อริสาอ่านแล้วได้แต่กลอกตาอย่างจนใจ คราแรกคิดว่าจะรอกลับไปถึงคอนโดฯ แล้วค่อยส่งข้อความบอกเขา แต่คิดไปคิดมา จะส่งตอนนี้ หรือตอนไหนก็ไม่ต่างกัน ดังนั้น เธอจึงพิมพ์ตอบไปว่า
aRiSa : มาซื้อของที่ห้าง
aRiSa : ลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ
aRiSa : กำลังจะกลับห้องแล้ว
aRiSa : เรื่องออกจากงาน ไว้ถึงห้องแล้วค่อยคุย
aRiSa : ขับรถก่อน
หญิงสาวอดแปลกใจไม่ได้ เพราะชลธีอ่านข้อความที่เธอส่งไปทันทีตั้งแต่ข้อความแรก ราวกับรออยู่ก่อนแล้ว และเขาก็พิมพ์ตอบกลับมาว่า
Kram : โอเค
อริสาวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม แล้วขับรถออกจากห้างสรรพสินค้าเพื่อกลับบ้าน เธอใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงคอนโดมิเนียมที่ตนพักอยู่ แต่เพราะการไปซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ได้อยู่ในแผนแต่แรก หญิงสาวจึงไม่ได้เตรียมรถเข็นล้อลากติดรถไว้ สุดท้ายจึงต้องหอบถุงพะรุงพะรังทั้งสองมือเดินไปยังโถงลิฟต์
ทว่ายังไม่ทันจะเดินไปกดเรียกลิฟต์ เสียงเรียกคุ้นหูของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน
“ทราย”
อริสาหันไปมองคนเรียก น่าแปลกที่หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเขาอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เพราะหญิงสาวมั่นใจว่าตนไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว ดังนั้น เธอจึงคิดว่าที่หัวใจเต้นแรงเป็นเพราะแปลกใจมากกว่าที่เห็นเขามาอยู่ที่นี่
“พี่ครามมาทำอะไรที่นี่”
“ก็มาหาทรายน่ะสิ” เขาตอบพลางเอื้อมมาคว้าถุงข้าวของในมือเธอไปถือไว้เองทั้งหมด และกดเรียกลิฟต์
อริสาสังเกตเห็นว่าชลธีมาในชุดอยู่บ้าน คือกางเกงขาสามส่วนกับเสื้อยืดยับ ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาแค่ล้างหน้าแปรงฟันก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย โดยไม่ได้อาบน้ำเป็นแน่
“นี่อย่าบอกนะว่ามารออยู่นานแล้วน่ะ”
ชายหนุ่มคงมารอตั้งแต่ที่เขากระหน่ำส่งข้อความมาแล้วเธอไม่ได้อ่านกระมัง ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว เพราะเธอแวะกินมื้อเช้าควบเที่ยงที่ห้างสรรพสินค้าด้วย
“ก็...ไม่นานเท่าไร เพิ่งมาถึงไม่กี่นาทีนี่เองเลยนั่งรอก็เห็นทรายขับรถเข้ามาจอดพอดีน่ะ”
ลิฟต์มาถึงพอดี เขาเดินเข้าไปแล้วเอาตัวดันประตูลิฟต์ไว้เพื่อให้เธอเดินเข้าไปก่อน อริสาเห็นแล้วได้แต่ลอบยิ้ม เพราะชลธีทำแบบนี้ทุกครั้งไม่ว่าจะไปที่ไหน คงเป็นความเคยชินของเขาแล้วกระมัง และเธอก็เชื่อว่าเขาคงไม่ได้ทำแบบนี้ให้เธอแค่คนเดียว
ในลิฟต์มีเพียงอริสากับชลธี หญิงสาวกดปุ่มที่หมายเลขสิบห้า จากนั้นต่างคนต่างยืนเงียบโดยไม่พูดอะไร จนกระทั่งลิฟต์ถึงจุดหมาย เธอจึงกดปุ่มเปิดประตูค้างเอาไว้เพื่อให้เขาเดินออกไปก่อน เพราะเขาถือของหลายอย่าง
เมื่อเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มเอาของที่ซื้อมาทั้งหมดไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าวที่วางไว้ใกล้ครัวอย่างคุ้นเคย ส่วนหญิงสาวเจ้าของห้องก็เดินไปเปิดประตูระเบียงเพื่อให้ห้องสว่าง และอากาศถ่ายเท
“ตกลงเรื่องงานมันเป็นยังไงกันแน่”
ชลธีเดินมานั่งบนโซฟาตัวยาว อริสาที่เดินกลับมาจากระเบียงจึงนั่งบนโซฟาเดี่ยว
“ความจริงแล้วทรายก็เพิ่งรู้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี่เอง จู่ ๆ ฝ่ายบริหารก็เรียกประชุมบอกว่าต้องลดจำนวนพนักงานลงครึ่งหนึ่ง แล้ววันพุธเขาก็ให้ทุกคนจับฉลากว่าใครจะโดนแจ็กพอต” เธอเล่าไปตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ก่อนถามเขาไปว่า
“พี่ครามรู้มาจากไหน”
“ไอ้ภัทรมันบอกพี่เมื่อเช้า มันบอกว่าบังเอิญเจอหลิวที่ร้านอาหาร ก็เลยได้คุยกัน”
ชลธีเอนหลังพิงไปกับพนักโซฟาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขามองหน้าเธอด้วยสายตาแปลก ๆ อริสาคาดเดาไม่ถูกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมทรายไม่บอกพี่ ทำไมไม่เล่าให้พี่ฟังบ้าง เราก็อยู่ด้วยกันทุกวันนี่นา ทรายเห็นพี่เป็นคนพึ่งพาไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าพี่รู้ก่อน พี่คงไม่...”
“คงไม่อะไร คงไม่เลิกกันเหรอ” อริสายิ้มอ่อน ก่อนเอ่ยต่ออีกว่า
“ทรายไม่เคยคิดว่าพี่เป็นคนพึ่งไม่ได้ ทรายแค่รู้สึกได้ว่าอีกไม่นานเราต้องเลิกกัน เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างมันก็เป็นคำตอบในตัวมันอยู่แล้ว พี่เองก็น่าจะรู้สึกเหมือนกันว่าเราทั้งคู่คงไปกันไม่ได้อีก ทรายก็เลยคิดว่าไม่ควรเอาปัญหาพวกนี้ไปบอกพี่ เพราะมันคงไม่จำเป็น อีกอย่าง มันก็เป็นปัญหาของทรายคนเดียวด้วย”
“มันจะเป็นปัญหาของทรายคนเดียวได้ยังไง ทรายก็รู้ว่าพี่ซัปพอร์ตทรายได้ อย่างน้อยช่วงที่ทรายตกงานก็ยังมีพี่อยู่ ทำไมทรายชอบเอาปัญหาทุกอย่างมาเก็บไว้กับตัวคนเดียวโดยไม่คิดจะปรึกษา หรือบอกพี่บ้างเลย”
หัวคิ้วของชลธีขมวดเข้าหากันมุ่น ดูเหมือนเขาอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก แต่อริสาก็ใจเย็นพอ
“มีพี่หรือไม่มี ทรายว่าก็ไม่ต่างกันเท่าไรนะ อีกอย่าง ถึงตอนนี้ทรายจะตกงาน แต่ทรายก็ได้ชดเชยตั้งสิบแปดเดือน เท่ากับว่าตอนนี้ทรายมีเงินก้อนนอนอยู่ในบัญชี ต่อให้ไม่ทำงานไปทั้งปีทรายก็อยู่ได้ หรือถ้าหางานทำไม่ได้จริง ๆ ทรายก็แค่กลับไปอยู่บ้านที่ชลฯ แค่นั้นเอง วันเสาร์หน้านี้ทรายก็จะกลับบ้านพอดี”
ชลธีเงียบไปพักใหญ่ เขาแหงนหน้าเอาต้นคอพาดบนพนักโซฟา ตามองเพดานห้องอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร หญิงสาวเองก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน
ทั้งคู่นั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้นราวสิบห้านาที ชลธีก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน โดยที่ตายังคงมองเพดานอยู่ที่เดิม
“ในสายตาของทราย พี่คงแย่มากเลยสินะ”
อริสาไม่ตอบ แต่ในหัวกลับครุ่นคิดถึงคำถามของเขา
...ชลธีแย่มากไหม ในสายตาของเธอ
เขาติดเพื่อน เที่ยวกลางคืนสัปดาห์ละหนึ่งครั้งเป็นอย่างต่ำ ซึ่งโดยมากมักเป็นคืนวันเสาร์ และเพราะเขาหาเงินง่ายจากการเล่นหุ้น จึงค่อนข้างมือเติบไม่น้อย และที่สำคัญ เขาเป็นคนอัธยาศัยดี มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาที่ชมชอบในตัวเขา หลายครั้งที่เธอมักเห็นบรรดาสาว ๆ เข้ามาคุยเล่นในเชิงจีบเขาทางเฟซบุ๊ก เธอก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทั้งที่ไม่ชอบใจเลยก็ตาม
ยังดีที่ชลธีไม่เคยไปค้างคืนที่ไหน ต่อให้เขาเมามากเพียงใด เขาก็จะกลับมานอนที่บ้านเสมอ หรือถ้าเขาขับรถไม่ไหวจริง ๆ เขาก็โทรศัพท์มาหาเธอ ให้เธอนั่งแท็กซี่ไปหาเขาที่ผับ เพื่อขับรถพาเขากลับบ้าน
แล้วตกลงเขาแย่มากไหมในสายตาของเธอ...อริสาก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน
“เฮ้อ...ช่างเถอะ ถามไปพี่ก็คงไม่ได้คำตอบอะไรอีกตามเคย”
ชายหนุ่มขยับมานั่งตัวตรง จากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน เพื่อไม่ให้บรรยากาศอึมครึมไปมากกว่านี้
เธอกับเขาคุยกันอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ชลธีก็ขอตัวกลับ หญิงสาวจึงเดินไปส่งเขาที่หน้าลิฟต์
ครั้นพอเดินผ่านห้องของพริมา อริสากลับได้ยินเสียงแก้วหรือกระจกแตกดังมาจากด้านใน พร้อมกับเสียงหวีดร้องร่ำไห้ของเพื่อนสนิทผสานไปกับเสียงร้องไห้จ้าของเด็กทารก
อย่างไม่รอช้า อริสาลงมือเคาะประตูทันที
“พาย! เป็นอะไรรึเปล่า เปิดประตูเร็วพาย!”