ซูเจินกับหลินหลานโล่งใจเป็นรอบที่สอง เมื่อพวกนางมาถึงบ้านก่อนที่อี้สงจะกลับมาจากทำภารกิจ
“คราวหลังเราไม่ไปไหนตามลำพังอีกแล้วนะเจ้าคะ พวกนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน” หลินหลานพูดพร้อมกับปลดผ้าที่ปิดบังใบหน้าออกพลางลูบคลำแก้มซาลาเปาอย่างนึกขบขันที่ชินอ๋องไม่สามารถจดจำพวกนางได้
สำหรับตัวของนางที่ท่านอ๋องจำไม่ได้ก็คงไม่แปลกเพราะความสัมพันธ์ของเราเกิดขึ้นจากการมอมเมา ต่อให้ไม่แปลงโฉมก็ใช่ว่าเขาจะจำได้เสียเมื่อไหร่เพราะนางไม่ใช่คนที่เขาอยากจะจดจำ แต่กับองค์หญิงซูเจินนี่สิท่านอ๋องจะจดจำน้องสาวของตัวเองไม่ได้เชียวหรือ
“ข้าสัญญา จะไม่พาพี่สะใภ้กับหลานน้อยไปเจออันตรายแบบนั้นอีก”
ซูเจินตีหน้าเศร้ากล่าวออกมาด้วยความรู้สึกผิดจริง ๆ หากวันนี้ชินอ๋องไม่เข้ามาช่วยไว้ นางกับพี่สะใภ้คงต้องแย่แน่ ๆ พูดถึงพี่ชายก็ให้นึกหงุดหงิดขึ้นมา คนอะไรสมองตื้อนักแม้แต่น้องสาวของตัวเองก็ยังจำไม่ได้ เราไม่ได้เจอกันแค่สามปีเองนะ
“อย่าคิดมากสิเจ้าคะท่านหมอ ตอนนี้เราก็ปลอดภัยแล้ว ข้าหวังอย่างเดียวว่าอย่าให้ท่านอ๋องจำเราได้ และอย่าให้เขาตามเราเจอ”
“คิก ๆ เขานะหรือจะตามเราเจอ พี่ชายของข้าหากฉลาดจริงคงไม่โดนสตรีหลอกมายาวนานถึงสามปีหรอก ตอนนี้พี่สะใภ้ต้องกลับเรือนไปพักผ่อนได้แล้ว ทำจิตใจให้สบายคิดถึงเจ้าก้อนแป้งเข้าไว้ ป่านนี้เสี่ยวจูคงจะกระวนกระวายแย่แล้ว ถึงเวลามื้อเย็นข้าจะให้คนไปเรียก”
“ก็ได้เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านหมอซู ข้าจะไม่คิดมาก” หลินหลานรับคำแล้วก็กล่าวลาหมอซูก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่เรือนของตน เพียงแค่ก้าวพ้นเขตเรือนของหมอซูได้ไม่กี่สิบก้าวนางก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นท่านแม่ทัพโผล่เข้ามาขวางทางเอาไว้
“ทะ..ท่านแม่ทัพท่านตามพวกเรามาทำไมเจ้าคะ” หลินหลานข่มใจให้กล้าแล้วถามออกไปเพราะยังไงนางก็ใช้สมุนไพรแปลงโฉมอยู่ จึงมั่นใจว่าเขาไม่มีทางจดจำใบหน้าของนางได้แน่นอน
“หลินหลาน”
“..........” เหมือนเวลาจะหยุดนิ่งไปชั่วคราว เพราะหลินหลานไม่ได้เตรียมใจว่าจะถูกตามตัวเจอแบบนี้ นางจึงได้แต่นิ่งเงียบไป
“เข้าบ้านก่อนดีหรือไม่ ข้าอยากสนทนากับเจ้า” จ้าวโม่หยางพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ แต่หลินหลานก็ยังไม่คิดจะขยับตัวไปไหนจนชินอ๋องต้องให้คำมั่นเพื่อให้นางไว้วางใจ “ไม่ต้องกลัวข้าไม่ได้มาเพื่อทำให้เจ้าลำบากใจ”
“เพคะ” นางตอบรับสั้น ๆ แล้วเดินนำหน้าชินอ๋องเข้าเรือนไป
แต่คนที่ตกใจไม่แพ้หลินหลานเมื่อเจอกับผู้มาเยือนก็คือเสี่ยวจู นางถึงกับทำอะไรไม่ถูกได้แต่คุกเข่าลงหมอบกราบด้วยความหวาดกลัว หากท่านอ๋องจะเอาผิดนางที่พาชายารองหนีออกจากวัง โทษของนางคงจะหนักอยู่ไม่น้อย
“บอกสาวใช้ของเจ้าให้ลุกขึ้นเถิด”
“เสี่ยวจูได้ยินแล้วใช่ไหม ลุกขึ้นแล้วไปนำน้ำชามาถวายท่านอ๋องเร็วเข้า” หลินหลานเร่งเสี่ยวจูไม่ใช่ว่ากลัวท่านอ๋องจะทรงพิโรธ เพียงแต่นางต้องการให้เสี่ยวจูเข้าไประงับสติเท่านั้นเอง
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“หืม...คุณหนูอย่างนั้นหรือ สถานะของเจ้ายังคงเป็นชายาของข้าอยู่ จะกลับไปเป็นเช่นเดิมได้ก็ต่อเมื่อข้าปลดเจ้าไปแล้วเท่านั้น เข้าใจใช่ไหมหลินหลาน”
“ถ้าเช่นนั้นปลดหม่อมฉันเถิดเพคะ อย่างไรเราก็ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกันอยู่แล้ว”
“มันคงจะไม่ง่ายอย่างที่เจ้าว่า” เขาตอบอย่างใจเย็น
“ทำไมเพคะ จะไปยากตรงไหนในเมื่อพระองค์กับหม่อมฉันไม่จำเป็นต้องตามใจใครอีกแล้ว”
หลินหลานขึ้นเสียงใส่คนตรงหน้าอย่างลืมตัว เพราะคนที่สร้างเรื่องราวทั้งหมดก็ไม่อยู่แล้วยังจะมีปัญหาอะไรอีก หากท่านอ๋องคิดจะปลดนางออกจากการเป็นชายารองมันก็ไม่เห็นจะยากเย็นอะไร
“เพราะว่าสถานะของเจ้าตอนนี้ไม่ใช่ชายารองอีกต่อไป หวางเฟยถึงเราจะไม่ได้รักกันแต่เจ้ากำลังอุ้มท้องบุตรของข้าอย่าลืมสิ” ชินอ๋องเอ่ยถึงสถานะใหม่ให้ประจักรว่านางไม่ใช่ชายารองอีกต่อไปแต่เป็นถึงชินหวางเฟยคนใหม่
“หม่อมฉันไม่ได้ลืมเพคะ และจำได้ด้วยว่าเขาไม่ได้เกิดจากความรัก ลาภยศเหล่านั้นหม่อมฉันก็ไม่ต้องการ อีกอย่างหม่อมฉันจะไม่ยอมกลับไปที่นั่นอีก ส่วนเรื่องลูก พระองค์ก็ยังเป็นบิดาและเขาจะใช้แซ่จ้าวตามที่พระองค์ต้องการ ได้โปรดปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะท่านอ๋อง” หลินหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอนสุดกำลัง เพียงเพระอยากให้เขาทำตามในสิ่งที่นางร้องขอ
“หลินหลานการแต่งตั้งหวางเฟยเป็นราชโองการของฝ่าบาท หากเจ้ามีความสุขเมื่ออยู่ที่นี่ข้าก็จะไม่ห้าม แค่อนุญาตให้ข้ามาเยี่ยมลูกบ้าง ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดและลำบากใจ และข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยสำหรับเรื่องวันนั้น”
“เรื่องราชโองการ ในเมื่อแต่งตั้งได้ก็ต้องถอดถอนได้เพคะ ส่วนเรื่องวันนั้นก็ช่างมันเถอะหม่อมฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว”
หึ ๆ ชินอ๋องแค่นหัวเราะสังเวชกับเครื่องหมายความเป็นเอกบุรุษของตัวเอง นางพูดออกมาได้หน้าตาเฉยว่าไม่ได้รู้สึกอะไร ทั้ง ๆ ที่อุ้มท้องลูกของเขาอยู่เนี่ยนะ ช่างเป็นสตรีที่แปลกประหลาดนัก
“เรื่องถอดถอนเจ้าเอาไว้ข้าจะขอกับฝ่าบาทอีกครั้ง ขอบใจที่ให้อภัยข้า ตอนนี้เจ้าควรไปล้างหน้าออกแล้วพักผ่อนเถอะข้าไม่กวนแล้ว อ้อ...หน้าบวม ๆ ของพวกเจ้ามันไม่ได้อัปลักษณ์ขนาดนั้นหรอกนะ” เขาพูดแหย่นางก่อนจาก
หลังจากที่ชินอ๋องจากไปหลินหลานกับเสี่ยวจูก็ยังคงนั่งเหม่อ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นกะทันหันเหลือเกินตั้งแต่ท่านอ๋องมาถึงจนกระทั่งจากไป เขาดูแตกต่างและมีเหตุผลไม่เหมือนคนคนนั้น
“คุณหนูเราจะหนีอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“เราหนีไม่พ้นหรอก ท่านอ๋องรับปากแล้วว่าจะไม่ทำให้ข้าลำบากใจและเรายังสามารถอยู่ที่นี่ได้ นอกจากเจ้าก้อนแป้งที่มีข้ากับเขาเป็นบิดามารดาแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญ เราก็แค่คนแปลกหน้าต่อกันเท่านั้นแหละ” หลินหลานไต่ตรองด้วยสติไม่วู่วาม ต่อให้หนีอีกก็ใช่ว่าจะหนีพ้น หนำซ้ำอันตรายก็ยังมีรอบด้านสำหรับหญิงสาวตัวเล็ก ๆ สองคนพร้อมกับบุตรในครรภ์ นางจึงตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านซานเหิงต่อไป ทั้งท่าทีของชินอ๋องเองก็ดูเปลี่ยนไปและพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
ถัดจากเรือนของหลินหลาน ชินอ๋องก็มายังเรือนอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
ก๊อก ๆ “จ้าวซูเจิน พี่รู้ว่าเจ้าอยู่ข้างในเปิดประตูหน่อยสิ หากไม่ยอมเปิดพี่ก็จะใช้วิธีของพี่ แต่เจ้าคงต้องหาช่างมาทำประตูใหม่นะ”
ผัวะ!!!! “อันธพาล”
หญิงสาวเปิดประตูอย่างแรงพร้อมกับว่าให้อย่างไม่ไว้หน้า แต่อ๋องหนุ่มก็ยังยิ้มรับถึงจะถูกน้องสาวว่าให้ เรื่องแค่นี้เขาหรือจะสนใจแค่นางยอมพูดกับเขามันก็ดีเท่าใดแล้ว
“ไม่ได้พบหน้ากันถึงสามปีนี่คือคำทักทายพี่ชายของเจ้าหรือ”
“หากหางนางไม่โผล่เสียก่อน ชินอ๋องจะยังนึกถึงน้องคนนี้หรือไม่ แม้แต่พี่สะใภ้กับเจ้าก้อนแป้งยังจะอยู่ในสายตาของท่านพี่ไหม”
คำพูดของน้องสาวทำให้จ้าวโม่หยางสะอึกทั้งเจ็บแปลบไปที่หัวใจ มันเป็นอย่างที่นางว่าหากความจริงไม่เปิดเผยเขาก็คงจะเป็นไอ้โง่อยู่เช่นเดิม
“ซูเจินพี่ขอโทษ ตบตีพี่เถิดจนกว่าเจ้าจะพอใจ”
“ตบตีท่านหรือจะสาแก่ใจข้า”
“แล้วจะให้พี่ทำอย่างไรเจ้าถึงจะหายโกรธ”
“งานใช้แรงที่นี่ก็มีเยอะแยะ” หมอซูเอ่ยขึ้นลอย ๆ
“ไม่มีปัญหาพี่จะส่งคนมาให้เจ้าเอาไว้ใช้สอยดีหรือไม่ กี่คนก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ” จ้าวโม่หยางเสนอเพราะเขาตั้งใจอยู่แล้วว่าจะส่งคนมาคอยดูแลหมู่บ้านแห่งนี้
“คนเดียวก็พอ”
“หะ! คนเดียวพอแน่หรือ”
“เจ้าค่ะ แค่จ้าวโม่หยางคนเดียวก็พอแล้ว จะได้ไหมล่ะ”
“อ้อ…” คราวนี้จ้าวโม่หยางเข้าใจทะลุปรุโปร่งว่าต้องโดนน้องสาวหาเรื่องกลั่นแกล้งแน่นอน แต่เขาจะยอมนางก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้น้องสาวคนเดิมกลับคืนมา
“ซูเจินพี่กลับมาแล้ว”
ในขณะที่ชินอ๋องกำลังนั่งปรับความเข้าใจกับองค์หญิงซูเจินอยู่นั้นก็มีเสียงของบุรุษเรียกขานน้องสาวของเขาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านอย่างสนิทสนม สุ้มเสียงนั้นฟังดูก็คุ้นหูยิ่งนัก จนชินอ๋องอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นหน้าผู้ชายคนนั้น
ผัวะ!! ชินอ๋องกระชากประตูอย่างแรงเผยตัวตนให้คนที่อยู่หน้าบ้านเห็น อี้สงถึงกลับเข่าทรุด มันไวเกินไปเขายังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย ‘ท่านอ๋องมาอยู่นี่ได้ยังไงกัน’ องครักษ์หนุ่มตั้งคำถามกับตัวเอง
“ท่านอ๋อง กระหม่อมผิดไปแล้ว”
“ฮึ! องครักษ์มือหนึ่งของข้า โทษแบบใดถึงจะเหมาะสมกับเจ้า อารักขาลูกเมียของข้าให้ปลอดภัยถือว่ามีความดีความชอบ แต่กลับไม่รายงานหลังจากภารกิจเสร็จสิ้นนี่มันยังไง แล้วกับซูเจินเล่าพวกเจ้าเป็นอะไรกัน!”
“กระหม่อมกับองค์หญิงเรา...” องครักษ์หนุ่มอึกอัก
“เราเป็นสามีภรรยากัน” จ้าวซูเจินเดินออกมาพร้อมกับตอบอย่างไม่ยี่หระต่อความโกรธาของผู้เป็นพี่ชาย
“ซูเจิน เจ้า!” คำตอบของนางทำเอาคนเป็นพี่พูดไม่ออก
“หากจะลงโทษเขาที่ไม่ยอมรายงานเรื่องของพี่สะใภ้ท่านก็ต้องลงโทษข้ากับพี่สะใภ้แล้วล่ะ เพราะเราเป็นคนสั่ง อีกอย่างข้ากับพี่อี้สงแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามประเพณีเราจึงเป็นสามีภรรยากันอย่างชอบธรรม ถ้าไม่เชื่อก็ถามฝ่าบาทกับเสด็จแม่ไทเฮาดูก็ได้” ซูเจินเชิดหน้าโต้ตอบพี่ชาย คนที่หนุนหลังนางยิ่งใหญ่คับฟ้า ทำไมจะต้องหวาดกลัวด้วยเล่า
อีกครั้งที่จ้าวโม่หยางหมดคำที่จะพูดเมื่อน้องสาวเป็นคนออกหน้ารับผิดเอง ทั้งยังเรื่องแต่งงานของนางกับอี้สงอีกทำไมเขาถึงไม่เคยรู้ ตลอดสามปีที่ผ่านมาดูเหมือนเขาจะพลาดไปหลายสิ่งหลายอย่างทีเดียว เขาไม่เคยรู้เรื่องของคนในครอบครัวสักนิด หรือว่าเป็นเพราะเขาไม่เคยคิดจะใส่ใจกัน