ตอนที่ 1 ไปอยู่กับฉันไหม

1896 คำ
เสียงลมหายใจหอบกระชั้นดังฝ่าความมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใดในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ อวัยวะเบื้องต่ำกระทบผืนดินแตกระแหงในจังหวะถี่รัว เด็กสาวอายุเพียง 18 ปี ผมเผ้ารุงรัง เหงื่อกาฬไหลท่วมตัวผสมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อนองเต็มใบหน้าเปรอะเปื้อนมอมแมมแทบดูไม่ได้ เธอเม้มปากแน่นกลั้นเสียงสะอื้นจากความเจ็บปวดที่ได้รับบริเวณฝ่าเท้าเปลือยเปล่าที่แตกยับจากการวิ่งหนีใครบางคนอย่างไม่คิดชีวิต แสงสว่างเป็นดวงๆ ลอยอยู่ด้านหน้าไม่ไกลจากจุดที่เธออยู่นัก จึงกลั้นใจฝืนทนต่อความเจ็บแสบปวดแปลบแล้วใช้แรงเฮือกสุดท้ายพุ่งทะยานไปข้างหน้าตามแสงไฟที่ลอดผ่านแนวพุ่มไม้นั้น อีกนิด อีกเพียงนิด ในที่สุด..เธอพุ่งตัวพ้นแนวพุ่มไม้ขนาดใหญ่ แสงไฟบนท้องถนนสว่างวาบขึ้นตรงหน้าพร้อมกับเสียงห้ามล้อดังสนั่น คนตัวบางที่น้ำตาไหลอาบแก้มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขาเรียวไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขยับไปไหนอีกแล้ว จึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาบังแสงไฟ ก่อนความสว่างวาบนั้นจะถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดราวกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ไม่มีผิดพร้อมๆ กับสติสัมปชัญญะสุดท้ายของสาวน้อยผู้แสนโชคร้ายนี้จะวูบดับลงไป “เห้ยยยยย” ชายหนุ่มหล่อเหลาเรือนร่างใหญ่โตที่อยู่เบื้องหลังพวงมาลัยรถยนต์คันหรูราคาแพงที่การันตีสมรรถนะในการขับขี่ร้องลั่น เมื่ออยู่ๆ ก็มีผู้หญิงตัวบางๆ วิ่งทะเล่อทะล่าออกมายืนขวางหน้ารถของเขาในระยะไม่ไกลนัก เขาเหยียบเบรกและประคองพวงมาลัยเพื่อหักหลบไปอีกเลนหนึ่งของถนนขนาดเล็กนอกเมือง โชคดีเหลือเกินที่เวลานี้ไม่มีการสัญจรขวักไขว่เหมือนช่วงหัวค่ำจึงไม่มีรถสวนมาให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำ รถยนต์สัญชาติยุโรปสมรรถนะดีเยี่ยมหยุดตัวเองลงได้หลังจากต้องไถลเปลี่ยนเลนไปไกล ผู้ชายที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วรีบมองกระจกหลังเพื่อดูว่าผู้หญิงที่เห็นเมื่อครู่ยังมีตัวตนอยู่ไหม ก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนน จึงรีบขับรถกลับมาอยู่ในเลนปกติของตัวเองแล้วขยับเข้าจอดชิดริมขอบทาง ก่อนจะรีบวิ่งไปดูคนที่นอนอยู่กับพื้นถนนนั้นอย่างรวดเร็ว “คุณ คุณครับ คุณ” เขากวาดสายตามองหาร่องรอยบาดแผลแล้วคลำหาชีพจรก็พบว่าเธอยังมีสัญญาณชีพปกติ และไม่มีร่องรอยการถูกเฉี่ยวชน