ท่านแม่ทัพรูปงามกับทรามวัยอัปลักษณ์

1977 คำ
จากหมู่บ้านซานเหิงสู่เมืองหยาง... เมื่อได้ติดตามหมอซูบ่อย ๆ หลินหลานจึงได้เป็นผู้ช่วยท่านหมออย่างจริงจังจนบางครั้งผู้คนก็เรียกขานนางว่าเป็นหมอยาอัปลักษณ์ด้วยอีกคน คนหนึ่งคือหมอรักษาอีกคนก็คือหมอยาทั้งสองทำงานเข้ากันได้ดีเหลือเกิน หลินหลานเมื่อถูกเรียกว่าเป็นหมอยาอัปลักษณ์นางก็ไม่ได้ปฏิเสธเลย หมอยานางก็ถือว่าเป็นแล้วถึงจะยังไม่เก่งกาจแต่ก็ปรุงยาได้หลายขนานเพราะนางตั้งใจฝึกฝนนั่นเอง ส่วนเรื่องอัปลักษณ์มันคือความจริงของหญิงสาวจากหมู่บ้านซานเหิงที่ต้องเจอกับคำเรียกขานเช่นนี้กันทุกคน วันนี้หมอซูไม่ได้พานางมาตรวจไข้เหมือนเช่นทุกครั้ง การแต่งกายของพวกนางจึงดูมีสีสันกว่าที่เคยแต่ก็ยังมีผ้าบางปิดครึ่งใบหน้าเหมือนเช่นทุกวัน “ข้าไม่รู้เลยว่าท่านหมอซูก็ขับรถม้าเป็นด้วย” หลินหลานพูดอย่างตื่นเต้น “เดี๋ยวข้าจะสอนพี่สะใภ้ขับบ้างเพราะเราจะรอให้บุรุษมาคอยดูแลตลอดไม่ได้ อย่างเช่นวันนี้หนุ่ม ๆ ออกไปทำงานกันหมดถ้าเรามัวแต่รอให้พวกเขาพามาแล้วเมื่อใดเราจะได้ออกมาเที่ยวกันเล่าจริงไหม” “มันก็จริงเจ้าค่ะ แต่ถ้าองครักษ์อี้รู้เข้าเราจะไม่โดนดุหรือเจ้าคะ” หลินหลานมองหมอซูอย่างทึ่งในความสามารถที่มีรอบด้านแต่ก็อ่อนใจกับความซุกซนของหญิงสาวที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงเหลือเกิน ดู ๆ ไปนิสัยก็คล้ายกับคนผู้นั้นหลายส่วนเหมือนกันหรือมันจะเป็นนิสัยเฉพาะของเหล่าราชวงศ์กันนะ เฮ้อ..แล้วนางจะกล่าวถึงคนผู้นั้นทำไมนักหนาไม่ได้พิศวาสอยากจะเจอเสียหน่อยนางหลุดพ้นจากเขาแล้วจากนี้ก็ขออย่าได้พานพบกันอีกเลยเป็นดี หลินหลานรำพึงในใจทั้งยังต่อว่าให้ตัวเองอยูในที “อีกสองสามวันพี่อี้ถึงจะกลับ เราไม่บอกและคนในหมู่บ้านก็ไม่มีใครบอกเขาไม่มีทางรู้หรอกน่า” ซูเจินกระหยิ่มกับความเจ้าเลห์ของตัวเอง ปกตินางไม่สามารถออกมาจากหมู่บ้านได้หากไม่มีผู้ติดตาม แต่วันนี้นางจำเป็นต้องซื้อของบางอย่างด้วยตัวเองจึงได้ชวนคนท้องมาเปิดหูเปิดตาด้วย อีกทั้งพวกนางยังแปลงโฉมอย่างดีแค่เห็นการปกปิดใบหน้าก็ไม่มีใครอยากจะเข้ามายุ่งกับสาว ๆ ของหมู่บ้านซานเหิงแล้วนั่นคือความคิดของซูเจินแต่เพียงผู้เดียว ครึ่งชั่วยามกว่ารถม้าของพวกนางจะมาถึงประตูเมืองหยาง เป็นเพราะหมอซูขับช้ามาก ๆ มันเกิดจากที่นางไม่คุ้นชิน ปกติการเดินทางเข้าเมืองหยางพวกนางจะใช้เวลาแค่สองเค่อเท่านั้นแต่ซูเจินก็มีข้ออ้างที่ไม่อยากขับเร็วเกินไปเพราะกลัวว่าจกระทบกระเทือนถึงหลานน้อยของตน หลินหลานได้แต่กลั้นขำกับความเฉไฉแก้อาการเขินของนาง [ครึ่งชั่วยาม=1ชั่วโมง / 1เค่อ=15นาที] สองสาวมาถึงโรงม้าและฝากรถม้าเรียบร้อยแล้วจึงพากันเดินเที่ยวชมตลาดตามประสา ตลอดเส้นทางที่ทั้งสองเดินมีทั้งสายตายที่มองเหยียดและเกรงกลัวบางคนก็มองมาด้วยความเวทนาสงสาร ทั่วทั้งเมืองหยางและหมู่บ้านรอบนอกมีใครบ้างไม่รู้จักหญิงสาวที่มาจากหมู่บ้านซานเหิง ผู้คนต่างเล่าลือกันไปทั่วว่าหญิงสาวที่ไปรวมตัวกันอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนั้นเป็นโรคประหลาดเพราะพวกนางมีใบหน้าที่บวมเป่งเหมือนกับซาลาเปาบ้างก็มีรอยด่างดำคล้ายปานเต็มใบหน้าไปหมด หากพวกนางไม่มีความสามารถเรื่องการแพทย์ละก็ชาวเมืองหยางคงไม่เปิดประตูต้อนรับเช่นนี้ “ยังไม่ชินที่ถูกพวกเขามองอีกหรือ” ซูเจินขำกับท่าทางของพี่สะใภ้ ขนาดให้ติดตามนางออกมาจากหมู่บ้านทุกวันความประหม่าก็ยังไม่หมดไปเสียที “ก็ใกล้จะชินแล้วเจ้าค่ะ แต่ทำไมพวกชาวเมืองถึงไม่ชินกับหน้าซาลาเปาของเราสักทีนะ นี่ขนาดมีผ้าปิดหน้านะเจ้าคะพวกเขายังมองแล้วมองอีกอย่างกับไม่เคยเห็น” “คิก ๆ ก่อนจะให้พวกเขาคุ้นชินพี่สะใภ้ต้องหายตกใจยามส่องคันฉ่องก่อนนะ เดี๋ยวหลานข้าจะกลายเป็นเด็กขวัญอ่อนเอาได้ ว่าแต่พี่สะใภ้หิวไหมตรงหัวมุมเกือบจะท้ายตลาดมีร้านน้ำชาบรรยากาศดี ๆ อยู่ร้านหนึ่ง เตี่ยนซินที่นั่นก็อร่อยยิ่งนักพี่สะใภ้จะต้องชอบข้ารับรองได้ [เตี่ยนซินหรือติ่มซำ/ภาษากวางตุ้ง] “แต่ข้ายังไม่หิวเลยนะเจ้าคะ” หลินหลานรีบปฏิเสธเพราะนางไม่อยากนั่งอยู่กับที่ให้คนจ้องมองนาน ๆ “พี่สะใภ้ไม่หิวแต่หลานของข้าหิวแล้ว เพราะพี่สะใภ้กินน้อยเห็นไหมท้องเลยไม่โตสักที” ซูเจินพูดพลางจูงมือของหลินหลานมุ่งหน้าไปสู่ร้านน้ำชาที่นางเคยไปนั่งกินประจำโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากคนท้อง “แค่สามเดือนเองจะให้โตขนาดไหนเชียว” คนที่กำลังถูกลากจูงไม่วายบ่นกะปอดกะแปดอย่างขัดใจ ครึ่งเค่อพวกนางก็เดินมาถึงหน้าร้านน้ำชาแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าร้านหลินหลานก็ถูกผลักอย่างแรงแต่ก็โชคดีที่นางไม่ได้ล้มเพราะซูเจินรับเอาไว้ทัน “หลบไป!! สตรีอัปลักษณ์เช่นพวกเจ้าไม่เหมาะกับสถานที่แบบนี้หรอก ไปยืนกินของข้างทางโน่นไป๊ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ชายร่างใหญ่ตวาดใส่พวกนางพร้อมกับหัวเราะอย่างพอใจ “พี่สะใภ้เป็นอะไรไหม” “หมอซูข้าไม่เป็นไร เรากลับกันเถอะ” หลินหลานรีบชวนซูเจินกลับเพราะกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย ทุกทีพวกนางจะไปไหนมาไหนก็จะมีองครักษ์ติดตามมาด้วยเสมอแต่เข้าเมืองคราวนี้ใครจะไปคิดว่าจะมีคนพาลเข้ามาหาเรื่องพวกนาง หลินหลานเอามือกุมท้องของตัวเองไว้เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกน้อย เห็นอาการหวาดกลัวของพี่สะใภ้ซูเจินก็ไม่คิดจะไปต่อ ดังนั้นสองสาวจึงพากันก้าวถอยหลังเพื่อจะออกไปให้ไกลจากบริเวณนี้ แต่จู่ ๆ ก็มีผู้ชายอีกสองคนเข้ามาขวางทางของพวกนางเอาไว้ “ถึงจะอัปลักษณ์แต่รูปร่างก็ไม่เลวเลย พี่ใหญ่เห็นด้วยกับข้าไหม” “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ตามใจเจ้าเลยน้องพี่ ตอนสนุกกับพวกนางก็เอาผ้าปิดหน้าให้มิดชิดล่ะจะได้ไม่เสียอารมณ์” ชายที่ถูกเรียกว่าป็นพี่ใหญ่พูดกับชายอีกสองคน แต่ไม่ทันที่พวกมันจะได้ลงมือฝักดาบที่โผล่มาไม่รู้ทิศทางก็ฟาดเข้าที่ต้นคอของพวกมันทุกคน “อ๊ากกก!!! พวกเจ้ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง รู้ไหมว่าพวกข้าเป็นใคร” “แล้วเจ้าเป็นใครล่ะ” เสียงบุรุษที่เดินออกมาจากร้านน้ำชาถามขึ้น เสียงนี้ไม่ได้เรียกความสนใจแค่กับคนพาลทั้งสามคนแต่สตรีทั้งสองก็รีบหันขวับไปมองเช่นกัน หลินหลานแทบทรุดเพราะคนที่นางพยายามหลบลี้หนีจากได้มาอยู่ตรงนี้แล้วต่อหน้านาง แต่เหมือนซูเจินจะมองอาการของพี่สะใภ้ออกจึงได้บีบมือนางเบา ๆ พร้อมกับกระซิบให้นางผ่อนคลายและไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครจำได้ “อยากรู้ว่าพวกข้าเป็นใครใช่ไหมข้านี่แหละคือทหารขององค์จักรพรรดิรองแม่ทัพแห่งค่ายบูรพา รู้แล้วก็ไสหัวออกไปซะ อย่ามาแส่กับเรื่องของคนอื่นหรือเจ้าคิดจะแบ่งพวกนางกับข้า จ่ายมาหนึ่งตำลึงทองแล้วเลือกไปได้หนึ่งคน ว่ายังไงสนใจไหม” เจ้าอันธพาลที่ยังไม่รู้ฟ้ารู้เหวและชตากรรมของตนหันมาต่อรองกับคนที่เพิ่งเดินออกมา “ฮึ! ข้าไม่ยักรู้ว่าค่ายบูรพามีรองแม่ทัพเหตุใดแม่ทัพเช่นข้าถึงไม่รู้จักนะ หากเป็นทหารขององค์จักรพรรดิจริงและยิ่งเป็นถึงรองแม่ทัพแล้วละก็ คงจะรู้ดีว่าบทลงโทษของทหารที่กระทำต่อสตรีเช่นนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง สงเมาพาพวกมันกลับค่ายให้หมอโจวสำเร็จโทษหากตอนพวกมันได้ก็ยิ่งดี จากนั้นก็ส่งเข้าคุกทหารเดนตาย” “โอ้ ไม่ไม่!! พวกข้าผิดไปแล้วพวกข้าไม่ใช่ทหาร ปล่อยพวกเราไปเถอะแลกกับตำลึงทอง ท่านแม่ทัพอยากได้เท่าไรก็ว่ามา” พอรู้ว่าคนที่พวกตนกำลังมีเรื่องด้วยเป็นถึงแม่ทัพอันธพาลทั้งสามก็ได้แต่โอดครวญร้องขอชีวิตลืมสิ้นความโอหังก่อนหน้านี้ “ติดสินบน เพิ่มโทษอีกหนึ่งข้อหา” จ้าวโม่หยางกล่าวจบก็ไม่ได้สนใจพวกมันอีกเขาปล่อยให้เอ้อสงกับสงเมาจัดการพวกมันตามใจชอบเรื่องแบบนี้องครักษ์ร่างใหญ่ถนัดนัก จุดไต้ตำตอแท้ ๆ การแสร้งเป็นรองแม่ทัพของมันใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว “แม่นางทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขออภัยที่เมืองหยางของข้าทำให้พวกเจ้าไม่ปลอดภัย” “รู้เช่นนั้นแล้วก็ดีเจ้าค่ะ” เมื่อหลินหลานเห็นว่าท่านอ๋องจำนางไม่ได้ นางจึงกล้าที่พูดจาตอบโต้ตอบเขาไป “เปลี่ยนคำขออภัยของท่านแม่ทัพเป็นเลี้ยงน้ำชากับเตียนซินแก่พวกเราดีหรือไม่ พี่สะใภ้ของข้ากำลังตั้งครรภ์ตอนนี้นางหิวมาก ๆ เลย หรือท่านแม่ทัพรูปงามเห็นว่าสตรีอัปลักษณ์เช่นพวกเราไม่คู่ควรที่จะนั่งโต๊ะเดียวกันกับท่าน” “แม่นางข้าไม่ได้คิดอย่างนั้นเสียหน่อย คือข้าเป็นบุรุษที่แต่งงานแล้วมันอาจจะดูไม่งามหากแม่นางทั้งสองมานั่งร่วมโต๊ะกับข้า” แม่ทัพหนุ่มกล่าวอย่างสุภาพ คำตอบของจ้าวโม่หยางเข้าทางของหลินหลานพอดี นางยิ่งไม่อยากอยู่ต่อหน้าเขานาน ๆ เพราะเกรงว่าจะถูกจับได้ นางจึงบอกปัดเขาไปเช่นกัน “ช่างเถอะท่านแม่ทัพพวกเราไม่รบกวนท่านแล้ว หมอซูเรากลับบ้านกันดีกว่านะข้าไม่ได้หิวขนาดนั้นหรอก” เมื่อได้ยินน้ำเสียงของสตรีอีกคนพูดออกมาคล้ายกับผิดหวังและน้อยใจ โม่หยางจึงฉุกคิดได้ว่านางกำลังท้อง คนที่เขากำลังตามหาก็คงจะมีอารมณ์เช่นนี้ไม่ต่างหากว่าถูกปฏิเสธ “อะแฮ่ม...ท่านแม่ทัพคนท้องเวลาหิวอารมณ์ก็จะยิ่งแปรปรวนนะขอรับ” เอ้อสงเฝ้ามองนายของตนอยู่นานจึงได้โอกาสพูดขึ้นบ้างพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้กับพี่สะใภ้คนงามของตน “ไปข้างในกันเถิดพี่สะใภ้ข้าก็หิวแล้วเหมือนกัน ท่านแม่ทัพคงไม่คิดรังเกียจเราหรอกใช่ไหมเจ้าคะ” “ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นจริง ๆ นะ ข้าขออภัยอีกครั้งหากการแสดงออกของข้าทำให้แม่นางทั้งสองเข้าใจผิด เชิญข้างในเถิด” เมื่อถูกเชื้อเชิญทั้งสองจึงไม่เกรงใจซูเจินได้เดินไปเลือกโต๊ะที่ดีที่สุดในร้านอย่างไม่ต้องถามความเห็นของใคร น้ำชาและของว่างทั้งที่ยังไม่มีใครสั่งแต่ก็ถูกยกมาวางไว้บนโต๊ะอย่างรู้ใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม