หญิงสาวส่องดูคนที่มาหาถึงห้องตรงช่องตาแมว เมื่อเห็นว่าเป็นพริมา เพื่อนสนิทที่ตนกำลังนึกถึงอยู่พอดี จึงรีบเปิดประตูให้อีกฝ่ายทันทีเพราะเจ้าตัวอุ้มลูกน้อยมาด้วย
“ยายพาย! รู้ได้ไงเนี่ยว่าฉันอยู่ห้อง เข้ามาก่อนเร็ว”
อริสาเบี่ยงตัวเปิดประตูออกกว้างเพื่อให้เพื่อนเดินเข้ามาในห้อง เมื่อ พริมาเข้ามาด้านใน และถอดรองเท้าเรียบร้อยแล้ว เธอจึงปิดประตูไว้ตามเดิม จากนั้นเดินไปเปิดประตูที่จะออกไปสู่ระเบียงห้องไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท แต่ไม่ได้เปิดประตูมุ้งลวดไว้ เพราะรู้มาว่าเจ้าตัวเล็กกำลังหัดคลาน เธอกลัวว่าหลานจะคลานไปที่ระเบียง
“มองมาแล้วไม่เห็นกุญแจห้อยไว้หน้าประตู ก็เลยรู้น่ะสิว่าแกต้องกลับมาที่ห้องแน่ เลยลองมาเคาะดู”
พริมาอุ้มลูกเดินไปนั่งบนโซฟาตัวที่อริสานอนเมื่อครู่ ผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงนั่งอีกตัว สองตาของอริสาจดจ้องพลางยิ้มให้ทารกน้อยวัยเจ็ดเดือนที่ตอนนี้นั่งมองเธอตาแป๋วอยู่ข้างมารดาของตนเช่นกัน
“พีทครับ ให้น้าทรายอุ้มหน่อยได้ไหมเอ่ย”
อริสากางแขนออกแต่ไม่ได้ทำท่าเอนตัวเข้าไปหา เพราะกลัวว่าเด็กจะตกใจ และเป็นตามคาด เจ้าตัวเล็กรีบหันหน้าไปซุกอยู่ข้างเอวผู้เป็นมารดาทันที ยังดีที่ไม่เบะปากร้อง
“เขินน่ะ เดี๋ยวนี้เขาเขินสาว ๆ เป็นแล้ว”
พริมามองบุตรชายด้วยสายตารักใคร่ มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเล็กแต่ได้รูปสวยไปมา อริสาเห็นภาพนี้แล้วอดนึกถึงตนเองไม่ได้ เพราะอีกหน่อยเวลาที่เธอไปไหนมาไหนก็ต้องมีลูกน้อยติดสอยห้อยตามไปด้วยแบบนี้ตลอดเวลาเหมือนพริมาไม่ต่างกัน
“เลี้ยงเด็กคนหนึ่งนี่...ยากไหมพาย”
เท่าที่เธอรู้ตอนนี้ พริมาลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูกเต็มตัว หน้าที่หาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวจึงเป็นเปรมณัฐ สามีของพริมา ซึ่งอีกฝ่ายทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง
เดิมทีอริสากับพริมารู้จักกันได้เพราะห้องของทั้งคู่อยู่เยื้องกัน เมื่อสองสาวพูดคุยกันหลายครั้งเข้า อีกทั้งยังอายุเท่ากันจึงทำให้เกิดความสนิทสนมเรื่อยมา ถึงขนาดที่ว่าต่างคนต่างเคยมานอนค้างห้องของกันและกัน เพื่อปรึกษาปัญหาหัวใจกันทั้งคืน จนกระทั่งพริมาแต่งงานไปก่อน แล้วเปรมณัฐย้ายมาอยู่กับพริมาที่คอนโดฯ ด้วย อริสาจึงแทบไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามในห้องของเพื่อนอีกเพราะความเกรงใจ
“ยากสิ เลี้ยงลูกคนเดียวเหนื่อยจะตาย ยิ่งช่วงเดือนแรก ๆ ฉันแทบไม่ได้หลับได้นอนเพราะต้องตื่นมาให้นมลูกตลอดทุกสองชั่วโมง”
พริมาผินหน้าออกไปมองทางระเบียงห้อง แสงที่ส่องเข้ามาจากทางนั้นทำให้อริสามองเห็นใบหน้าของเพื่อนสนิทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นร่องรอยเขียวช้ำบริเวณโหนกแก้มของอีกฝ่าย
“หน้าไปโดนอะไรมา!”
