง ก็กลัวจะเสียฟอร์ม
ก็…มันเคยบอกเลิกเป็นเพื่อนกับฉันเองนะ
ปัง ปัง ปัง จากเสียงกดกริ่งประตู เปลี่ยนเป็นเสียงทุบประตูแรงขึ้นทำเอาฉันสะดุ้งโหยงรอบสอง
เอาวะ...ถ้ามัวแต่นั่งกลัวก็คงไม่รู้ว่าใคร ฉันเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปที่ประตู มองออกไปผ่านช่องตาแมว
“ธันย์!”
นั่นแหละพอเห็นว่าเป็นเขา ฉันก็เลยถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะยอมเปิดประตูออกไป
ไม่ใช่อะไรที่ยอมเปิดประตู อารมณ์หนึ่งก็ดีใจที่ได้เจอ แต่อีกอารมณ์หนึ่งก็นะ...ธันย์เคยบอกว่าไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับฉันแล้วจะเจอหน้ากันไปทำไม แต่หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้าย... ฉันก็เลือกที่จะเปิดประตูไปทักทายเขาอยู่ดี
“ว่าไงไม่ได้เจอกันซะนาน”
เป็นฉันที่เอ่ยทักธันย์ก่อน แน่นอนว่าต้องพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติสวนทางกับหัวใจที่ยังเต้นโครมครามไม่เลิก
ตอนนี้เขาใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นมาเรียบร้อย ก็คงทันทีหลังจากที่เห็นฉันไปชะโงกแบบนั้น แล้วก็คงแต่งตัวออกมาเลย
ไม่ได้เจอกันหนึ่งปีเต็ม ทำไมไม่รู้ฉันถึงได้รู้สึกว่าธันย์ดูแปลกไป ลำตัวเขาดูแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวก็ดูขาวกว่าแต่ก่อน เรียกได้ว่าหุ่นของธันย์ตอนนี้เป็นนายแบบได้สบายเลย อะไรวุ้ย ตอนม.5 ธันย์ยังดูตัวแห้ง ๆ สูงโปร่งยังกับเปรต แต่ตอนนี้เนื้อตัวดูแน่นด้วยกล้ามเนื้อเต็มไปหมด
“จะมองอีกนานไหม หรือจะให้ยืนเมื่อยอยู่ตรงนี้”
ที่เหมือนเดิมอยู่อย่างเดียวก็คงจะเป็นปากของเขา
“เข้ามา”
แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกนั่นแหละฉันถึงยอมให้ธันย์เดินเข้ามาภายในห้องอย่างง่าย ๆ อาจจะเพราะสมัยก่อนสนิทกันมาก บ้านก็อยู่ติดกัน ขนาดนอนด้วยกันมาแล้วก็ยังเคย
แน่นอนว่า ‘นอน’ ที่หมายถึงนอนหลับ ไม่ใช่นอนแบบมีอะไรกันแบบนั้น
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีนะ” ฉันถามธันย์ไปแบบนั้น เพราะเห็นธันย์เอาแต่จ้องหน้าฉันไม่เลิก
“ไม่...” ดูมันตอบ
ฉันเลิกคิ้วมองหน้าธันย์แบบไม่เชื่อ มันดูดีกว่าแต่ก่อนแต่ดันบอกว่าไม่ ทว่าพอเผลอหันไปสบสายตาธันย์ที่กำลังมองมา กลับรู้สึกอึดอัดยังไงก็ไม่รู้
“ตั้งแต่กูย้ายโรงเรียนไป กูไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน...”
“อ้าว...ไหงงั้น”
ธันย์ยังไม่เลิกสบตาฉัน ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาใกล้ ส่งผลให้ฉันที่ยืนอยู่ต้องถอยร่นไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็แผ่นหลังชนกับผนังห้องดังปึก!
“นะ นาย จะ จะ ทำอะไรนะ...” น้ำเสียงของฉันดูติดขัดปนตกใจ เพราะไม่รู้ว่าทำไมธันย์ถึงได้เดินมาใกล้ขนาดนี้
“กูอยากจะบอกมึงว่า...ที่ผ่านมากูไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน”
ธันย์จ้องหน้า ก่อนที่ฝ่ามือแกร่งของเขาจะทาบทับผนังจนอยู่ในสภาพที่คร่อมร่างของฉันเอาไว้จนเขยิบตัวไปไหนไม่ได้
“ทะ ทำไม…”
“เพราะ…. กูคิดถึงมึงมาตลอด....”
ธันย์จ้องตาฉัน เหมือนเราสองคนกำลังเล่นเกมจ้องตากัน ใครหลบตาก่อนคนนั้นแพ้ และเพราะท่าทางแบบนี้ทำให้เราทั้งคู่จ้องตากันในความเงียบไปพักใหญ่
“มะเหงกสิ...” เป็นฉันที่พูดพร้อมหัวเราะออกมา ก่อนจะผลักตัวมันให้ออก
“นายนี่นะ เลิกแกล้งฉันเลยนะธันย์ เจอกันกี่ปีกี่ชาติก็ไม่เคยเลิกล้อเล่น”
“เฮ้อ มึงก็นะรู้ทันกูตลอด” ธันย์ยกสองมือแบขึ้นเหมือนยอมแพ้ แล้วทำท่าถอยออกไป ส่วนฉันก็ได้แต่มองค้อนใส่ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของธันย์เมื่อครู่ แต่ก็รู้ดีว่าเขาแค่ล้อเล่น ที่ผ่านมามันก็ชอบล้อเล่นกันแบบนี้แหละ
???