คาดว่าน่าจะตกใจจนเป็นลมเสียมากกว่า ดวงตาคมกริบกวาดมองโดยรอบบริเวณอีกครั้ง ก็ไม่อาจทำใจเย็นโทรเรียกรถโรงพยาบาลมารับผู้หญิงคนนี้ได้ เพราะบริเวณนี้คือถนนเลี่ยงเมืองที่ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่มีบ้านผู้คน จึงไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่จะมีผู้หญิงไม่ใส่รองเท้าวิ่งทะเล่อทะล่าออกมาจากชายป่าข้างทางจนเกือบจะโดนรถชนแบบนี้ เมื่อประเมินจากสถานการณ์แล้วว่าน่าจะมีอันตรายมากกว่าปลอดภัย จึงรีบอุ้มผู้หญิงตัวบางที่ร่างกายเบาดุจปุยนุ่นเข้าไปในรถของตัวเองแล้วรีบขับออกจากบริเวณนี้ด้วยความรวดเร็วทันที ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดปรือขึ้นมาทีละนิด จนเบิกกว้างแล้วลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจสุดขีด “กรี๊ดดดดดดด” นี่คือเสียงแรกที่เล็ดลอดออกมาหลังจากเหตุการณ์เฉียดตายที่ผ่านมาทั้งหมด คนตัวบางหลับหูหลับตากรีดร้องและนั่งกอดเข่าตัวสั่นสะท้าน ประตูห้องพักถูกเปิดเข้ามาพร้อมด้วยชายหนุ่มในชุดกาวน์พุ่งตัวมากอดกระชับเธอเอาไว้ “ไม่ต้องร้อง ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว” สาวน้อยที่ดูแสนเปราะบางราวตุ๊กตากระเบื้องค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากอ้อมกอด มองเขาด้วยดวงตาสั่นระริกดั่งนกน้อยหลงทางดูน่าสงสารจนใจแกร่งกระตุกวูบ “ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว จำเบอร์โทรของครอบครัวได้ไหม ฉันจะโทรให้มารับเธอกลับบ้าน” “มะ ไม่ค่ะ คุณหมออย่าบอกใครนะคะ หนูขอร้อง” คนตัวบางละล่ำละลักปฏิเสธความหวังดีของหมอหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร โชคดีเหลือเกินที่เธอไม่มีเอกสารแสดงตัวใดๆ ติดอยู่กับตัวเลย ไม่อย่างนั้น ป่านนี้คนใจร้ายนั่น ต้องมาลากเธอกลับไปขายชายแดนอีกรอบแน่ๆ “ทำไม มีอะไร บอกฉันได้นะ ฉันเป็นคนที่เธอวิ่งมาตัดหน้ารถเมื่อคืนนี้และเป็นคนพาเธอมารักษาเอง เธอไว้ใจฉันได้ ฉันจะไม่ทำร้ายเธอ หรืออยากให้ฉันแจ้งความเรียกตำรวจมาร่วมรับฟังปัญหาของเธอด้วยก็ได้” “มะ ไม่ต้องค่ะคุณหมอ หนะ หนู หนูไม่ต้องการกลับไปอยู่ที่บ้านอีก ขอร้อง อย่าบอกคนที่บ้านหนูเลยนะคะว่าหนูอยู่ที่นี่” “เกิดอะไรขึ้นกับเธอ” คนตัวบางห่อไหล่ลู่ลงจนน่าสงสาร เธอมองเขาด้วยแววตาลังเล ไม่แน่ใจว่าจะไว้ใจชายแปลกหน้าคนนี้ได้หรือเปล่า แม้ว่าเขาจะคือคนที่ช่วยชีวิตของเธอก็ตามที “บอกฉันได้ แล้วเธอจะปลอดภัย ฉันสัญญา” เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ แล้วพรั่งพรูเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของเธอฟัง “หนูหนีออกมา น้าจิน แม่เลี้ยงของหนู ขายหนูให้กับเจ้าของบ่อนที่น้าจินติดหนี้ มันกำลังจะเอาหนูไปขายที่ชายแดน แต่หนูหนีออกมาจากรถตอนที่พวกมันลงไปฉี่ข้างทาง” “ถึงว่า เธอวิ่งออกมาที่ถนนทั้งๆ ที่ไม่มีรองเท้า รู้ไหมเท้าเธอแตกยับเลย แล้วพ่อของเธอล่ะ เขาอาจจะไปแจ้งความแล้วก็ได้นะ” “พ่อหนูเสียไปหลายเดือนแล้วค่ะ พอพ่อเสีย แม่เลี้ยงก็ติดการพนัน” “แจ้งความไหม ฉันจัดการให้” “ไม่ค่ะ คุณหมอไม่รู้หรอก ว่าเจ้าของบ่อนนั่นมีอิทธิพลขนาดไหน ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นหน้าหนู แต่ถ้าเขารู้ว่าหนูแจ้งความ เขาต้องตามมาฆ่าหนูแน่ๆ หนูต้องการให้คนพวกนั้นคิดว่าหนูตายหรือหายสาบสูญไปแล้ว หนูจะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ไม่กลับไปเจอหน้าคนพวกนั้นอีก” “แล้วเธอจะทำอะไร มีญาติพี่น้องคนอื่นอีกหรอ” “มะ ไม่มีค่ะ หนูไม่มีใครแล้ว” คนตัวบางก้มหน้าลง ความสะเทือนใจกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาใสๆ ไหลอาบใบหน้านวลที่ต่างจากเด็กมอมแมมเมื่อคืนราวฟ้ากับดิน หมอหนุ่มรูปหล่อถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความสงสารคนตัวบางที่มีชะตาแสนอาภัพ มือใหญ่ทั้งสองข้างจับใบหน้าเรียวๆ นั้นให้เงยหน้าขึ้นมามองเขา แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยหยาดน้ำตานั้นจนแห้งสนิท ดวงตาคมกริบกวาดมองใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตหวานฉ่ำ คิ้วถูกกันแต่งเป็นทรงสวย จมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงเรื่อ ผิวพรรณขาวผ่องราวน้ำนม เรือนร่างบอบบางแต่อวบอิ่มไปด้วยวัยสาวที่เขาได้เห็นมาแล้วเพียงชั่ววินาที เมื่อคืนตอนที่เหล่านางพยาบาลตรวจร่างกายของเธออย่างรีบเร่งก่อนที่หมอผู้หญิงที่ถูกตามตัวอย่างเร่งด่วนจะมาถึง จึงหมดหน้าที่ของหมอผู้ชายอย่างเขา เขายืนรอหมอผู้หญิงตรวจร่างกายของเธออย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมอยู่ด้านหลังผ้าม่าน ใจแกร่งเต้นระทึกระหว่างรอลุ้นผลการตรวจร่างกายบอบบางขาวโพลนนั้น แล้วก็ต้องลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อหมอที่ทำการรักษาเดินออกมารายงานผลว่าเธอตกใจจนช็อกและเป็นลมหมดสติไป แถมร่างกายยังอ่อนเพลีย มีแผลแตกที่เท้า ส่วนร่างกายส่วนอื่นๆ ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไรและที่สำคัญไม่มีร่องรอยการถูกล่วงละเมิด “ไม่มีใคร ก็อยู่กับฉัน ฉันจะดูแลเธอเอง” “คุณหมอ..” “ฉันชื่อน่านฟ้า เรียกหมอน่านก็ได้ แล้วเธอล่ะชื่ออะไร อายุเท่าไหร่” น่านฟ้า อธิพัฒน์โภคิน หมอหนุ่มวัย 30 