เธอเข้าใจว่าเขามาพักผ่อน หลังจากสอบถามศิริวรรณแล้วได้ความว่า... เขามาอยู่ที่นี่สองสามวันแล้ว คงละอายใจเรื่องที่ทำกับเธอเอาไว้ หรือไม่ก็อยากหลบหน้า เธอกลับมาทั้งทีเขาเลยไม่คิดจะไปต้อนรับ
“เดี๋ยวดิฉันจะพาคุณไปพบค่ะ”
พนักงานสาวพูดอย่างนอบน้อมก่อนจะผายมือเชิญให้เดินตาม นิ่มอนงค์เดินตามมาอย่างเชื่องช้า ตลอดระยะทางก็ชื่นชมกับรีสอร์ทหรูหราแห่งนี้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ อยากรู้เหมือนกันว่าเขามาทำอะไรที่นี่ คนที่เป็นเจ้าของที่นี่คงรวยน่าดู ถึงได้ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยแม้กระทั่งทางเดิน
“ถึงแล้วค่ะ ท่านรออยู่ข้างในน่ะค่ะ”
นิ่มอนงค์ขมวดคิ้ว พนักงานที่นี่เรียกลูกค้าว่าท่านเลยเหรอ สงสัยเขาจะวางท่าเบ่งก้ามร่ำรวยใหญ่โตสินะ ก็เป็นอยู่สุขสบายที่ไร่ไพรวัลย์มาสิบเจ็ดปี คงต้องหาทางกอบโกยอะไรจากบิดาของเธอบ้างหรอก เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่เอาอะไรของบิดาเลย
อีกทั้งคำพูดของพนักงานต้อนรับยังบอกให้รู้ว่าเขารอเธออยู่ก่อนแล้ว คงดีใจจนเนื้อเต้นที่จะได้แต่งงานกับเธอ ถ้าไม่รอคำตอบรับก็รอคำปฏิเสธ ไม่ว่าเธอจะตอบว่าเช่นไรเขาก็มีแต่ได้กับได้ มีเธอเองที่เสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว นึกแล้วอดน้อยใจบิดาไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะนงนภัส บางทีเธออาจจะตัดใจยกทรัพย์สมบัติพวกนี้ให้สองแม่ลูกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และกลับกรุงเทพฯ ไปนานแล้ว
นิ่มอนงค์เดินเข้าไปในห้องกว้าง รอบๆ เป็นกระจกที่สามารถมองทัศนียภาพได้อย่างชัดเจน ข้างในเป็นห้องนั่งเล่นที่หรูหราที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา มีโต๊ะทำงาน โซฟาเนื้อดีและเตียงเล็กๆ สำหรับเอนนอน อีกด้านเป็นชั้นหนังสือมากมาย โดยรวมแล้วมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ดูไม่เหมือนห้องรับแขกเลยสักนิด น่าจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวเสียมากกว่า
หญิงสาวยืนอยู่กลางห้องแล้วหันมองรอบกายอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี ไม่คิดว่ารีสอร์ทที่นี่จะจัดพื้นที่เป็นส่วนตัวให้แบบนี้ เธอสรุปในใจว่าที่นี่น่าอยู่มาก แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชมอะไรมากนัก เธอกวาดสายตามองอีกครั้งเพื่อต้องการหาคนที่อยากเจอ แต่ไร้วี่แวว
“ชอบที่นี่หรือเปล่า”
“อุ๊ย!”
เสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลังทำให้นิ่มอนงค์สะดุ้ง เธอหันขวับไปมองแล้วต้องเบิ่งตากว้าง ชายหนุ่มที่กำลังประจันหน้ากับเธออยู่ในระยะแค่ไม่กี่ก้าวหล่อกระชากใจยิ่งนัก เขาสูงมากจนเธอต้องแหงนคอตั้ง ผมสีดำสนิทตัดกับดวงตาคมกริบสีเดียวกัน คิ้วเข้มพาดเฉียงเป็นปื้นทำให้ใบหน้าของเขาดูคมสัน รับกับจมูกโด่งและริมฝีปากหยักหนาสีแดงจัด ตรงคางมีรอยผ่า เธอกวาดสายตามองระเรื่อยลงมาอย่างเผลอไผล อกของเขากว้างและดูแข็งแรง ช่วงแขนที่โผล่พ้นชายเสื้อออกมามองเห็นกล้ามเป็นมัดๆ เหมือนหนุ่มสุขภาพดีที่ชอบออกกำลังกาย เขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวธรรมดา ช่วงขาเพรียว สะโพกสอบดูแข็งแรง กางเกงยีนส์สีซีดทำให้เขาดูเท่ห์ระเบิด เท้าแกร่งที่โผล่พ้นรองเท้าใส่อยู่บ้านมองเห็นเล็บเท้าขาวสะอาดตัดสั้นเรียงตัวเป็นระเบียบ
“อยากให้พี่ถอดเสื้อผ้าหรือเปล่า”
..น้ำเสียงของเขาเซ็กซี่ชะมัด เธอเบลอจนไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร
นิ่มอนงค์รู้สึกใจสั่น ลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผู้ชายคนนี้มีแรงดึงดูดทางเพศอย่างรุนแรง
“ว่าไง” เขาถามเสียงนิ่งติดจะราบเรียบไร้อารมณ์
“คะ” นิ่มอนงค์ได้สติ กะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังสื่อความหมาย เธอขมวดคิ้วมองเขาอย่างงุนงันว่าเขากำลังถามอะไร
“อยากให้พี่ถอดเสื้อผ้าหรือเปล่า จะได้ดูเต็มๆ ตา”
ประโยคต่อมาของเขาทำให้นิ่มอนงค์หน้าแดง
“บ้า” เธอแหวใส่ รู้สึกอายที่เผลอมองเขาอย่างสำรวจตรวจตรา เขาช่างเป็นผู้ชายที่มีแรงดึงดูดทางเพศมหาศาล บ้าน่า..เธอจะใจสั่นกับเขาทำไมนี่
หญิงสาวรีบสะบัดหัวตัวเองไปมา รวบรวมสติพูดเรื่องสำคัญในทันที
“ฉันมาหาคุณ มีธุระสำคัญจะคุยด้วย” เธอนึกอยากจะเขกหัวตัวเองที่พูดออกไปแล้วเสียงสั่น
“มีเรื่องอะไรกับพี่อย่างนั้นเหรอ” เขาถาม เดินไปทรุดนั่งที่โซฟาเนื้อดี ก่อนจะผายมือให้เธอ
นิ่มอนงค์นั่งลงตรงข้ามกับเขา รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ผู้ชายคนนี้เพียงแค่ทำหน้านิ่งๆ ก็ทำให้เธอใจสั่นได้แล้ว พนักงานคนเดิมเคาะประตูก่อนจะนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟและขอตัว
“ดื่มน้ำก่อนสิ แก้กระหาย” เขาเชื้อเชิญอย่างใจดี
นิ่มอนงค์มองเมิน ทำเป็นไม่สน
หล่อนพยายามตั้งใจที่จะพูด ไม่วอกแวกไปกับเสน่ห์เหลือร้ายของเขา เชิดหน้ามองสบตากับเขาไม่หลบ แต่ทำไมเธอถึงต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยล่ะ
บ้าน่า...เธอกำลังฟุ้งซ่าน
“ฉันจะมาพูดเรื่องแต่งงานกับคุณ”
“หือ...” พฤกษ์เลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ เขาไม่ได้เซ้าซี้ให้เธอรับเครื่องดื่มที่วางไว้ตรงหน้า
“คุณพ่อบอกว่าจะให้ฉันแต่งงานกับคุณ ฉันก็เลยอยากมาเจรจา”
“เจรจาว่า...ยังไงคะ”
นิ่มอนงค์ขมวดคิ้วเข้าหากัน เธอไม่ค่อยพบเจอผู้ชายพูดจาคะขาบ่อยนัก แต่ทำไมเขาพูดแล้วเธอกลับรู้สึกว่าน่ารักมีเสน่ห์ ทั้งๆ ที่เธอเสียงแข็งเรียกแทนตัวห่างเหินกับเขาทุกคำ
พฤกษ์นั่งพิงพนักโซฟาอย่างสบาย กอดอกมองหน้าเธอเหมือนผู้ใหญ่มองเด็ก นิ่มอนงค์ขยับตัวอย่างอึดอัด คราแรกเธอคิดจะมาต่อว่าเขา แล้วเสนอเงื่อนไขเรื่องแต่งงาน หากเขาอยากได้สมบัติเธอจะแบ่งให้ แต่จะแต่งงานกันในนาม พอเจอเข้าจริงๆ กลับเรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยถูก ต้องสูดลมหายใจหลายครั้งเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง
“ฉันจะมาตกลงกับคุณ เราจะแต่งงานกันแค่ในนามให้คุณพ่อสบายใจ แล้วแยกกันอยู่”
“นั่นเป็นการโกหกผู้ใหญ่ น้องนิ่มไม่สงสารคุณพ่อหรือไง หรือ...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ยินดียินร้ายจนเธอนึกหมั่นไส้
“หรืออะไร” นิ่มอนงค์เต้นตามเมื่อเห็นสีหน้ากวนอารมณ์ของเขา เธอเคยระงับอารมณ์ได้ดี แต่ทำไมอยู่ต่อหน้าเขาแบบนี้เธอได้ถึงได้ประหม่านัก
“น้องนิ่มคงจะอ่านนิยายน้ำเน่า หรือดูละครหลังข่าวเยอะไป ก็เลยมโน”
“มโน” นิ่มอนงค์ทวนคำเสียงสูง ดวงตาวาววับด้วยความโมโหที่โดนพูดยั่วโมโห เธอสูดหายใจเข้าปอดแรงลึก ระงับอารมณ์เต็มที่
“คุณอยากได้ทรัพย์สมบัติฉันก็จะแบ่งให้ ถ้าคุณตกลง เราแต่งงานกันเลย เรื่องโกหกไม่โกหก ถ้าเราไม่พูดก็ไม่มีใครรู้”
“อยากได้สมบัติขนาดนั้นเลยหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเช่นเดิม ไม่ได้ตื่นเต้นหรือแสดงอารมณ์ใดๆ กับข้อเสนอของเธอ
“เอ๊ะ! ยังไงกัน นั่นมันทรัพย์สมบัติที่ฉันควรจะได้ ลูกกาฝากอย่างคุณไม่สมควรได้มันด้วยซ้ำ ฉันแบ่งให้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” นิ่มอนงค์ขึ้นเสียง เธอผุดลุกขึ้นด้วยความโมโห “พ่อบอกว่าจะยกทรัพย์สมบัติให้คุณหมดถ้าฉันไม่แต่งงานกับคุณ คุณกับแม่นี่ร้ายกาจที่สุด ยุแยงอะไรพ่อฉันล่ะท่านถึงทำแบบนั้น” เธอชี้หน้าด่าเขาอย่างไม่เกรงใจ
“คุณพ่อพูดแบบนั้นเหรอ” คราวนี้เป็นพฤกษ์เองที่ขมวดคิ้ว เขาทำท่าจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป
สีหน้าแววตาของเขาอ่านยากจนนิ่มอนงค์นึกอึดอัด
“เธอควรเรียกพี่ว่าพี่นะ...นิ่มอนงค์ เราเองไม่ใช่คนอื่นคนไกล แทนตัวเองเสียห่างเหิน” เขาตำหนิกลายๆ
นิ่มอนงค์เชิดหน้าคอแข็ง เธอไม่เรียกเสียอย่างใครจะทำไม เขาโครงศีรษะไปมาแต่ไม่ได้ว่าอะไร กิริยาของเขาทำให้หล่อนไม่ชอบใจนัก มันยียวนกวนอารมณ์อย่างที่สุด
“อยากได้ทรัพย์สมบัติพ่อฉันขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงอยากจะแต่งงานกับฉันจนตัวสั่น แม่คุณก็ไม่ได้มีลูกมีเต้ากับพ่อฉัน จะอยากได้ไปทำไม โลภไม่มีที่สุดสิ้น อ้อ... ฉันไม่มีวันเรียกคุณว่าพี่หรอก ฉันไม่นับญาติกับคุณ จำใส่ใจเอาไว้ซะด้วย”
“อย่าก้าวร้าวแม่ของพี่ แล้วอย่าอวดดี เธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะอวดดีกับพี่นิ่มอนงค์” น้ำเสียงของเขาเยียบเย็นจนเธอลอบกลืนน้ำลาย ดวงตาของเขากร้าวขึ้นเหมือนคนไม่ชอบให้ใครขัดใจ
“อ้อ... ถือว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าละสิถึงได้พูดแบบนี้ ใช่สิ ฉันต้องมาเจรจาแทบจะกราบกรานนี่นา ทั้งๆ ที่ฉันเป็นทายาทแต่ต้องมาขอร้องลูกกาฝากอย่างคุณไม่ให้เอาสมบัติที่ฉันควรจะได้ไปหมด”