บทที่ ๓ เว่ยจิ่นอิ่ง(๓)

1729 คำ
ทันทีที่เห็นพระชายากลับออกจากเขตหวงห้ามได้อย่างปลอดภัย เสี่ยวจือถึงกับยกมือไหว้ขอบคุณสวรรค์รวมถึงเหล่าบรรพบุรุษแล้วรีบตามเสด็จพระชายากลับห้องบรรทมภายในตำหนักกลางอย่างเร่งรีบ เพียงปิดประตูได้ก็คุกเข่าลงทันที “พระชายาเพคะ หม่อมฉันขอร้องท่านเถิด อย่าทำอะไรวู่วามเหมือนวันนี้อีกได้หรือไม่” “ทำไมล่ะ ข้าไปที่ห้องหนังสือของท่านอ๋องไม่ได้หรือ” เสี่ยวจือคลานเข่าเข้ามาใกล้ บอกด้วยเสียงกระซิบ “หม่อมฉันได้ยินมาว่า ห้องหนังสือนั้นเป็นเขตต้องห้าม แม้แต่องค์ชายพระองค์อื่นยังไม่สามารถเสด็จเข้าไปได้เลย ภายในนั้นมีกลไกอันตรายมากมายเลยนะเพคะ ถ้าเกิดท่านเป็นอะไรขึ้นมาต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ” “กลไกหรือ” ฟังแล้วเซี่ยอิงลั่วก็ขมวดคิ้ว ในนั้นไม่เห็นจะมีกลไกอะไรเลย มีแต่คัมภีร์อักษรเป็นม้วนกับหนังสือหลายเล่มเต็มไปหมด บนโต๊ะของท่านอ๋องเท่าที่ลอบสังเกตนอกจากกระดาษแผ่นใหญ่ กับพวกแท่นฝนหมึก พู่กันแล้วทุกอย่างก็ดูเป็นระเบียบยิ่ง ครั้นถูกคนสนิทจ้องมากๆ จึงยิ้มบอก “ไม่มีอะไรสักหน่อย ก็แค่ห้องหนังสือธรรมดาๆ เท่านั้นเอง” “ถ้าธรรมดาจริง จะเป็นเขตต้องห้ามหรือเพคะ” “นั่นสิ” อดเห็นด้วยไม่ได้ แต่ปากก็ยังกล่าวแย้ง “แต่ว่าถ้าหวงห้ามจริงข้าจะเข้าไปได้อย่างไรเล่า” “นั่นสิเพคะ” ครานี้เสี่ยวจือเห็นด้วยแต่ก็ยังคงระมัดระวังเอาไว้ “แต่ถึงยังไงหม่อมฉันขอร้อง อย่าเสด็จไปที่นั่นอีกเลยนะเพคะ” ความดื้อรั้นที่ติดมาแต่ชาติปางก่อนอยากจะสั่งให้ เซี่ยอิงลั่วปฏิเสธเหลือเกิน แต่พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องหนังสือแล้วจึงรีบพยักหน้าหงึกหงัก “เอาล่ะ เจ้าลุกขึ้นได้แล้ว ข้าไม่ไปที่นั่นอีกแน่นอน” “ถ้าอย่างนั้น พระชายากลับมาทำหน้าที่ของตนเองดีหรือไม่” “หน้าที่...หน้าที่อะไรกัน” “ก็หน้าที่ของพระชายาอย่างไรล่ะเพคะ ก่อนหน้านี้ท่านกงกงก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าพระชายาต้องจัดการงานต่างๆ ภายในวัง แล้วเรื่องสินเดิมของพระชายาอีก ยังไม่ได้จัดแจงให้เรียบร้อยเลยนะเพคะ ยังมีขนบธรรมเนียมของวังอู่เทียน แล้ว หมัวมัวจากวังกลางก็ตามพระชายามาสอนขนบธรรมเนียมของวังหลวงเพื่อเตรียมตัวเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับฮองเฮา ยังมี...” “พอ” รีบยกมือห้ามก่อนเสี่ยวจือจะสาธยายอะไรไปมากกว่านี้ นางอายุสิบหกเองนะ เด็กสิบหกไม่ใช่ยังเที่ยวเล่นหรอกหรือจะให้มาทำงานอะไรนักหนา อ้อ! ลืมไปว่านี่มันยุคโบราณ สตรีอายุเท่านางต้องแบกรับหน้าที่เอาไว้มากมายแล้ว บางคนยังเป็นฮูหยินตั้งแต่อายุสิบเอ็ดสิบสองด้วยซ้ำ คิดถึงสิ่งที่ตนเองต้องเผชิญร่างกายพลันอ่อนปวกเปียกเอนลงกับเตียงนอนด้วยท่าทีหมดแรง สิ่งที่นางเป็นในตอนนี้นอกจากปวดหัวแล้วก็ยังคงเป็นการปวดหัวเช่นเดิม “พระชายา” เสี่ยวจือเรียกด้วยความเห็นใจ แต่ก่อนคุณหนูของนางไม่เคยเป็นเช่นนี้เลยสักนิด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังเป็นบุปผาที่ยืนหยัดท่ามกลางพายุฝน จะทิ้งตัวลงด้วยท่าทางสิ้นสภาพเช่นนี้หามีไม่ “ทรงเป็นอะไรไปเพคะ” “เรียกข้าว่าคุณหนูสิ” “ไม่ได้เพคะ” เสี่ยวจือปฏิเสธ เพราะนับตั้งแต่ผล็อยหลับไปก็ตื่นขึ้นมาในห้องขังมืดทึบ มีเพียงแสงวูบวาบจากเทียนเล่มใหญ่ที่ส่องสว่างให้เห็นแต่เพียงรางๆ เท่านั้น ความชื้น กลิ่นสาบ กับฟางที่ปูลวกๆ บนเตียงหิน รวมถึงพื้นแฉะๆ ชวนหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง และอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับการพบพานบุรุษในชุดดำผู้นั้น เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางถึงหลับอยู่ข้างประตู ความกลัวทำให้ละล่ำละลักบอกเล่าจนหมดเปลือก สุดท้ายก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เรียกคุณหนูว่าคุณหนูอีก ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องมีลิ้นไว้ใช้แล้ว ท่าทีผิดปกติของเสี่ยวจือทำให้เซี่ยอิงลั่วต้องลุกขึ้นมาเพ่งมองให้ชัดๆ “เจ้าเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า” “ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มี” “แน่ใจนะ” “แน่ใจเพคะ พระชายาอย่าสิ้นเปลืองความคิดเพราะบ่าวเลยเพคะ บ่าวไม่เป็นไรจริงๆ” ได้แต่ยกนิ้วชี้ขึ้นพลางกัดฟันสั่ง “ถ้าถูกใครรังแกเจ้าต้องบอกข้ารู้หรือไม่ เจ้าเป็นคนสนิทคนเดียวที่ข้าพามาจากบ้านเดิม ต่อให้อำนาจของผู้อื่นในวังอู่เทียนนี้มีมากเพียงใด แต่ข้าก็เป็นถึงพระชายาของจิ่นอ๋อง จะปกป้องคนผู้หนึ่งไม่ได้ก็ให้มันรู้ไปสิ” เสี่ยวจือมองด้วยตาแดงๆ แล้วคุกเข่าคำนับ “หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันจะปรนนิบัติรับใช้พระชายาด้วยชีวิต จะไม่มีวันทรยศพระชายาเด็ดขาด” มองเสี่ยวจือที่คุกเข่ากราบกรานด้วยท่าทางเทิดทูนราวกับเห็นนางเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวแล้วใจหนึ่งรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง ส่วนอีกใจไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ ส่วนบิดากับมารดาในตระกูลเซี่ยนั้นถึงอย่างไรสำหรับนางแล้วก็ยังเป็นคนอื่นอยู่ดี แถมพวกเขายังส่งนางขึ้นเกี้ยวเข้าประตูวังอู่เทียน จะให้รักใคร่เทิดทูนประดุจพ่อแม่บังเกิดเกล้าแท้ๆ ก็ยังมีใจหนึ่งคัดค้าน ชีวิตของนางต่อจากนี้นอกจากหวังพึ่งสามีผู้ได้ฉายาว่าเป็นปีศาจแล้วก็คงมีเสี่ยวจือผู้นี้กระมัง เซี่ยอิงลั่วรั้งอีกฝ่ายลุกขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้าไหมสีฟ้าของตนมาซับน้ำตาให้อย่างมีเมตตา “ข้ารู้ เจ้าดีกับข้าที่สุด จำไว้ว่าข้าเองก็จะดีกับเจ้าที่สุดเช่นกัน” “พระชายา” “เราสองคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในวังอู่เทียนนี้ด้วยกันแล้ว มาทำให้ดีเถอะนะ” “เพคะ” เสี่ยวจือพยักหน้าหงึกหงักพอน้ำตาเหือดแห้งก็รีบทูลด้วยท่าทีกระตือรือร้น “ถ้าอย่างนั้นพระชายาเรียกหมัวมัวจากในวังมาสอนขนบธรรมเนียมมารยาทดีหรือไม่ หม่อมฉันไม่นึกเลยว่าพลัดตกน้ำไปในคราวนั้นจะทำให้กิริยาท่าทางของ พระชายาเปลี่ยนไป เรียนรู้อีกครั้งอาจจะทำให้กลับมาเรียบร้อยดังเดิมก็ได้นะเพคะ” ฟังแล้วเซี่ยอิงลั่วก็ได้แต่หัวเราะเหอะๆ อยู่ในลำคอ ที่พฤติกรรมนางแปลกประหลาดไปหาใช่เพราะพลัดตกน้ำไม่ เป็นเพราะวิญญาณในร่างนี้ไม่เหมือนเดิมต่างหาก แต่จะบอกใครได้บ้างเล่าว่าผู้อยู่ในร่างนี้คืออรัญญิกา สาวน้อยมัธยมปลายที่แสนจะโง่เง่า เรียนได้ที่โหล่ วันๆ ไม่อ่านหนังสือ เอาแต่ออกไปเดินห้างฯ เล่นเกม ถูกทุกคนตราหน้าว่าเป็นเด็กใจแตก ที่ผ่านมาสามารถวางท่าทีสงบเสงี่ยมให้ผู้อื่นชมได้นับว่าดีมากแล้ว ตอนนี้นางอยากจะเคาะกุลาตีไม้ไผ่แล้วเต้นจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเลย ทว่าพอนึกถึงชะตาชีวิตที่เสี่ยวจือต้องเผชิญกับตนจึงจำต้องพับเก็บความคิดนั้นไป ยอมวางตัวเป็นพระชายาผู้สูงศักดิ์ในวังแห่งนี้อย่างไม่มีทางเลือก ในขณะที่เซี่ยอิงลั่วไม่มีทางอื่นให้เลือกเดินอีก แต่สำหรับเว่ยจิ่นอิ่งแล้วยังมีอีกหลายทางให้เลือกเดิน เขาสามารถเปลี่ยนแปลงฐานะของนางจากพระชายาเอกเป็นเพียงสาวใช้ห้องข้าง หรือไม่ก็โยนหนังสือหย่าขับไล่นางออกจากวังอู่เทียนได้อย่างง่ายดายประดุจพลิกฝ่ามือ ถึงแม้บิดาของเซี่ยอิงลั่วจะเป็นถึงอัครเสนาบดีฝ่ายขวา เป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าจะป้ายความผิดใหญ่หลวงให้สักอย่างจนต้องสูญสิ้นทั้งตระกูลก็ไม่คณามือของเขาเลยสักนิด แต่ที่ยังไม่คิดจะจัดการใดๆ ก็เป็นเพราะคำรายงานของจางอี้เทา “เจ้าว่าอะไรนะ” ดวงตาขององครักษ์หนุ่มหลุบลงเล็กน้อย ขณะถวายรายงาน “ในวันที่ได้รับพระราชโองการพระราชทานสมรส พระชายาพลัดตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ” “นางพลัดตกน้ำหรือมีผู้อื่นจงใจผลักนางกัน” “กระหม่อมกำลังสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่บ่าวรับใช้ที่ติดตามพระชายาในคราวนั้นบางส่วนถูกสังหาร บางส่วนถูกขายไปยังชายแดน แม้แต่หมอที่ถูกเรียกตัวเข้ามาตรวจรักษาก็ยังปิดปากเงียบ เพราะกระหม่อมไม่กล้าเปิดเผยฐานะจึงยังไม่ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่มีเรื่องหนึ่งที่กระหม่อมมั่นใจก็คือ พระชายาไม่ได้คิดฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ” มุมปากของเว่ยจิ่นอิ่งกระตุกทันที “เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่า มีคนคิดสังหารชายาของข้าหรือ” “อาจจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” “ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะนั้นทำเอาแผ่นหลังขององครักษ์หนุ่มถึงกับเย็นยะเยือกขึ้นทันที “ตาเฒ่าเซี่ยหลิวคิดจะทำอะไรกันแน่ รีบปิดปากคนเช่นนั้นไม่ใช่ว่ากำลังปกปิดความลับอยู่หรอกหรือ” “พระองค์คิดว่าเป็นฝีมือของใต้เท้าเซี่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ” “อาจจะใช่และไม่ใช่ เรื่องนี้เจ้าต้องลงแรงมากกว่าเดิมแล้ว” เมื่อองครักษ์ข้างกายประสานมือรับคำสั่งถอยออกไป ภายในห้องหนังสือของตำหนักกลางจึงดูเงียบสงัดขึ้น หนำซ้ำผู้เป็นเจ้าของวังอู่เทียนยังมองออกไปด้านนอกด้วยแววตาลุ่มลึกเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าจะสังหารชายารักเล่นๆ สักหน่อย แต่ผู้อื่นคิดฆ่าคนของเขาเช่นนี้จะให้ปล่อยไปก็คงไม่ใช่แล้ว ดังนั้นแผนการสังหารชายารักจึงจำต้องพับเก็บ เปลี่ยนแปลงเป็นปกป้องคุ้มครองนางแทน เอาไว้อยากให้นางตายเมื่อไรค่อยลงมือก็แล้วกัน ส่วนคนเพิ่งรอดตายจากการเปลี่ยนใจของเว่ยจิ่นอิ่งน่ะหรือ ตอนนี้กำลังทำหน้าอยากจะร้องไห้เพราะคำสอนมากมายจากเหล่าหมัวมัวทั้งสี่ที่ผลัดเปลี่ยนกันพูดกรอกหู ทั้งการนั่ง การเดิน การนอน การกินการดื่มล้วนสร้างความลำบากยากเข็ญให้กับคนเกียจคร้านเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นแม้ภายนอกจะปฏิบัติตามคำสอนของเหล่าหมัวมัว แต่ภายในใจนั้นก่นด่าผู้ออกกฎระเบียบขนบธรรมเนียมวุ่นวายเหล่านี้ เรียกได้ว่าขุดรากโค่นเหง้าออกมาด่าเป็นชุดแล้วยกเท้ากระทืบไม่หยุดเลยทีเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม