อริสาเดินออกมายืนใกล้กับเขา ปล่อยให้พริมากล่อมลูกนอนอยู่ในห้อง ชายหนุ่มหันมองไปด้านหลัง เมื่อไม่เห็นพริมากับลูก จึงเอ่ยปากกับอริสาอย่างแผ่วเบาว่า
“ซ้อมกินอาหารเม็ดไว้ยัง” เขาพูดจบ หญิงสาวก็หันมาส่งค้อนให้
“ไม่ต้องซ้อมหรอกเพราะกินบ่อย”
ชลธีได้ยินอย่างนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ไอ้เชี่ยนั่นมันซ้อมเมียแบบนี้ประจำเหรอ”
อริสาส่ายหน้าช้า ๆ พลางเอ่ยว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ก็เห็นแค่ทะเลาะกันธรรมดา ยายพายก็จะวิ่งมาหลบอยู่ในห้องทรายอยู่หลายครั้ง พอแฟนมันมาง้อ มันก็ยอมกลับไปคืนดีด้วยตลอด แต่หลังจากนั้นทรายไม่ค่อยได้อยู่ที่ห้องนี้ ก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าเป็นยังไงกันแล้วบ้าง เพิ่งเห็นคาตาวันนี้นี่แหละว่ามันซ้อมยายพาย”
ชายหนุ่มฟังจบก็ไม่ได้พูดอะไร การที่เธอเอ่ยมาว่าช่วงหลังไม่ได้พักอยู่ที่ห้องนี้ ไม่ต้องถามเขาก็รู้ดีว่าอริสาไปอยู่ที่ไหน เพราะเขาเป็นคนให้เธอย้ายไปอยู่ที่บ้านของเขาเอง
“นี่พี่โทร. แจ้งตำรวจแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น ชลธีจึงดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่เห็นวี่แววว่าตำรวจจะมาตามที่บอกเลยสักคน
“พี่จะโทร. อีกทีละกัน”
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กำลังจะกดโทร. ออกอีกครั้งก็เห็นตำรวจสองนายเดินมาตรงที่พวกตนกำลังยืนอยู่
อริสาปล่อยให้การคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเรื่องของชลธีไป ส่วนเธอก็เดินเข้าไปตามพริมาออกมาจากห้องนอน
“พาย ลูกหลับยัง ตำรวจมาแล้วนะ”
อริสามองหน้าเพื่อนที่ดูเหมือนว่าจะบวมปูดฟกช้ำจนดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม พริมาเป็นคนผิวขาวอยู่แล้ว โดนซ้อมทารุณขนาดนี้ ร่องรอยต่าง ๆ จึงยิ่งเห็นได้ชัดเจนทั้งรอยเก่ารอยใหม่ และไม่ใช่แค่ที่ใบหน้า ตามแขน บ่า และแผ่นหลังก็ล้วนมีรอยโดนทุบตีทั้งสิ้น
“ฉัน...กลัว...ฉันกลัวพี่เปรม ถ้าเขารู้ว่าฉันแจ้งตำรวจจับเขา เขาต้องฆ่าฉันแน่เลยทราย”
พริมาเอ่ยกลั้วสะอื้น น้ำตาอาบเต็มสองแก้ม เปลือกตาที่บวมเป่งจนแทบมองไม่เห็นดวงตานั้นแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม
“ให้เรื่องมันจบแค่นี้ได้ไหม ฉันกลัวพี่เขาจริง ๆ นะทราย”
พริมายกมือขึ้นปิดใบหน้า แต่กระนั้นน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสายก็ทำให้สองมือเปียกชื้นเพราะน้ำตาแผ่ซึมออกมาตามง่ามนิ้ว
“งั้นแกรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อน”
อริสาคิดว่าต่อให้ฉุดกระชากลากถูพริมาออกไปเผชิญหน้ากับเปรมณัฐตอนนี้ อีกฝ่ายคงไม่มีทางยอมแน่ ตอนนี้พริมาหวาดกลัวสามีของตนเองขึ้นสมอง ฉะนั้นเธอคิดว่าควรให้ตำรวจเป็นคนเข้ามาคุยกับพริมาในห้องแทนดีกว่าที่จะคุยนอกห้อง และพริมาจะได้กล้าพูดในสิ่งที่อยากพูดด้วย
แต่พอหญิงสาวเดินไปยังไม่ทันถึงหน้าประตูดี ก็ได้ยินเสียงตะโกนของเปรมณัฐดังลอดเข้ามา
“พาย! พี่ขอโทษ พี่จะไม่ทำอีกแล้ว พายกลับห้องเราเถอะนะ คุณตำรวจครับ ผมกับภรรยาก็แค่ทะเลาะกันธรรมดาเหมือนลิ้นกับฟันทั่วไป ตอนนี้ทะเลาะกัน เดี๋ยวเย็นนี้ก็คืนดีกันแล้ว อย่าให้...”
อริสาทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป รีบเปิดประตูแล้วด่าออกไปทันที
“ลิ้นกับฟันบ้านพ่อมึงสิ! มึงซ้อมเพื่อนกูปางตายขนาดนั้น ดีเท่าไรแล้วที่ตาไม่บอด” จากนั้นอริสาก็หันไปพูดกับตำรวจว่า
“คุณตำรวจคะ ฉันรบกวนคุณตำรวจเข้าไปดูเพื่อนฉันในห้องดีกว่าค่ะ จะได้เห็นว่าสภาพของเพื่อนฉันตอนนี้เป็นยังไง”
ก่อนหน้านี้อริสาถ่ายรูปรอยฟกช้ำ และบาดแผลตามตัวของพริมาเอาไว้หมดแล้ว ตรงแผ่นหลัง สีข้าง ท้อง และต้นขาล้วนมีแต่ร่องรอยการถูกทำร้าย เธอต้องถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานให้เพื่อน เพราะพริมาคงไม่สะดวกจะเปิดให้ตำรวจที่เป็นผู้ชายดูที่นี่
ตำรวจนายนั้นผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น แม้จะล้างหน้าล้างตาออกไปบ้างแล้ว แต่ที่คอเสื้อยังมีเลือดเปรอะเปื้อนเป็นวงกว้าง
“พายจะแจ้งตำรวจจับพี่ไม่ได้นะ! พี่เป็นผัวเธอนะ เป็นพ่อของลูกเธอนะ ถ้าพี่มีประวัติไม่ดี...”
เสียงของเปรมณัฐยังคงดังลอดเข้ามาให้ได้ยิน อริสาคิดจะเดินไปด่าอีกรอบ แต่ได้ยินเสียงตำรวจอีกนายปรามขึ้นเสียก่อน
“อย่าส่งเสียงดังครับคุณ รบกวนเพื่อนบ้านห้องอื่นเขา”
“ถ้าผมขอแจ้งความข้อหาก่อความเดือดร้อนรำคาญเพิ่มไปอีกจะได้ไหมครับคุณตำรวจ” เป็นเสียงของชลธีที่เอ่ยขึ้น
อริสาเห็นว่าตนคงไม่ต้องออกไปแล้ว จึงเดินกลับมาหาพริมาแล้วจูงอีกฝ่ายมานั่งบนโซฟาตัวยาว
“คุณตำรวจเชิญนั่งก่อนค่ะ” จากนั้นเธอค่อยหันไปพูดกับเพื่อนว่า
“พาย ทุกอย่างอยู่ที่แกตัดสินใจนะ ว่าแกจะทนให้เป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต จะทนให้ลูกแกเห็นพ่อทุบตีแม่ไปเรื่อย ๆ จนเห็นเป็นเรื่องชินชา หรือแกจะหยุดทุกอย่างลงแค่วันนี้ ฉันจะให้แกเป็นคนตัดสินเอง ฉันจะเคารพการตัดสินใจของแก แต่ฉันอยากบอกแกไว้ว่าให้คิดถึงลูกให้มาก ๆ คิดถึงชีวิตในภายภาคหน้าของตัวเองด้วย และที่สำคัญ ฉันยังอยู่ตรงนี้”
อริสาบีบมือเพื่อนเบา ๆ แล้วปล่อยให้พริมาคุยกับตำรวจไป ส่วนเธอทำได้เพียงนั่งอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ปริปากพูดแทรก
ยิ่งฟังที่เพื่อนเล่า อริสาก็ยิ่งโมโหเดือดดาล แต่ต้องข่มใจไว้ สิ่งที่เปรมณัฐกระทำกับภรรยาของตนเองนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ด้วยกันกระทำเลย ยิ่งเป็นคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอน แต่งงานกันอย่างออกหน้าออกตาจนมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคนแล้ว ยิ่งไม่สมควรทำ ต่อให้เลิกรากันไป อีกฝ่ายก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายผู้อื่นแบบนี้
เปรมณัฐมองภรรยาของตนเองเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ เครียดจากงาน มีปัญหากับลูกค้า หรืออารมณ์ไม่ดีมาจากที่อื่น เมื่อกลับมาถึงบ้านก็มักจะมาลงไม้ลงมือกับพริมาทุกครั้งไป โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าบุตรชายตัวน้อยจะมองอยู่หรือไม่
สันดานเลวแบบนี้ ขอให้มันไม่ตายดี!
อริสาได้แต่ก่นด่าสาปแช่งเปรมณัฐอยู่ในใจ หากเธอเจอผู้ชายแบบนี้ คงไม่แคล้วต้องกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนเป็นแน่ นับว่าโชคดีที่ชลธีไม่เคยทำร้ายเธอ แม้แต่ตะคอกเสียงดังใส่ยังไม่เคยเลยสักครั้ง เพราะทุกครั้งที่เริ่มทุ่มเถียงกัน เขามักเป็นฝ่ายยอมก่อนตลอด บางครั้งแค่เธอปรายตามอง เขาก็ยกมือยอมแพ้แล้ว
หญิงสาวนั่งฟังไปเงียบ ๆ จนตำรวจพูดถึงร่องรอยการถูกทำร้าย อริสาจึงหยิบโทรศัพท์ของตนมาเปิดรูปบาดแผลที่ถ่ายเอาไว้ให้ตำรวจนายนั้นดู
“ผมแนะนำว่าควรไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลและนำใบรับรองแพทย์มาใช้ยื่นตอนแจ้งความด้วยครับ”
อริสายกมือขึ้นระดับอกเป็นเชิงขออนุญาตถาม
“ที่คุณตำรวจจะดำเนินการให้เนี่ยคือการแจ้งความดำเนินคดี ไม่ใช่การลงบันทึกประจำวันใช่ไหมคะ”