สายลมของต้นวสันตฤดูลอยพัดผ่านร่างทั้งสองของเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ในสวน คนหนึ่งเป็นเด็กชายคนหนึ่งเป็นเด็กหญิง เป็นสองพี่น้องของสกุลจางนั่นเอง "แฮ่ก! แฮ่ก! พี่สี่ ท่านรอข้าด้วย!" ร่างเล็กจ้อยของเด็กสาววัยแปดปีร้องบอกผู้เป็นพี่ชายด้วยความเหนื่อยล้าเกินทน ใบหน้าจิ้มลิ้มขาวซีด เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามพวงแก้มเล็กๆ เด็กสาวหยุดวิ่งเพื่อหายใจเอาอากาศเข้าไปในปอดให้มากที่สุด ราวกับกำลังกลัวว่าอากาศตรงหน้าจะมลายหายไปในเวลาอันใกล้อย่างไรอย่างนั้น
"ผู้ใดใช้ให้เจ้ามีร่างกายที่อ่อนแอเล่า? วิ่งไปได้ไม่ไกลก็เหนื่อยหอบเสียจนหน้าซีดเซียว อีกทั้งยังต้องมาลำบากข้าคอยตามดูแลเจ้าอีก"เด็กชายวับสิบปีที่สูงไล่เลี่ยกันกำลังบ่นผู้เป็นน้องของตน ดวงหน้าใสซื่อง้ำงอตามอารมณ์โกรธของเขา ถ้าหากบรรดาท่านพี่ ท่านพ่อและท่านแม่อยู่ที่จวนล่ะก็ ข้าก็ไม่ต้องมาดูแลน้องสาวที่ร่างกายอ่อนแออย่างนางเช่นนี้ ช่วงแรกๆข้าเองก็ดีใจที่ทั้งจวนอำนาจการดูแลจะตกมาอยู่ที่ข้า แต่ก็มิวายพ่วงภาระเช่นนางมาให้ข้าอีกข้าเกลียดนางเสียจริง หากข้าขอให้นางตายไป ข้าก็จะกลายเป็นน้องเล็กของตระกูล ทุกคนในครอบครัวก็จะต้องรักและเอ็นดูข้าเป็นแน่แท้
ที่จวนสกุลจางแห่งนี้มีท่านแม่ทัพผู้นำทัพออกศึกรบได้รับชัยชนะมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้งเป็นหัวหน้าจวนนามว่าจางหมิงลู่ มีฟูเหรินที่เป็นนักปราชญ์เฉลียวฉลาดด้านโอสถนามว่าจางเยว่ชิง ทั้งสองเป็นท่านพ่อท่านแม่ของข้าและพี่น้องคนอื่นๆอีกสี่คนในสกุลจาง พี่ใหญ่แห่งสกุลจางนามว่าจางมี่อิง ท่านพี่ใหญ่คือผู้ที่รับสืบทอดวิชาศาสตราวุธจากท่านพ่อ อีกทั้งยังถูกทางกองทัพทหารทาบทามให้ไปเป็นท่านขุนพลกองทัพทหารของวังหลวง พี่รองนามว่าจางมี่จิง ท่านพี่รองคือผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรและยาพิษ และพี่สามนามว่าจางอิงหลิว กำลังฝึกฝนวรยุทธกับท่านอาจารย์ปริศนาท่านหนึ่ง ข้าและน้องห้าเองก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาอาจารย์ของพี่สามมาก่อนเลยเช่นกัน จางเมิ่งฉิงคือนามของข้า บุตรชายคนที่สี่ของท่านขุนพลจางหมิงลู่ ยังมิได้เข้ารับการทดสอบพลังปราณธาตุ น้องห้านามว่าจางหลี่หลิน นางคือน้องสาวคนสุดท้องของข้าและพวกท่านพี่
ตั้งแต่เกิดร่างกายของนางก็อ่อนแอมาก ตากแดดพลันเป็นลม ตากลมพลันจับไข้ พลังปราณธาตุเองก็ไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัด วรยุทธอ่อนด้อย เป็นบุคคลที่สามารถขนานนามได้อย่างเต็มปากว่าเป็นผู้ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง แต่ทว่าท่านพ่อท่านแม่และพวกท่านพี่ก็ยังคงคอยประคบประหงมตามใจนางอยู่เรื่อยมา พอได้คิดแล้วขึ้นมาแล้ว เมิ่งฉิงก็หงุดหงิดในใจอย่างบอกไม่ถูก "เสี่ยวหลิน เจ้ามาทางนี้สิ!" ข้าตะโกนร้องเรียกเด็กสาวตัวน้อยมาที่ริมสระบัว ในใจมีแต่ความคิดที่อยากจะกำจัดนางให้ตายตกไปเสีย แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดของข้า ลำพังตัวข้าเองก็ยังไม่กล้าขนาดที่จะฆ่านางจริงๆหรอก "มีอันใดหรือพี่สี่?" ดวงตาอันใสซื่อของเด็กหญิงตัวน้อยฉายแววความสงสัยออกมาอย่างมิอาจข่มกลั้น "เจ้าคิดว่า... ภายในสระบัวแห่งนี้จะมีสิ่งล้ำค่าสิ่งใดซ่อนอยู่หรือไม่?" เด็กชายเอ่ยถามเป็นการหยั่งเชิง "มิใช่ว่าสระบัวที่จวนของเราเป็นสระที่ปลูกดอกบัวเพื่อประดับให้ดูสวยงามเพียงอย่างเดียวหรอกหรือ?" เด็กสาวเอียงคออย่างสงสัยใคร่รู้
ตั้งแต่นางจำความได้ นางก็รู้เพียงแค่ว่าสระบัวที่จวนสกุลจางแห่งนี้ มีไว้เพื่อปลูกดอกบัวประดับความงามของสวน แต่ที่ท่านพี่สี่กล่าวมานั้นจะเป็นเท็จหรือจริงนางก็มิอาจรู้ได้ "แล้ว...เจ้าสงสัยบ้างหรือไม่?" "อื้อ! ข้าสงสัย" "เช่นนั้นเจ้าก็ลองลงไปพิสูจน์ดูด้วยตาของตนเองเสียสิ" เด็กชายยกยิ้มอย่างผู้ที่เหนือกว่า แน่นอนว่าเขาค่อนข้างมั่นใจว่านางจะไม่ลงไปหาสิ่งล้ำค่าที่เขาแต่งเรื่องขึ้นมาเป็นแน่ เพราะว่าน้องเล็กไม่ค่อยถูกกับน้ำสักเท่าใดนัก
"ตกลง!" ผิดคาด เด็กสาวกลับตอบตกลงด้วยรอยยิ้มที่สดใสไร้เดียงสา นางเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าสิ่งล้ำค่าที่พี่สี่กล่าวจะอยู่ใต้สระบัวจริงหรือไม่ เมื่อสิ้นเสียงตอบตกลงของนาง เด็กสาวตัวน้อยก็ถอดรองเท้าและเสื้อคลุมของตนออกเตรียมจะลงไปในสระบัว "ช...ช้าก่อน!"เด็กชายตัวน้อยตะโกนออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบนาง แต่ในใจของเขาก็ยังคงมีความรู้สึกเป็นห่วงนางอยู่ไม่น้อยเช่นกัน "เจ้าจะลงไปในน้ำจริงๆหรือ?" "ใช่แล้ว! ข้าจะลงไปตามหาสิ่งล้ำค่าที่ท่านพี่กล่าวถึงเมื่อครู่"
เมิ่งฉิงหน้าซีดเผือดลงในทันใด "แต่ว่าเจ้าไม่ถูกกับน้ำ..." "มิเป็นอันใด หากว่าสิ่งล้ำค่าสิ่งนั้นจะสามารถทำให้พี่สี่พอใจได้ ข้าก็ยินดี" นางพูดพร้อมส่งรอยยิ้มอันสดใสมาให้เขา "แล้วแต่เจ้า ข้าไม่ห้ามแล้ว!" เด็กชายตัวน้อยเร่งรีบฝีเท้าเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากสระบัวทันที นางว่ายน้ำก็ไม่เป็น อีกทั้งสระบัวยังเป็นสระที่ลึกมากเสียด้วย ไหนจะอาการแพ้น้ำของนางอีก ได้! ถ้าเจ้าอยากจะตายนักก็เชิญ ข้าจะได้มิต้องเปลืองแรงฆ่าเจ้าให้มาก!
ถ้าข้าเจอสิ่งล้ำค่าและนำมันไปมอบให้กับพี่สี่ พี่สี่จะต้องยอมรับตัวตนของข้าเป็นแน่ พอข้าคิดเช่นนี้แล้วข้าก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ข้าจะแพ้น้ำแล้วอย่างไร? ไม่แพ้แล้วอย่างไร? แต่มิว่าจะเป็นแบบ ไหนข้าก็จะต้องตามหาสิ่งล้ำค่าในสระบัวแห่งนี้ให้ได้ ตูมม! ซ่า...เสียงน้ำกระทบกับร่างบอบบางของเด็กสาวตัวน้อยดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจจากเด็กชายที่เดินไปได้ไม่ไกลนักได้เป็นอย่างดี"เสี่ยวหลิน!" เด็กชายตัวน้อยตะโกนร้องอย่างสุดเสียง ในใจทั้งตื่นตระหนกปนหวาดกลัว เขาคิดว่านางจะไม่กล้าลงไปในน้ำเพียงเพราะคำพูดที่เป็นเท็จของเขาเสียอีก ถ้าหากนางตายขึ้นมา ความผิดทั้งหมดก็จะตกมาที่เขาเต็มๆมิใช่หรืออย่างไร?จะทำอย่างไรดี? ใช่ว่าข้าจะว่ายน้ำเป็นเสียหน่อย กว่าจะไปตามบรรดาบ่าวไพร่มาช่วย นางคงได้จมน้ำตายไปก่อนเป็นแน่ แต่ข้าก็คงต้องไปตามคนมาช่วยนางก่อน อย่างน้อยก็ไม่ได้ถือว่าข้าปล่อยให้นางตายไปเองเสียหน่อย?
ว่าแล้วเด็กชายตัวน้อยก็รีบวิ่งไปยังที่ๆเหล่าบ่าวชายกำลังทำงานกันอยู่ด้วยความเร่งรีบ ขาเล็กๆทั้งสองข้างของเขาปวดระบมไปหมด ในใจก็แอบก่นด่าต่อว่าที่จวนของเขามันกว้างและใหญ่เกินไป"เจ้าที่ยืนอยู่ตรงนั้นน่ะ!" เด็กชายตัวจ้อยชี้นิ้วไปทางบ่าวชายรูปร่างบึกบึนคนหนึ่ง "มีอันใดหรือขอรับนายน้อย?" "เจ้ารีบตามคนไปช่วยเสี่ยวหลินเร็วเข้า ตอนนี้นางตกลงไปในสระบัวแล้ว!" "ขอรับ!" บ่าวชายทำหน้าตาเลิ่กลั่กรีบตอบรับคำสั่งของนายน้อยก่อนจะวิ่งไปตามพักพวกของตนออกมาช่วยนาง
เวลาผ่านไปราวๆครึ่งเค่อ ในตอนนี้ทั้งภายนอกและภายในของจวนสกุลจางกำลังชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด บ้างก็วิ่งไปตามหมอ บ้างก็พากันวิ่งไปที่สระบัว ในขณะนั้นเองก็ได้มีรถม้าสองคันหยุดอยู่ที่หน้าจวนสกุลจาง คันหนึ่งเป็นท่านแม่ทัพผู้เลื่องชื่อและฟูเหรินสกุลจางนั่งอยู่ภายใน ส่วนอีกคันเป็นจางมี่อิงและจางมี่จิงนั่งอยู่ภายใน เสียงเอะอะโวยวายดังไปทั่วทั้งจวน ทำให้ผู้เป็นนายทั้งสี่คนในรถม้าอดที่จะสงสัยกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้านี้ไม่ได้"นี่มันเกิดอะไรขึ้น? อี๋เฉิน" อี๋เฉินคือหนึ่งในทหารเฝ้ายามหน้าจวนผู้รู้เหตุการณ์ภายในจวนที่วุ่นวาย
เมื่อผู้เป็นเจ้าของชื่อได้ยินเสียงเรียกถามจากนายของตน ร่างของชายหนุ่มที่กำยำก็พลันได้สติและรีบรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในจวนให้ผู้เป็นนายทราบ "เรียนนายท่าน คุณหนูห้า เอ่อ..." "เกิดอันใดขึ้นกับหลินเอ๋อร์?" "เอ่อ...คุณหนูห้าจมน้ำที่สระบัวขอรับ" อี๋เฉินกล่าวตอบผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงที่ลนลาน "แล้วพี่เลี้ยงของนางเล่า? เหตุใดจึงไม่คอยติดตามรับใช้นาง!?"
"เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับท่านพ่อ?"เสียงของมี่อิงและมี่จิงประสานขึ้นมาพร้อมกันด้วยความใคร่รู้ ผิดกับฟูเหรินสกุลจางที่นั่งเงียบขรึมอยู่ภายในรถม้าโดยมิพูดมิจา สีหน้าคล้ายกังวล คล้ายมิกังวลสลับกันเป็นครั้งคราว "น้องห้าจมน้ำ! จิงเอ๋อร์ เจ้าเชี่ยวชาญด้านศาสตร์แพทย์ใช่หรือไม่? เจ้ารีบไปดูอาการของน้องเสียหน่อยเถิด" "ขอรับ" สิ้นเสียงคำตอบรับจากมี่จิง ร่างสูงโปร่งวัยสิบแปดปีก็เดินเข้าไปในจวนด้วยความร้อนรน ทุกคนในจวนต่างรู้กันดีว่าคุณหนูห้ามีอาการแพ้น้ำ เวลาจะใช้อาบหรือดื่มจะต้องต้มให้เดือดและพักจนน้ำอุ่นลงเสียก่อน อาการแพ้น้ำของนางนั้นร้ายแรงมาก ครั้งหนึ่งที่นางเผลอไปโดนน้ำค้างก็เกือบคร่าชีวิตของนางไปแล้ว
เมื่อจางมี่จิงวิ่งไปถึงสระบัวก็พบว่ามีบ่าวชายผู้หนึ่งนำร่างของผู้เป็นน้องสาวของตนขึ้นมาจากสระบัวได้แล้ว เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทั่วบริเวณ ข้างๆร่างของนางนั้นมีน้องสี่นั่งเฝ้าอยู่เคียงข้าง เด็กชายตัวน้อยมีสีหน้าที่ตื่นตระหนกและรู้สึกผิดปนเปกันไป ดวงตาสีนิลมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา บรรยากาศตรงหน้าพลันโศกเศร้าและหนาวเหน็บขึ้นมาทันใดร่างสูงโปร่งสมชายชาตรีเดินเข้าไปยังร่างของเด็กสาวตัวน้อยที่นอนแน่นิ่ง เขามองไปที่ดวงหน้าจิ้มลิ้มที่ตอนนี้ซีดขาวไปหมด ร่างของนางเปียกปอนไปทั่วทั้งร่าง เขาไม่ได้ยินเสียงแม้กระทั่งลมหายใจของนาง ตามร่างกายของเด็กสาวได้ปรากฏผดผื่นคันขึ้นมาเต็มร่าง อาการแพ้ของนางกำเริบตอนอยู่ในน้ำ บัดนี้อาการแพ้ก็ยังมิหายไป
เด็กชายตัวเล็กเงยหน้ามองผู้เป็นพี่ชายของตน พลางพุ่งตัวเข้าไปกอดขาของเขา"พี่รอง เป็นความผิดของข้าที่ทำให้นางตาย! เป็นความผิดของข้า!" "..." จางมี่อิงไม่ได้กล่าววาจาใดๆออกมา เพียงแต่จ้องมองร่างของเด็กสาวด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ เขาช้อนร่างบอบบางขึ้นมาไว้แนบอก ร่างที่เย็บเยียบของนางกำลังบีบหัวใจของเขาให้เจ็บปวด ร่างสูงค่อยๆเดินไปยัง'เรือนดอกเหมยสีชาด' เรือนที่น้องสาวของตนเป็นเจ้าของ ก่อนจะจากไป ร่างสูงได้ทิ้งคำพูดเอาไว้ประโยคหนึ่ง คำพูดนั้นแผ่วเบาและลอยมาตามสายลม "หากเจ้ารู้ตัวว่าทำให้นางตาย เจ้าก็จงไปสารภาพผิดต่อหน้าท่านพ่อของเจ้าเถิด" ถึงแม้ว่าจะบางเบาจนบ่าวไพร่รอบข้างไม่ได้ยิน แต่ทว่าตัวของเด็กชายนั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจน ร่างของเด็กชายทรุดนั่งลงทันที จู่ๆขาของเขาก็ไม่มีแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งร่างสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัวและความกดดัน เรือนดอกเหมยสีชาด "จิงเอ๋อร์ อาการของหลินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?" ชายอายุสี่สิบกว่าปีกล่าวถามบุตรชายคนรองของตนขึ้นมา ถึงเขาจะรู้ดีว่านางตายจากไปแล้ว แต่ทว่าก้นบึ้งหัวใจของผู้เป็นบิดาก็ยังคงมีความหวังอันน้อยนิดว่านางจะฟื้นคืนมา "ท่านพ่อ ท่านสงบจิตใจเอาไว้เสียหน่อยเถิด เดี๋ยวน้องรองจะเสียสมาธิเอาได้" จางมี่อิงกล่าวเชิงห้ามปรามกับผู้เป็นบิดา เขาเองก็หวังว่าน้องห้าจะต้องฟื้น แต่ก็ไม่อยากรบกวนขั้นตอนการรักษาของน้องรองเช่นกัน "..." จางมี่จิงส่ายหน้าไปมาเบาๆ นิ้วเรียวยาวที่เคยจับจุดชีพจรก็ค่อยๆคลายแรงออกทีละน้อย
"ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ชีพจรของนางก็ยังเต้นอยู่บางเบาเท่านั้น ตอนนี้ข้าจะยับยั้งอาการแพ้น้ำของนางก่อน" จางมี่จิงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด ก่อนจะเอ่ยให้บ่าวรับใช้ไปตระเตรียมสมุนไพรและตัวยาตามที่เขาจดไว้ในใบสั่งยา ในตอนนี้ ภายในเรือนดอกเหมยสีชาดเริ่มเงียบสงบขึ้นมา ร่างของคนสูงศักดิ์ทั้งห้าต่างมองหน้ากันไปมา มิพูดมิจาสิ่งใด สายตาของทั้งสี่ต่างมองไปทางเด็กชายวัยสิบปีด้วยสายตาคาดโทษ เด็กชายตัวน้อยเมื่อรับรู้ถึงสายตาเหล่านั้นก็ตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ทั้งๆที่เป็นช่วงวสันตฤดู อากาศก็เย็นสบาย แต่เหตุไฉนเขากลับรู้สึกร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก
เหงื่อเม็ดเล็กๆค่อยๆผุดขึ้นตามดวงหน้า สีหน้าของเด็กชายตอนนี้ไม่สู้ดีนัก"ลูกขอโทษ ท่านพ่อ!"เด็กชายตัวน้อยรีบคุกเข่าก้มหัวกระแทกพื้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างแรง ร่างของเขาสั่นเทาด้วยความเกรงกลัว หยาดน้ำตามากมายไหลรินอาบพวงแก้มน้อยๆของเด็กชาย "หยุด! ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้!" เสียงดุที่ดังสนั่นเรือนของผู้เป็นบิดาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามและแฝงไปด้วยโทสะที่มากล้น ผู้คนทั้งรอบข้างและภายนอกเรือนต่างตกอกตกใจไปตามๆกัน
ร่างสูงใหญ่ก้มมองร่างของเด็กชายผู้เป็นบุตรของเขาเอง ดวงตาฉายแววสับสน ผิดหวังและไม่เข้าใจ ถึงเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าเด็กตัวเล็กๆก็มีความอิจฉาริษยาเรื่องความรักจากครอบครัวได้เช่นกันก็ตาม แต่เขาไม่อยากจะเชื่อว่าบุตรชายคนที่สี่ของเขาจะพยายามฆ่าน้องสาวของตัวเอง "เจ้า...พยายามจะฆ่าหลินเอ๋อร์จริงหรือ?" "แน่นอนว่าย่อมไม่จริง!" เด็กชายตัวเล็กตอบด้วยน้ำเสียงที่ลนลานพร้อมส่ายหน้าไปมา มือเล็กๆของเด็กชายค่อยๆปาดเช็ดคราบน้ำตาที่แก้มของตนออกแล้วจึงกล่าวต่อ "มันเป็นเพียงอุบัติเหตุจริงๆนะขอรับ!" "เจ้าคิดว่าความผิดจะตกไปอยู่ที่ผู้ใดกันเล่า? ...เป็นพี่เลี้ยงของพวกเจ้าผิดที่ไม่มาดูแลปรนนิบัติพวกเจ้าให้ดีใช่หรือไม่?" "เอ่อ....ลูก...." "ไปนำตัวพี่เลี้ยงมา!" "ขอรับ! /เจ้าค่ะ!" เสียงตอบรับคำสั่งของบ่าวชายและหญิงดังขึ้นพร้อมกับพากันเดินไปยังเรือนพักของผู้เป็นพี่เลี้ยงของบุตรคนที่สี่ "ท่านจะทำอะไรหรือขอรับท่านพ่อ?" "เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รับรู้เอง"
เวลาผ่านมาหนึ่งเค่อประตูเรือนปรากฏร่างของบ่าวหญิงชายและสตรีนางหนึ่งวัยสิบห้าปี นางมีสีหน้าตกใจและสงสัยปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนเหตุใดนายท่าน ฟูเหรินและคุณชายทั้งสองจึงมาอยู่ที่เรือนของคุณหนูกัน? "เรียกบ่าวมา มีธุระอันใดหรือเจ้าคะนายท่าน?" สตรีผู้เป็นพี่เลี้ยงเอ่ยถามท่านแม่ทัพด้วยความสงสัย "เหตุใดเจ้าจึงปล่อยให้บุตรทั้งสองของข้าไปวิ่งเล่นที่สระบัวโดยไม่มีผู้ใดติดตามไปดูแล!?" สิ้นเสียงตวาด ผู้เป็นพี่เลี้ยงถึงกับตกใจกลัวและก้มหมอบโดยทันที ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายสี่และคุณหนูน้อย แต่นางก็ต้องพึงระวังการกระทำและวาจาให้ดี มิเช่นนั้นหัวของนางคงได้หลุดออกจากบ่าเป็นแน่
"เอ่อ...ข้าน้อย...คุณชายสี่บอกให้ข้าน้อย..." "บังอาจ! เจ้ากล้าให้ร้ายบุตรชายข้ารึ?" "ข...ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าน้อยเพียงจะพูดความจริงออกมา" "เจ้าปล่อยปละละเลยหน้าที่ในการดูแลบุตรชายและบุตรสาวของข้า บุตรสาวของข้าได้ตกลงไปในสระบัว อาการสาหัสปางตาย เช่นนี้แล้ว...ความผิดนี้ผู้ใดสมควรได้รับ?" "เป็นข้าน้อยที่ผิดเองเจ้าค่ะ! ข้าน้อยสมควรตายที่ปล่อยปละละเลยคุณหนูและคุณชาย" ร่างของบ่าวสาวรีบก้มหัวลงพื้นเสียงดัง ส่งผลให้ศรีษะของนางแตกเลือดไหลอาบดวงหน้าเป็นทางยาว เด็กชายตัวน้อยตระหนกตกใจและกลัวว่าพี่เลี้ยงผู้นี้อาจจะได้ตายเป็นรายต่อไป จึงได้ยอมสารภาพความจริงแก่ผู้เป็นบิดาเสียหมดเปลือก
"ท่านพ่อ! เป็นลูกเองที่ผิด เป็นลูกที่บอกให้นางไม่ต้องติดตามพวกลูกตอนไปวิ่งเล่นเอง!" เด็กชายตะโกนสุดเสียง เขาเพียงแต่หวังว่าบทลงโทษของเขาจะลดจากหนักให้กลายเป็นเบาลงและอาจจะช่วยให้พี่เลี้ยงผู้นี้พ้นจากการเป็นแพะรับบาปแทนเขา ทันใดนั้นผู้เป็นบิดาแซ่จางก็ได้เอ่ยปากกับบุตรชายคนที่สี่ของเขา "ข้าจะส่งเจ้าเข้าไปที่คุกใต้ดินของตระกูลที่ลึกที่สุดเป็นเวลาห้าปี หลังจากนั้นข้าจะมอบเจ้าให้แก่สำนักฝึกวิชา!" สิ้นวาจาถ่ายทอดบทลงโทษ เด็กชายตัวน้อยถอนหายใจยาวๆออกมา ในอกรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยคุกที่ต้องไปอยู่ก็ยังคงเป็นของตระกูลจาง เวลาเพียงแค่ห้าปีเขาอดทนได้สบายๆอยู่แล้ว ขอบคุณที่บิดาไม่ได้มอบบทลงโทษที่โหดร้ายให้เขา ขอบคุณท่านมากจริงๆ... "จากนี้อีกห้าปี ห้ามผู้ใดเข้าเยี่ยม ส่งอาหารให้สามมื้อ ไม่ขาดและไม่เกิน นำตัวเขาไป!!!!" "ขอรับ!!!!" ทหารยามที่อยู่บริเวณนั้นรีบเข้ามานำตัวคุณชายสี่ไปยังคุกใต้ดินที่ลึกที่สุดของตระกูลทันที