บทที่ 16
คนประเภทเดียวกัน
เดิมที ลู่ซินฟางตั้งใจจะไปหาหลินกับหลางไป๋ในคืนนั้น แต่เพราะเหนื่อยล้ามาทั้งวัน นางจึงหลับสนิทจนถึงเช้า
ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พบว่าลูกทั้งสองตื่นแล้วเช่นกัน
ปกติ ลู่ซินฟางจะตื่นตั้งแต่เช้ามืด พอเฉิงเอ๋อร์เห็นท่านแม่เพิ่งตื่น เด็กชายขยี้ตาอย่างงัวเงียแล้วถาม “ท่านแม่ วันนี้ไม่เข้าเมืองหรือ”
ผมสีดำของเจ้าตัวน้อยยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นนอน ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง
ลู่ซินฟางยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนจุ๊บแก้มลูกๆ คนละหนึ่งที
“วันนี้แม่จะไปทำธุระที่บ้านน้าชิงเหลียน พวกเจ้าอยากไปกับแม่หรือไม่”
“อยากไปขอรับ”
“ข้าก็จะไปด้วยนะ ท่านแม่”
ทั้งสองกระตือรือร้นอย่างยิ่ง รีบลุกจากที่นอน ออกไปล้างหน้าแปรงฟันทันที
ระหว่างที่ลู่ซินฟางลุกขึ้นมาหุงหาอาหารเช้า พวกเด็กๆ แต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่นางซื้อให้
“ท่านแม่...ข้ามัดที่ผูกเอวไม่ได้”
เป่าเอ๋อร์เดินมาหาลู่ซินฟาง
“เด็กโง่ มานี่ เดี๋ยวพี่มัดให้” เฉิงเอ๋อร์เรียกน้องให้เข้ามาหา แถมยังพึมพำอีกว่า “ท่านแม่ยุ่งอยู่ไม่เห็นหรือ”
“เห็นแล้ว” เป่าเอ๋อร์แก้มป่อง ขณะให้พี่ชายช่วยมัดเชือกผูกเอว
ลู่ซินฟางกำลังเตรียมถ้วยข้าว พอเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เพราะมีเด็กทั้งสองคน บ้านหลังนี้จึงมีสีสัน และทำให้นางที่มาจากต่างโลกมีเป้าหมายในการดำรงชีวิตด้วย
“เอาละ มากินข้าวกันได้แล้ว”
ลู่ซินฟางเรียกลูกๆ
เด็กน้อยทั้งสองหย่อนก้นนั่งลงประจำที่ของตน หยิบตะเกียบขึ้นมา กินข้าวเช้าอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อเย็นวาน ลู่ซินฟางทำขนมเค้กแอปเปิลให้ลูกๆ กินพอดี ก่อนหน้านี้นางตัดแบ่งเอาไว้ วันนี้จึงนำใส่ตะกร้าไปฝากชิงเหลียนกับเถี่ยฮ่าวซือ
ถึงจะเป็นความลับทางการค้า แต่แบ่งให้สองคนนั้นคงไม่เป็นอะไร
ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยว อีกทั้งชิงเหลียนกับเถี่ยฮ่าวซือก็แยกบ้านออกมาอยู่กันตามลำพัง แม้ที่ดินผืนนั้นจะเป็นของบ้านเถี่ย แต่ทางนั้นก็ไม่ได้มารบกวนทั้งสองคนแต่อย่างใด สองสามีภรรยาอยู่บ้านทำงานทั่วไป ไม่ได้ออกไปที่ไร่นา
เห็นลู่ซินฟางเดินเข้ามา ชิงเหลียนก็เอ่ยทักทันที
“พี่ซินฟาง”
เถี่ยฮ่าวซือกำลังมัดฟืนอยู่ที่ลานหน้าบ้าน พวกเด็กๆ จึงวิ่งเข้าไปหา
“พอดีข้ามีธุระอยากรบกวนฮ่าวซือสักหน่อย แล้วก็นี่ ข้าเอาขนมมาฝากพวกเจ้าด้วย” ลู่ซินฟางพูดพร้อมยื่นตะกร้าขนมให้กับชิงเหลียน
“ขนมหรือ อะไรกันนะ”
หลังจากชิมผิงกั่วเคลือบน้ำตาลครั้งก่อน ชิงเหลียนก็ตั้งตารอคอยขนมของลู่ซินฟางที่จะวางขายในครั้งถัดไป ถึงขั้นว่าจะชวนสามีเข้าเมืองด้วยกัน พอได้ยินลู่ซินฟางพูดถึงขนม นางจึงถามด้วยท่าทีตื่นเต้น
ลู่ซินฟางยิ้มกว้างพลางกล่าว “ท่าทางของเจ้าเหมือนเป่าเอ๋อร์เสียจริง”
“แหม พี่ซินฟางละก็”
ชิงเหลียนแกล้งทำแก้มป่อง พอเปิดกล่องก็เห็นขนมแป้งนุ่มฟู ทั้งยังมีกลิ่นหอมละมุนไม่เหมือนกับขนมอื่นๆ ที่เคยกินมา หนำซ้ำบนแป้งนุ่มฟูยังมีผิงกั่วเคลือบน้ำตาลวางซ้อนกันเป็นรูปดอกไม้