เธออดถามไม่ได้ และเพราะน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปคงห้วนไม่น้อย จึงทำให้พริมารีบก้มหน้าลงแล้วเอาผมปิดโหนกแก้มของตนเองทันที ก่อนยิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ลื่นล้มแล้วหน้าไปกระแทกกับข้าวของในห้องน่ะ เอาไว้แกมีลูกวัยกำลังคลานแล้วแกจะเข้าใจ เจ้าพีทน่ะ หยิบจับอะไรได้ก็ปาลงพื้นหมดแหละ บางทีฉันมัวแต่ทำนั่นทำนี่ไม่ทันระวังเลยเผลอเหยียบเข้า”
“งั้นเหรอ”
อริสาไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรนัก เพราะรอยช้ำแบบนั้นมันเหมือนรอยถูกชกต่อยมากกว่า
แต่แม้จะสงสัย เธอก็ไม่อยากซักไซ้ถามให้มากความ หากพริมาลื่นล้มจริงก็นับว่าดีไป แต่หากไม่ใช่ เธอเชื่อว่าอีกไม่นานก็คงได้รู้ความจริงด้วยตนเอง
สำหรับเปรมณัฐ สามีของเพื่อนนั้น อริสาไม่ได้สนิทสนมหรือพูดคุยกับอีกฝ่ายมากนัก เพราะลึก ๆ แล้วหญิงสาวยอมรับว่าไม่ค่อยชอบอีกฝ่ายเท่าไร ผู้ชายคนนี้หูตาแพรวพราว และปากหวานเกินไป เธอจึงไม่ค่อยอยากคบหาด้วยเท่าไรนัก
“ว่าแต่แกเถอะ ทำไมถึงกลับมาอยู่ห้องล่ะ แถมยังขนของกลับมาแบบนี้ด้วย”
พริมาชี้ไปยังกระเป๋าสัมภาระที่วางอยู่ข้างโซฟา อริสามองตามแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ฉันก็จะกลับมาอยู่ห้องนี้ถาวรแล้วน่ะสิ เพราะฉันเลิกกับพี่ครามแล้ว”
“หา! แกเลิกกับพี่ครามเหรอ ถามจริง ทำไมวะ ทำไมเลิกล่ะ ทะเลาะอะไรกันรึเปล่า หรือเขามีแฟนใหม่”
พริมารัวคำถามเป็นชุด สีหน้าแววตายังคงตกตะลึงพรึงเพริดราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
อริสายืดขาด้วยการวางเท้าไว้บนโต๊ะกลาง เอนศีรษะพิงพนักโซฟาด้วยท่วงท่าสบาย ๆ มุมปากยกขึ้นยิ้มเล็กน้อย
“ไม่ได้ทะเลาะกัน พี่เขาก็ไม่ได้มีแฟนใหม่...มั้ง ข้อนี้ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ...เฮ้อ มันรู้สึกเฉย ๆ เบื่อ ๆ แล้วว่ะพาย ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ก่อนหน้านี้พี่ครามคุยกับฉันเรื่องเลิกน่ะ ฉันก็เห็นด้วยนะ ถ้าต่างคนต่างหมดรักแล้วก็ทางใครทางมันดีกว่า ทนคบไปก็อึดอัดเปล่า ๆ”
พริมามองเธอด้วยแววตาเป็นห่วง
“ถามจริง ๆ เลยนะยายทราย แกเสียใจไหม”
อริสานิ่งไปครู่ใหญ่ หญิงสาวไม่กล้าพูดอะไรตอนนี้เพราะรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าว และปวดหนึบที่กระบอกตา รู้ตัวเองดีว่าหากเอ่ยปากพูดไปเสียงต้องสั่นแน่
“แกเสียใจใช่ไหมยายทราย จะร้องก็ร้องออกมาเถอะ ไม่มีใครอยู่สักหน่อย” พริมาเอ่ยเสียงอ่อน
คำพูดของเพื่อนเพียงแค่นั้น ก็ทำให้ทำนบน้ำตาของอริสาพังทลายลงทันที โดยมีเพื่อนที่แสนดีอย่างพริมานั่งอยู่เป็นเพื่อนเงียบ ๆ หยิบกล่องทิชชูวางไว้ให้หยิบใช้ได้สะดวกโดยไม่พูดอะไร
อริสาร้องไห้ไม่นานนัก กระนั้นทิชชูในมือของหญิงสาวก็ชุ่มจนแทบบีบน้ำออกมาได้ เธอหายใจเข้าลึกเพื่อกลั้นสะอื้น ก่อนจะเอ่ยออกมาสองคำที่ทำให้พริมาถึงกับอ้าปากค้าง
“ฉันท้อง!”
“ชนแก้วโว้ยชนแก้ว ฉลองความโสดให้กูหน่อยโว้ย วู้!”
ชลธีลุกขึ้นยืนพร้อมกับชูแก้วของตนขึ้นสูง เพื่อน ๆ ในโต๊ะจึงพากันลุกตามพร้อมกับชูแก้วไปชนกันจนน้ำสีอำพันเกือบกระฉอกออกมานอกแก้ว
บรรดาชายหนุ่มต่างพากันสรวลเสเฮฮา ชลธีเองก็ยิ้มร่า สีหน้าแววตาชื่นมื่นขณะนั่งลงแล้วส่งแก้วของตนให้พนักงานชงสุราให้อีก
“เมากันให้เต็มที่โว้ยเพื่อน พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ไม่ต้องไปทำงานอยู่แล้ว”
“โถ ไอ้ห่าคราม มึงจะดีใจออกนอกหน้าไปแล้ว มึงเลิกกับแฟนทั้งทีช่วยทำหน้าเสียใจสักนิดหนึ่งสิวะ”
อรรถวิทย์พูดกลั้วหัวเราะ คนอื่นจึงพลอยหัวเราะตามไปด้วย
“ทำไมต้องเสียใจวะ ก็กูบอกแล้วไงว่ากูกับทรายจบกันด้วยดีโว้ย กูสองคนไม่ได้ทะเลาะอะไรกันเลย พวกกูคุยกันด้วยเหตุผลแบบคนที่โต ๆ กันแล้ว ในเมื่อไปกันไม่ได้ก็จบดิวะ ถูกปะ”
ชลธีอธิบายให้เพื่อนสนิทฟังรอบที่สาม เพราะทุกคนดูไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักว่าเขากับอริสาตกลงเลิกรากันด้วยดี
สาเหตุเพราะวันอาทิตย์ที่แล้วเป็นวันเกิดของอริสา ชลธียังยกเลิกนัดสังสรรค์กับเพื่อนเพื่อไปหาซื้อเค้ก และของขวัญวันเกิดให้แฟนสาวอยู่เลย
“งั้นสรุปว่าตอนนี้มึงโสดสนิทจริง ๆ แล้วใช่ปะวะ”
ภัทรพลยื่นหน้าเข้าไปถาม เมื่อเห็นชลธีพยักหน้าอย่างหนักแน่น จึงเอ่ยต่ออีกว่า
“งั้นมึงก็รับรักน้องเจนได้แล้วน่ะสิเพื่อน ดีเลย! กูจะได้ไลน์บอกน้องเขาว่ามึงโสดแล้ว”