บทที่ 9
ผิงกั๋วเปรี้ยว
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทำงานหลักๆ เสร็จแล้ว ลู่ซินฟางหยิบตะกร้าผิงกั่ว(แอปเปิล) เทลงในถังไม้ ตักน้ำล้างให้สะอาด
เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านแม่ถึงเก็บผิงกั่วเปรี้ยวกลับมา แต่ก็ยังอุตส่าห์มาช่วยมารดาล้างผลผิงกั่ว
พอล้างเสร็จก็นำไปผึ่งในกระจาดจนแห้ง
ถึงอย่างนั้นเด็กน้อยทั้งสองกลับมองมารดาและมองผิงกั่วสลับไปมาด้วยความสงสัย
“ท่านแม่ ผิงกั่วมีรสเปรี้ยว ท่านแม่เก็บมาทำไมเยอะแยะ”
ในที่สุดเฉิงเอ๋อร์ก็อดทนไม่ไหวเอ่ยถามออกมา
เป่าเอ๋อร์รอฟังคำตอบด้วยตาแป๋วแว๋ว
ลู่ซินฟางยิ้มให้ลูกชายลูกสาว
ถูกต้อง ผิงกั่วในโลกนี้มีรสเปรี้ยว ตอนเข้าป่าครั้งก่อน นางเห็นผิงกั่วหล่นเต็มพื้น รู้สึกเสียดายจึงเก็บขึ้นมา กัดกินคำแรกก็ต้องร้อง ยี๋
มิน่าเล่า ทำไมชาวบ้านแถวนี้ถึงปล่อยให้ผิงกั่วหล่นเต็มพื้น ถ้าหวานอร่อยก็คงไม่ถึงปากของนางสินะ
หากนั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ผิงกั่วที่เห็นเต็มตะกร้านี้ ส่วนหนึ่งเก็บมาจากในป่า อีกส่วนหนึ่งนำออกมาจากจากมิติ
ผิงกั่วจากโลกนั้นรสชาติหวานกรอบอร่อย ผลแดงฉ่ำ ถึงอยากจะนำออกมาขาย แต่อย่างที่รู้ๆ กันดี ผิงกั่วในโลกนี้เปรี้ยว ไม่อร่อย ถ้านำไปขายสดๆ ทั้งลูกย่อมไม่มีใครอยากซื้อ ฉะนั้นแล้ว ลู่ซินฟางจึงอยากทดลองนำมาแปรรูปให้ดูน่ากิน แน่นอน รสชาติต้องอร่อยด้วย
“เดี๋ยวพวกเจ้าก็รู้” นางพูดด้วยสีหน้าลึกลับ
เด็กๆ เอียงศีรษะซ้ายทีขวาทีด้วยความสงสัย
เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์หน้าตาน่ารักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้นแม่ลูกบ้านนี้อยู่กันอย่างอัตคัด อดมื้อกินมื้อ ร่างกายเลยผอมกระร่อง แต่เมื่อได้กินอิ่มนอนหลับ ร่างกายผอมแห้งของพวกเขาจึงเริ่มมีเนื้อมีหนัง แก้มที่เคยซูบตอบตอนนี้กลมป่องเหมือนกับกระรอก พอทำท่าสงสัยก็ยิ่งดูน่ารักขึ้นไปอีก
ก่อนจะกลายเป็นคุณแม่คลั่งรักลูกแฝด ลู่ซินฟางกระแอมกลบเกลื่อน จากนั้นบอกให้เด็กๆ ไปนั่งพัก
หญิงสาวเริ่มตั้งเตาเคี่ยวน้ำตาล ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมละมุน
เมื่อน้ำตาลเคี่ยวได้ที่ ลู่ซินฟางยกกระทะลง พักเอาไว้สักครู่แล้วค่อยนำผิงกั่วเสียบไม้จุ่มลงไป
…แต่นแต้น ผิงกั่วเคลือบน้ำตาลเสร็จสมบูรณ์!
“ท่านแม่ ท่านแม่...มันคืออะไรหรือ”
เป่าเอ๋อร์ตาเป็นประกายขณะมองความแวววาวของน้ำตาลเชื่อมที่เคลือบผลผิงกั่ว รู้ดีว่าผิงกั่วเปรี้ยวมาก แต่น้ำตาลฉ่ำวาวทำไมดูน่าอร่อยจัง!
“นี่คือผิงกั่วเคลือบน้ำตาลน่ะลูก” ลู่ซินฟางตอบพร้อมกับหยิบผิงกั่วเคลือบน้ำตาลส่งให้เป่าเอ๋อร์หนึ่งไม้ “เจ้าลองชิมดู กัดให้ถึงเนื้อผิงกั่วนะ แล้วบอกแม่ว่ามีรสชาติอย่างไร”
เด็กหญิงตัวน้อยเช็ดน้ำลาย จากนั้นรับไม้ผิงกั่วมาจากท่านแม่
เฉิงเอ๋อร์ส่ายหน้าพร้อมกรอกตาเบาๆ
น้องสาวของเขา นับวันจะยิ่งตระกละเข้าไปทุกที
“เฉิงเอ๋อร์ก็ด้วย ลองชิมดูนะ”
ลู่ซินฟางยื่นไม้ผิงกั่วให้กับลูกชาย เฉิงเอ๋อร์พยักหน้า แล้วรับผิงกั่วเคลือบน้ำตาลมาจากท่านแม่
กร๊วบ...
เสียงกัดที่ฟังก็รู้ว่าต้องอร่อยดังเข้าโสต
กัดคำแรกสีหน้าของพวกเด็กๆ ยังแสดงออกอย่างสงสัย พอเริ่มเคี้ยวไปสักพักความสงสัยก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใส
“อร่อยหรือไม่”
เด็กทั้งสองพยักหน้ารัวๆ พร้อมกัน
“เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมาก!” เป่าเอ๋อร์บอกอย่างตื่นเต้น นางไม่เคยกินของอร่อยแบบนี้มาก่อนเลย
ลู่ซินฟางอยากลองบ้างจึงหยิบขึ้นมาชิมหนึ่งไม้ ความกรอบของน้ำตาล กลิ่นหอมของน้ำผึ้ง พอผสมกับรสเปรี้ยวของผิงกั่วกลับเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ
“จริงด้วย ตอนแรกมีรสเปรี้ยว แต่พอเคี้ยวไปสักพักก็มีรสหวานนิดๆ”
เป่าเอ๋อร์เคี้ยวเต็มปาก ทำได้เพียงพยักหน้าส่งเสียง “อืมๆ”
“ต้องขายดีแน่ๆ ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์บอก
ลู่ซินฟางลงมือทำผิงกั่วเคลือบน้ำตาลต่อ คราวนี้ทดลองด้วยการใช้ผิงกั่วที่เก็บจากมิติ วิธีแยกระหว่างผิงกั่วสองโลกนั้นง่ายมาก ผิงกั่วในโลกนี้มีขนาดเล็กกว่า สีไม่แดงสดเหมือนต่างมิติ
และแน่นอน ผิงกั่วจากต่างมิติย่อมอร่อยกว่า
หลังจากนั้นลู่ซินฟางกับลูกๆ ก็มาที่บ้านเถี่ย ภายนอกดูเหมือนเอาผิงกั่วเคลือบน้ำตาลมาให้ชิงเหลียนลองชิม แต่ความจริงตั้งใจมาสอบถามบางอย่าง
ในตอนแรกชิงเหลียนแสดงออกเหมือนกับเด็กทั้งสอง ทั้งแปลกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อว่าพอเอาผลผิงกั่วมาเคลือบน้ำตาลแล้วจะอร่อย ซ้ำรสเปรี้ยวของผิงกั่วกับน้ำตาลเคลือบยังเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ
“พี่ซินฟาง นี่มันอร่อยมากจริงๆ” ชิงเหลียนกินไปยิ้มไป สักพักทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างออก “จริงสิ เมื่อวานข้ากับท่านพี่เข้าเมือง พอดีเจอเถ้าแก่หลี่ เขาถามว่าเมื่อไรพี่ซินฟางจะเอารองเท้าฟางมาฝากขายอีก”
ลู่ซินฟางยิ้มอย่างลำบากใจก่อนจะตอบ
“ใจจริงก็อยากถักรองเท้าไปฝากที่ร้านเถ้าแก่หลี่อยู่หรอก แต่อย่างที่เห็น ข้าไม่ค่อยมีเวลามากนัก กว่าจะถักเสร็จหนึ่งคู่ก็ต้องใช้เวลา”
“ถูกของท่าน”
ชิงเหลียนเข้าใจดี ผู้หญิงตัวคนเดียว เลี้ยงลูกสองคน ลำบากไม่น้อย
“ถึงจะไม่ค่อยมีเวลาถักรองเท้า แต่ผิงกั่วเคลือบน้ำตาลใช้เวลาไม่นาน ข้าตั้งใจว่าจะเข้าเมือง เช่าหน้าร้านเถ้าแก่หลี่แล้ววางขายสักหน่อย”
“พี่ซินฟาง ผิงกั่วของท่านต้องขายได้แน่นอน”
“แล้วก็ ข้าอยากถามเจ้าอีกเรื่อง”
“อะไรหรือ”
“เมืองเล่ออันมีโรงเตี๊ยมเยอะแยะ แต่ข้าไม่รู้ว่าโรงเตี๊ยมใดที่คนนิยมเข้าใช้บริการ เจ้าพอจะรู้หรือไม่”
ชิงเหลียนทำหน้าครุ่นคิดพลางส่งเสียง “อืม...” ในลำคอ สักครู่หนึ่ง ฝ่ายนั้นถึงตอบกลับว่า “ถ้าพูดถึงโรงเตี๊ยมเก่าแก่ก็ต้องโรงเตี๊ยมตระกูลฉิน แต่พี่ซินฟางถามถึงโรงเตี๊ยมยอดนิยม ที่ข้านึกออกตอนนี้ก็มีแต่โรงเตี๊ยมตระกูลกง”
แล้วชิงเหลียนก็อธิบายเพิ่มว่า โรงเตี๊ยมตระกูลฉินเปิดมานานหลายรุ่น นับเป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่ แต่แล้ว เมื่อสามปีก่อน โรงเตี๊ยมตระกูลกง ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมขึ้นชื่อจากเมืองหลวงขยายกิจการมาถึงเมืองเล่ออัน ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง
“ข้าได้ยินมาว่าอาหารจากโรงเตี๊ยมตระกูลกง รวบรวมของขึ้นชื่อจากเมืองต่างๆ ของแคว้นเหลียว วัตถุดิบก็เป็นของชั้นเลิศ พ่อครัวประจำโรงเตี๊ยมแต่ละสาขาล้วนเป็นคนมีชื่อเสียงด้านอาหาร เพราะอย่างนั้น ผู้คนจึงหลั่งไหลเข้าออกไม่ขาดสาย ว่าแต่ พี่ซินฟางจะเอาของไปฝากขายหรือ”
ตอนท้ายที่ชิงเหลียนถาม สีหน้าค่อนข้างกังวล
แค่ฟังคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าโรงเตี๊ยมตระกูลกง คนธรรมดาอย่างลู่ซินฟางไม่อาจเอื้อมถึง
“พี่ซินฟาง ถ้าพี่จะทำขนมไปฝากขายละก็ ลองติดต่อโรงเตี๊ยมเล็กๆ ดีหรือไม่”
“ขอบใจเจ้ามากชิงเหลียน...แต่จะให้ตัดใจทั้งที่ยังไม่ทันได้ลงมือ ข้าทำไม่ได้” ลู่ซินฟางพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน หากในแววตากลับแสดงออกถึงความแน่วแน่
ชิงเหลียนอึ้งไปเล็กน้อย สักครู่ แววตาของนางก็เปลี่ยนเป็นความเลื่อมใส
“พี่ซินฟาง ข้านับถือท่านจริงๆ”
“หือ?”
“พี่ซินฟางในตอนนี้เหมือนน้าเจาสมัยสาวๆ ไม่มีผิด เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่พี่ซินฟางกลับมาอยู่บ้านเดิม ทำข้าอดห่วงไม่ได้ แต่เผลอแป๊บเดียว ท่านก็เหมือนเป็นคนละคน”
น้าเจา หรือก็คือลู่เจา มารดาของลู่ซินฟาง ที่ที่นางอยู่ในตอนนี้เป็นที่ดินเก่าแก่ของตระกูลลู่ หลังจากท่านแม่แต่งงานออกเรือน ท่านแม่ได้พาลู่ซินฟางกลับมาเยี่ยมท่านยายบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้ ลู่ซินฟางกับชิงเหลียนจึงสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง
เพราะพ่อแม่ของลู่ซินฟางประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ตอนที่ลู่ซินฟางหย่ากับเหอถิง นางจึงอับจนหนทาง เงินติดตัวก็แทบไม่มี นางพาลูกๆ บากหน้าไปขอพึ่งพิงบ้านตระกูลเซียว ซึ่งเป็นตระกูลของท่านพ่อ เพราะเห็นว่าอยู่ในเมืองชิ่งเหมือนกัน แต่ทางนั้นกลับอ้างว่าหลังจากท่านพ่อแต่งงานกับท่านแม่ ท่านพ่อก็เลือกที่จะตัดขาดกับตระกูลเซียว
ลุงใหญ่(พี่ชายของท่านพ่อ) ให้เงินมา 200 เหรียญ แล้วบอกว่าใช้เป็นค่าเดินทางกลับบ้านนอกไปเสีย จากนั้นก็ขับไล่พวกนางแม่ลูกออกมา
ลู่ซินฟางคนเก่ารู้มาตลอด เพราะบ้านลู่ยากจน ท่านพ่อที่เป็นลูกชายคนรอง ทั้งเป็นแค่ข้าราชการตำแหน่งเล็กๆ ในท้องถิ่น ยิ่งพอแต่งงานกับท่านแม่ ตระกูลเซียวจึงขับท่านพ่อออกจากบ้าน
สรุปคือไม่มีใครต้อนรับลู่ซินฟางกับเด็กทั้งสอง ตรงข้ามกับหมู่บ้านชนบทแห่งนี้ แม้เจียงลิ่วเป็นแกนนำของเหล่าแม่บ้าน ตั้งวงติฉินนินทา พูดจาดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่คนเฒ่าคนแก่ที่รู้จักบ้านลู่ต่างต้อนรับพวกนาง
ลู่ซินฟางเลิกคิดเรื่องของร่างเดิม อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป
“ตอนที่ข้ากลับมาหมู่บ้านนี้ช่วงแรก ข้ายังเสียใจที่ถูกคนผู้นั้นทรยศ แต่ตอนนี้ ข้าทำใจได้แล้ว เพราะข้ามีลูกๆ ให้ต้องดูแล”
พูดจบก็มองเจ้าตัวเล็กที่เล่นกับเถี่ยฮ่าวซืออยู่ที่ลานหน้าบ้าน
ชิงเหลียนมองตามสายตาของนางก็เข้าใจความหมาย สักครู่ก็โพล่งขึ้นว่า “ข้าจะเอาใจช่วยพี่ซินฟาง!”
หญิงสาวยิ้มมองฝ่ายตรงข้าม พลางคิดว่าชิงเหลียนกับเถี่ยฮ่าวซือช่วยนางกับพวกเด็กๆ ไว้เยอะ ไว้มีโอกาสต้องตอบแทนซะแล้ว