ชิงเหลียนทำหน้าแปลกใจและน้ำลายสอเวลาเดียวกัน
“ขนมนี้เรียกว่าอะไรหรือ น่ากินจังพี่ซินฟาง”
ลู่ซินฟางแย้มพรายว่า “นี่เรียกว่าเค้กแอป...เอ่อ เค้กผิงกั่ว อย่าพูดไปล่ะ นี่คือสูตรขนมที่ข้าขายให้กับโรงเตี๊ยมตระกูลกง ข้าเอามาฝากพวกเจ้าสองคนเท่านั้นนะ”
ชิงเหลียนทำสีหน้าว่าเข้าใจแล้ว
ครั้งก่อนลู่ซินฟางมาขอคำแนะนำจากชิงเหลียนเรื่องโรงเตี๊ยมขึ้นชื่อในเมืองเล่ออัน เพื่อนำสูตรขนมไปขาย ที่แท้ก็เป็นเค้กผิงกั่วนี่เอง
“แค่เห็นขนมนี่ ข้าก็รู้สึกว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ มิน่าเล่า เถ้าแก่กงถึงยอมซื้อสูตรของพี่ทันที แต่ว่า ให้ข้ากินจะดีหรือ!?”
ถึงอย่างไรก็เป็นการค้า เอามาให้กินง่ายๆ จะดีจริงหรือ
“แค่เจ้ากับฮ่าวซือเท่านั้น”
“ขอบคุณพี่ซินฟาง!”
ชิงเหลียนยิ้มแย้มอย่างซาบซึ้ง ก่อนถามนางว่า “ว่าแต่ พี่ซินฟางบอกว่ามาหาพี่ฮ่าวซือ พี่จะทำการค้าอะไรหรือ”
“คราวนี้ไม่ใช่มาปรึกษาเรื่องการค้าอะไรหรอก ข้ามาเพื่อจะจ้างฮ่าวซือสร้างบ้านหลังใหม่กับโกดังเก็บของน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าไปเรียกพี่ฮ่าวซือมานะ”
“อืม”
หลังจากเถี่ยฮ่าวซือมาถึง ชิงเหลียนก็ลุกไปชงชาและยกขนมกินเล่นมาให้ทุกคน
ลู่ซินฟางไม่อยากรอช้า เข้าเรื่องทันที นางหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษคือภาพจำลองที่ดินที่นางวาดคร่าวๆ
“ข้าต้องการสร้างโกดังเก็บของตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้จะบ้านพัก เจ้าพอจะทำได้หรือไม่”
เถี่ยฮ่าวซือพยักหน้าตอบ “ช่วงนี้ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ไร่นาก็หว่านเสร็จแล้ว ข้ากับสหายมีเวลาว่างพอดี” จากนั้น เขาก็สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม อย่างขนาดของโกดังสินค้า บ้านพักต้องการกี่ห้อง วันที่ในการเริ่มก่อสร้าง และท้ายสุดก็ตกลงเรื่องค่าแรง
หลังตกลงเรื่องรายละเอียดกันครบถ้วนดีแล้ว ลู่ซินฟางก็จ่ายค่าอุปกรณ์ รวมทั้งค่าแรงล่วงหน้าให้กับชายหนุ่มไปส่วนหนึ่ง
จบธุระในส่วนสำคัญ ลู่ซินฟางกับชิงเหลียนอยู่คุยเรื่อยเปื่อยต่ออีกสักพัก จากนั้นค่อยพาลูกๆ กลับบ้าน
หลังจากเสร็จธุระบ้านเถี่ยแล้ว ลู่ซินฟางพาลูกๆ เข้าเมืองไปหาซื้อตู้เตียง ที่นอนกับผ้าห่มเข้าบ้านใหม่
ถึงจะบอกว่าบ้านใหม่ แต่ความจริงคือเรือนพักชั่วคราว ซึ่งอยู่หลังร้านขายวัตถุดิบ
จากเหตุการณ์เมื่อวาน ลู่ซินฟางคิดว่ายิ่งพาลูกๆ ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเร็วเท่าไร พวกเด็กๆ ก็ไม่ต้องเจอเจียงลิ่วตามราวีเร็วเท่านั้น
แม้ว่าลู่ซินฟางจะไม่สนใจคนพวกนั้น แต่เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ยังเล็ก ได้ยินคำพูดสกปรกบ่อยเข้า กลัวว่าจะเป็นปมในใจเสียเปล่าๆ
ระหว่างลู่ซินฟางกับลูกทั้งสองเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อของอยู่นั้น หารู้ไม่ มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่พวกนาง
บนอาคารชั้นสองของโรงเตี๊ยมตระกูลกง ภายในห้องรับรอง กงเยียนซูที่นั่งริมหน้าต่าง ทอดสายตามองบนถนน เดิมทีก็แค่สังเกตผู้คนเดินผ่านไปมา ไม่คิดว่าจะเห็นลู่ซินฟางกับลูกแฝดของนาง
“จิ่นเซี่ย เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าแนะนำอาคารราคาเกือบ 80 ตำลึงทอง ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะบ่นว่าแพง เงินจะพอหรือไม่ แต่สุดท้าย นางก็ตัดสินใจซื้ออาคารนั้นแทนการเช่า และยังขอแบ่งจ่ายเป็น 5 งวด ภายในระยะเวลา 5 เดือน สำหรับข้าเงินตำลึงทองไม่นับว่ามาก แต่ชาวบ้านอย่างนางต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีกว่าจะหามาได้ เจ้าไม่คิดว่านางน่าสนใจหรอกหรือ”
จิ่นเซี่ยคือคนติดตามของกงเยียนซู ก่อนหน้านั้นได้รับสั่งให้ตามคุ้มกันลู่ซินฟางพร้อมกับสืบเรื่องของนาง ข้อมูลที่ได้มาธรรมดาเกินคาด นางเป็นเป็นหญิงหม้าย ฐานะยากจน แต่แล้วจู่ๆ ก็เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการขายรองเท้า ต่อมาเป็นผิงกั่วเคลือบน้ำตาล และหาเงินก้อนจากการขายสูตรขนม เงินก้อนใหญ่นั้นก็ได้มาจากนายท่านของตนนั่นเอง
“นายท่าน เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวลือเกี่ยวกับลู่ซินฟางขอรับ”
กงเยียนซูเท้าคาง สายตายังคงทอดมองนอกหน้าต่าง “เจ้าว่ามา”
“พวกชาวบ้านลือว่านายท่านกับนาง เอ่อ...นางใช้วิธีสกปรกหาเงินจากนายท่านขอรับ”
กงเยียนซูหาได้สะทกสะท้านต่อคำนั้น ตรงข้าม คิ้วคมเลิกสูง จากนั้นหัวเราะฮ่าๆ อย่างชอบใจ
“นางตอบโต้อย่างไร”
“นางบอกว่าจะฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท”
ได้ยินแบบนี้ กงเยียนซูเอ่ยว่า “ช่างน่าสนใจ”
หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงตอบโต้ด้วยวิธีรุนแรง ขนาดเหล่าคุณหนูในเมืองหลวง หากไม่พอใจก็จิกผมตบตีกัน แต่ลู่ซินฟางกลับใช้คำพูดชวนเข้าใจยากตอบกลับไป
หมิ่นประมาท? ถ้าเข้าใจไม่ผิด คงหมายถึงการดูหมิ่นดูแคลนทำนองนั้น
อีกอย่าง นางไม่ได้จัดการคนพวกนั้นทันที คงต้องการดูปฏิกิริยาของเขาด้วยกระมัง
ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่
นัยน์ตาคมเข้มของกงเยียนซูฉายแววอยากรู้ แต่ในขณะเดียวกัน จิตใต้สำนึกบอกว่าหากสืบค้นเรื่องของนางมากกว่านี้ เขาอาจไม่มีโอกาสได้ทำการค้าร่วมกับนางอีกเป็นครั้งที่สอง
เหตุนี้ เขาจึงสั่งจิ่นเซี่ยยุติการสืบเรื่องของลู่ซินฟาง
อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางคิดจะยืมมือเขาสั่งสอนคน เช่นนั้นก็...ย่อมได้!
“จิ่นเซี่ย เจ้าปล่อยข่าวลือนั้นออกให้ทั่วเมือง อย่าทำให้นางผิดหวัง”
“ถ้าทำแบบนั้น ชื่อเสียงของนายท่านจะเสื่อมเสียเอาได้นะขอรับ” จิ่นเซี่ยกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
“ชื่อเสียงข้าเสื่อมเสียตั้งแต่เลือกเปิดโรงเตี๊ยมแล้ว อีกอย่าง คนในครอบครัวของข้าไม่มีใครสนใจว่าข้าจะทำอะไร แล้วทำไมข้าต้องสนใจคนอื่นด้วย”
ยามกล่าวประโยคนั้น แววตาทะเล้นของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แทบไม่เห็นก้นบึ้งของอารมณ์
ไม่ใช่ลู่ซินฟางที่มีความลับ เขาเองก็ไม่ต่างกับนางสักเท่าไร ฉะนั้น เขากับนางจึงเป็นคนประเภทเดียวกัน