ปี เจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งนี้ส่งยิ้มอบอุ่นให้ลูกนกปีกหักตรงหน้า คนตัวบางมองสบตากับชายหนุ่มรูปหล่อที่กำลังส่งยิ้มอ่อนให้กับเธอด้วยหัวใจเต้นระรัว ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตาคมกริบสีดำขลับ คิ้วเข้มดกดำ จมูกโด่งจัด ริมฝีปากหยักได้รูปสีแดงสดราวกับผลเชอร์รี่ คางเหลี่ยมกำลังดีรับกับสันกรามโค้งมน ผมรองทรงไถข้างสั้นแสกกลางปล่อยปลายผมลงมาปรกหน้าผาก ภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวสะอาด เขามีรูปร่างสูงใหญ่ผิวพรรณขาวจัดเนียนละเอียดราวผิวเด็กยิ่งทำให้เขาดูหล่อเหลากร้าวใจ “หนูชื่อมะลิ อายุ 18 ปีค่ะ” มะลิ ชื่อช่างเหมาะสมกับตัว ผิวพรรณที่ขาวผ่องหอมกรุ่นด้วยวัยสาวของเธอ แถมท่าทางบอบบางราวกับกลีบของดอกมะลินั่นช่างเหมาะสมกับเจ้าของชื่อจริงๆ “ว่าไง ตกลงจะไปอยู่กับฉันไหม มะลิ ฉันจะส่งเธอเรียนเอง” “แล้วครอบครัวหมอน่านไม่ว่าเอาหรอคะ หนู..” “คิดมาก ไม่มีใครว่าอะไรหรอก พ่อกับแม่ฉันใจดี” สาวน้อยครุ่นคิดอีกครั้ง เพราะไม่อยากที่จะเป็นภาระของใคร แต่จะให้เด็กอายุ 18 อย่างเธอที่ไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้วมีชีวิตรอดในสังคมต่อไป มันเป็นไปไม่ได้เลย “ก็ได้ค่ะ หนูจะไปอยู่บ้านหมอ ขอบคุณมากนะคะ ถ้ามีอะไรที่หนูตอบแทนหมอได้ขอให้หมอรีบบอกมาเลยค่ะ หนูยอมทำทุกอย่าง” “ทุกอย่างเลยหรอ” คนหล่อเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตาที่มองสบกับสาวน้อยสว่างวาบขึ้นชั่ววินาที ก่อนจะมอดดับลงเป็นปกติดังเดิมโดยที่เธอไม่ทันได้เห็น “ค่ะ ทุกอย่าง เพราะหมอช่วยชีวิตหนูเอาไว้ ไม่อย่างนั้นหนูอาจจะถูกพวกมันฆ่าตาย หรือไม่ก็ถูกส่งไปขายกลายเป็นโสเภณีที่ชายแดน หนูติดหนี้บุญคุณหมอ ต่อให้ยากเย็นแค่ไหน ถ้าหมอต้องการ หนูก็จะทำให้ค่ะ” “หึหึ เอาไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนี้ฉันยังคิดไม่ออกว่าต้องการอะไร ไว้ถ้านึกได้ จะบอกเธอแล้วกันนะ” “ค่ะ ขอบคุณหมอมากค่ะ” สาวน้อยตัวบางยิ้มหวาน ก่อนจะพนมมือก้มลงไหว้ผู้มีพระคุณอย่างนอบน้อมสวยงามตามที่คนเป็นพ่อได้สั่งสอนมา มันน่าเอ็นดูจนหมอหนุ่มต้องส่งมือไปลูบศีรษะทุยนั้นเบาๆ “อุ๊ย ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าหมอจะอยู่ในห้อง” นางพยาบาลสาวสวยเดินเข้าห้องมาพร้อมเสื้อผ้าคนไข้ชุดใหม่และรถเข็นใส่อาหาร “อืม พอดีผมมาดูคนไข้น่ะ ยังไงฝากด้วยแล้วกันนะครับ ผมมีไปดูคนไข้ห้องอื่นอีก ฉันไปก่อนนะมะลิ เดี๋ยวค่ำๆ จะแวะมาดูอีกรอบ” “ขอบคุณมากค่ะ หมอน่าน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม