บทที่ 12 ถูกไล่ล่าอีกครั้ง

1768 คำ
บทที่ 12 ถูกไล่ล่าอีกครั้ง ยามเซิน (เท่ากับเวลา 15.00 น. จนถึง 16.59 น.) บรรยากาศในป่าเงียบสงบ เยว่เอ๋อร์นั่งที่ก้อนหินใหญ่หน้าถ้ำชมทิวทัศน์งดงาม ขณะที่องค์ชายสิบเก้านั่งฝึกพลังปราณภายในถ้ำ สายลมอ่อนๆ พัดผ่านลู่ต้นหญ้าสีเขียวในทุ่งกว้างให้เอนไหวตาม หากมิใช่ว่าเวลานี้นางกำลังหลบหนีอยู่ละก็คงจะดีมิน้อย ขณะที่ดวงตาหวานปิดลงผ่อนคลายกับสิ่งรอบๆ ตัว ร่างเล็กป้อมก็โดนโอบกอดและลอยละลิ่วจากพื้น ดวงตาหวานเบิกกว้างมองไม่เห็นภาพเบื้องหน้าเพราะใบหน้านางซุกอยู่ที่อกกว้างของใครสักคน ไม่นะ... นี่นางโดนลักพาตัวเหรอ ชีวิตจะรันทดไปไหม “ฝีมือไม่เบาเหมือนกันนะองค์ชายสิบเก้า” เสียงเข้มคุ้นหูดังมาจากด้านหลังร่างเล็กถูกประคองวางบนพื้น เมื่อลืมตาสำรวจโดยรอบเยว่เอ๋อร์ก็ถอนหายใจยาว อย่างน้อยคนที่อุ้มนางเมื่อครู่ก็คือองค์ชายสิบเก้า ไม่ใช่ชายหน้ากากชุดดำเบื้องหน้า “ตอนนี้ไม่มีพวกตัววุ่นวาย เช่นนั้นหม่อมฉันจะจัดการพระองค์อย่างนิ่มนวลที่สุด” “หึ!” หยวนหรงหย่งหมิงขบกรามแน่น เขารู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนตรงหน้า หากแต่เขาก็มิได้หวั่นกลัวสักนิด สิ่งที่ห่วงใยคือความปลอดภัยของเด็กสาวในอ้อมแขนนี่มากกว่า นางยังเด็กนักอีกทั้งไม่มีวรยุทธ์และพลังปราณใดๆ คงไม่มีทางเอาตัวรอดในป่าแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน เขาอุ้มนางขึ้นอีกครั้งดีดตัวพุ่งตรงออกจากป่า อย่างน้อยหากเอานางไปปล่อยไว้ในเขตเมือง นางอาจมีทางรอดมากกว่าถูกทิ้งในป่าแห่งนี้ หากแต่เขาไม่สามารถทำได้ตามที่ต้องการ เมื่อชายชุดดำคนเดิมทะยานมาขวางหน้า บีบให้เขาต้องถอยร่นเข้าไปในป่าลึกมากกว่าเดิม สายลมพัดผ่านเสียดสีผิวหน้าเยว่เอ๋อร์หลับตาแน่นซบใบหน้าที่อกของเขา จวบจนทุกอย่างรอบตัวสงบอีกครั้งเมื่อลืมตาขึ้นใบหน้ากลมก็ซีดเผือด หน้าผา พวกนางมาเจอทางตัน “เอาล่ะเลิกเล่นได้แล้วองค์ชาย” ชายชุดดำชักกระบี่ออกมาพุ่งตรงเข้าหาองค์ชายหยวนหรงหย่งหมิงและเยว่เอ๋อร์ ร่างบางถูกผลักออกจากวิถีการต่อสู้ เยว่เอ๋อร์หลบที่หลังก้อนหินใหญ่ดวงตาหวานตื่นตระหนกหวั่นกลัวยิ่งนัก ชายชุดดำเดินปราณจนรอบตัวอาบไปด้วยสีน้ำเงิน ขณะที่รอบตัวองค์ชายยังคงเป็นสีเขียวนวลเช่นเดิม แรงปะทะระหว่างทั้งสองทำให้ต้นไม้และเศษหินโดยรอบปลิวคลุ้งไปหมด กระบี่อ่อนขององค์ชายส่วนใหญ่ทำได้เพียงตั้งรับเท่านั้น ริมฝีปากของชายชุดดำยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อไล่ต้อนจนองค์ชายมาประชิดที่ริมผา อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นเขาก็จะพลัดตกลงไปแล้ว เยว่เอ๋อร์มองการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยหัวใจระทึก นางควรทำอย่างไรดี ร่างขององค์ชายหยวนหรงหย่งหมิงยืนประชิดริมผา สองมือกำกระบี่เล่มบางแน่น แสงสีเขียวนวลอาบไล้กระบี่ไว้ต้านดาบคู่ของชายชุดดำ ใบหน้าภายใต้หน้ากากดำยกยิ้มอย่างพอใจ ขณะที่ชายชุดดำกำลังเดินปราณเพิ่มพละกำลังมากขึ้นเพื่อจัดการกับเด็กหนุ่มตรงหน้า กลับสัมผัสได้ถึงแรงสังหารจากด้านหลัง ดาบคู่พลิกมาตั้งรับจิตสังหารด้านหลังทำให้องค์ชายสิบเก้าได้จังหวะพลิกตัวเองเข้ามาอยู่ด้านใน ดวงตาชายชุดดำภายใต้หน้ากากดำฉายแววอำมหิต ที่แท้เป็นเด็กน้อยเจ้าปัญหานี่เอง ท่อนไม้ขนาดไม่ใหญ่มากถูกพลังปราณเขาสลายจนกลายเป็นผุยผง ร่างเล็กตรงหน้ายิ้มแห้งๆ พยายามถอยหนีรังสีอำมหิตจากชายชุดดำ แต่มิทันที่จะขยับเท้าลำคอเล็กก็ถูกมือหนากุมเอาไว้ ร่างกลมป้อมถูกยกขึ้นจากพื้นลอยอยู่กลางอากาศ เยว่เอ๋อร์รู้สึกหายใจติดขัดใบหน้ากลมเขียวคล้ำ องค์ชายหยวนหรงหย่งหมิงกุมกระบี่ในมือแน่นเข้าประชิดชายชุดดำอีกครั้ง “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้” “หึ! เป็นนางรนหาที่ตายเอง” ลำแสงสีเขียวพุ่งเข้าฟาดฟันชายชุดดำ ชายชุดดำขมวดคิ้วแน่นเลือดมังกรในกายของคนตรงหน้ามิอาจดูแคลนได้จริงๆ ชายชุดดำรับกระบี่บางด้วยดาบเพียงเล่มเดียว แน่นอนเขามิค่อยจะถนัดนัก มุมปากหนายกยิ้มเย็นอีกครั้ง “ในเมื่อทรงห่วงใยนางนัก กระหม่อมจะส่งนางไปคอยพระองค์ก่อนแล้วกัน” ร่างเล็กกลมถูกเหวี่ยงลอยไปในอากาศ เยว่เอ๋อร์หลับตาแน่นเตรียมรับแรงกระแทกบนพื้นหากแต่สิ่งที่นางสัมผัสได้กลับว่างเปล่าพื้นเบื้องล่างไร้แผ่นดิน บิดามันเถอะ! เจ้าชายชุดดำนั่นโยนนางลงหน้าผาหรือนี่… หยวนหรงหย่งหมิงมองร่างเล็กกลมป้อมลอยลิ่วไปกลางอากาศก่อนร่วงลงไปที่เหวลึก หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบรัด ดวงตาคมแดงก่ำมือหนากำกระบี่อ่อนแน่น “ไม่…” ชายชุดดำมองภาพเด็กชายที่โผไปที่ริมหน้าผา สายตาทอดมองไปยังก้นเหวเบื้องล่างอย่างเจ็บปวดแล้วรู้สึกยินดียิ่งนัก “ไม่ต้องทรงเสียพระทัยไป อีกไม่นานหม่อมฉันจะส่งพระองค์ไปหานางเอง” “บัดซบยิ่งนัก!” ดวงตาคมขององค์ชายน้อยหันมาจ้องชายชุดดำอย่างอาฆาต มือหนากำกระบี่แน่นพุ่งเข้าโจมตีชายชุดดำอย่างบ้าคลั่ง แสงสีเขียวนวลปะทะรุนแรงจนชายชุดดำเองอดขมวดคิ้วมิได้ เหตุใดเขาที่อยู่ระดับห้าจึงรู้สึกว่ามิอาจต่อกรกับคนตรงหน้าได้ มิใช่ว่าเด็กหนุ่มนี่อยู่เพียงขั้นสี่หรือไรกัน หรือว่า… หยวนหรงหย่งหมิงวาดกระบี่รวดเร็ว ดวงตาคมกริบอาบด้วยสีแดง ลำแสงรอบตัวค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำเงินช้าๆ ชายชุดดำเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เป็นไปไม่ได้อยู่ดีๆ องค์ชายสิบเก้าจะเลื่อนขั้นง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญยังมาเลื่อนขั้นในเวลาที่สำคัญเช่นนี้เสียด้วย เมื่อระดับปราณพลังเลื่อนขึ้นมาหยวนหรงหย่งหมิงคล้ายได้กำลังคืนมาใหม่ บาดแผลตามตัวหายเป็นปลิดทิ้ง อีกทั้งปราณในกายยังมีมากล้นจนน่าแปลกใจ เพลงกระบี่ที่เขาวาดออกไปจึงมีกำลังมากกว่าของชายชุดดำที่ใช้ปราณมาได้ระยะหนึ่ง “ข้าจะเอาเลือดเจ้ามาเซ่นวิญญาณนาง” พูดจบกระบี่ก็พุ่งตรงเข้าใส่ชายชุดดำทันที ชายชุดดำรู้ดีว่าตอนนี้ตนตกเป็นรอง หากแต่เวลานี้เขาเองมิอาจหลีกหนีไปที่ไหนได้ มือสองข้างเกร็งดาบคู่ในมือตั้งรับการโจมตีดุดันของคนตรงหน้า แรงปราณที่ส่งออกมาทำเอาอวัยวะภายในของเขาแทบแหลกสลาย เลือดลมเขาปั่นป่วนจนกระอักเลือดคำใหญ่ออกมา ขาสองข้างอ่อนแรงทรุดลงกับพื้น ขณะที่องค์ชายสิบเก้าไม่แม้แต่จะให้เขาได้พักหายใจ กระบี่อ่อนวาดผ่านอากาศรวดเร็ว ชายชุดดำทำได้เพียงเบิกตากว้าง รู้ตัวอีกทีกระบี่ของหยวนหรงหย่งหมิงก็แทงเข้าที่อกซ้ายตัดเส้นเลือดหัวใจอย่างพอดี หยวนหรงหย่งหมิงมองชายชุดดำที่ทรุดตัวลง ดวงตาภายใต้หน้ากากยังคงแข็งค้างเบิกกว้าง เขานึกขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เขาเลื่อนขั้นพลังจึงเอาชนะชายชุดดำได้ หากแต่อีกส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกโกรธเคืองที่สวรรค์ช่วยเขาช้าไป จึงทำให้เขาสูญเสียนางไปตลอดกาล ดวงตาคมทอดมองไปที่หุบเขาเบื้องหน้า ความลึกของมันที่ไม่สามารถมองเห็นก้นได้ สะท้อนความจริงที่ทำให้เขาปวดใจยิ่งนัก ชุดแดงเลือดนกปักลายพยัคฆ์ปลิวไปตามแรงลม ดวงตาคมแดงอาบไปด้วยน้ำตา มันมิได้ไหลอาบแก้มเขา หากแต่กลับไหลอาบหัวใจของเขา “องค์ชาย…” เฉินมี่ถงมองภาพองค์ชายน้อย ไหล่เล็กนั้นสั่นไหวน้อยๆ มือเล็กกำกระบี่อ่อนแน่น แรงลมพัดเส้นผมที่หลุดลุ่ยปลิวสยาย ช่างดูโดดเดี่ยวเหลือคำบรรยาย ชีวิตขององค์ชายหยวนหรงหย่งหมิงช่างอาภัพนัก เมื่อยามเกิดก็สูญเสียมารดา วัยเด็กพระบิดาก็มิได้ใส่ใจเท่าที่ควร พระสนมเกากุ้ยเฟย พระมารดาเลี้ยงก็โดนลอบปลงพระชนม์ สุดท้ายจึงถูกส่งตัวให้ชุ่ยฮองเฮาดูแล ชีวิตมีแต่การสูญเสียและถูกทำร้ายมาโดยตลอด จะมีสักกี่คนที่สามารถยืนหยัดได้ดังเช่นพระองค์ “ข้าปกป้องนางไม่ได้” น้ำเสียงสั่นเครือและเบาหวิวคล้ายพึมพำเพียงลำพัง เฉินมี่ถงเพียงก้มหน้าลงมิได้เอ่ยสิ่งใด เยว่เอ๋อร์... ภาพรอยยิ้มสดใส แววตาจริงใจของนางยังคงสะท้อนในอก ความคุ้นเคยที่เขายังค้นหาสาเหตุไม่ได้ เพียงพริบตาเขาก็มิอาจสัมผัสนางได้อีก “องค์ชายเสด็จกลับตำหนักพยัคฆ์ขาวเถิดพ่ะย่ะค่ะ” มือหนายื่นออกไปที่หน้าผา กระบี่อ่อนกรีดผ่านฝ่ามือองค์ชายน้อย เฉินมี่ถงมองภาพนั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง “องค์ชายทรงทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าปกป้องนางไม่ได้ เลือดนี้ข้าขอเซ่นแก่ดวงวิญญาณของนาง สาบานผูกจิตสัมพันธ์มิรางเลือน” เฉินมี่ถงแทบหยุดหายใจ ดวงตาเบิกกว้างกว่าเดิม ริมฝีปากแข็งค้างมิสามารถเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ การผูกจิตสัมพันธ์คือการผูกดวงวิญญาณของตนกับคนอีกคนหนึ่ง ผู้คนมักใช้วิธีนี้ในการแสดงความรักที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่นั่นหมายความว่าชั่วชีวิตนี้ เขาจะมิสามารถเปิดดวงจิตรับผู้ใดได้อีก ในตอนนี้เยว่เอ๋อร์ได้ตายไปแล้ว นั่นหมายความว่าชั่วชีวิตองค์ชายสิบเก้าจะไม่สามารถรักใครได้อีกเลย แม้นมีหัวใจก็ดั่งคนไร้หัวใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม