คันที่เป็นเป้าหมายได้แล้ว
เพราะกริญจ์ขับรถขนาบอยู่ทางด้านขวา ดังนั้นเขาจึงลดไขกระจกลง เพื่อให้เห็นหน้าชัดเจน
จากนั้นพอฝ้ายนิลมองเห็นหน้าชัดเจน ถึงกับตกใจในทันที
“อ๋อ นายบ้า คนนั้นเอง ตามมาอีกจนได้”
และเสียงบ่นออกมาของเธอทำให้คนขับหันมาถามอีก
“อ้าว นี่ หนูรู้จักกับคนขับด้วยหรือ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ คงจะเป็นคนบ้าน่ะ คะ พวกโรคจิตที่คิดจะทำมิดีมิร้าย เอ้อ กับหนู”
เมื่อฝ้ายนิลตัดสินใจพูดออกไปอย่างนั้น
พอถึงสี่แยกข้างหน้า ก็เริ่มจะเป็นชุมชนใหญ่ที่มีผู้คนอยู่ในละแวกนั้นค่อนข้างหนาตาแล้ว คิดว่าผู้โดยสารจะปลอดภัย
“งั้น แจ้งตำรวจดีไหม ล่ะหนู เอ้อ ให้ลุงแจ้งไปที่วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน แต่ว่า ใกล้ๆจะถึง ลุงจะหยุดจอดให้หนู ตรงสี่แยกข้างหน้า มันเป็นชุมชนใหญ่ ที่หนูปลอดภัย”
“ได้ค่ะ คุณลุง” หล่อนตอบ
และในความคิดของฝ้ายนิลคิดว่าไหนๆชะตากรรมของเธอก็ต้องมาเจอกับคนโรคจิตแบบนี้
มันคงหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ แน่นอน
ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นมาปะทะหน้ากันดีกว่า
สู้กันซึ่งหน้า
หล่อนไม่กลัวใครหรอก คนอย่างฝ้ายนิลเสียอย่าง
ก็กลางชุมชนเลยล่ะ
เพราะคิดว่าเขาคงไม่กล้าทำอะไร ที่ดูน่าเกลียดหรอก
เอ หากแต่ถ้ามีอะไรที่ดูร้ายแรงมากกว่านี้
เธอก็สามารถที่จะร้องตะโกนและวิ่งเข้าหาชาวบ้านตรงหน้า และให้คนแถวนั้นช่วยเหลือก็ได้
ฝ้ายนิลคิดหาทางป้องกันและทางหนีทีไล่
และในขณะนั้น สำหรับคนขับรถเบ๊นซ์
อย่างกริญจ์ เขาก็หัวเสียอย่างหนักเลยทีเดียว เพราะนี่ขนาดวิ่งตีคู่ขนาบกันขนาดนี้
เจ้าแท็กซี่ยังไม่หยุดจอดอีก มันน่าโมโหนัก และกลับเพิ่มความเร็วอีกจนว่า
เขาต้องรีบเร่งให้เท่ากัน เพราะเมื่อเกิดอาการที่หมั่นไส้เข้ามากๆ
เขาก็เลยบีบแตรให้เสียงดังลั่นสนั่นไปหมด
โดยไม่สนใจชาวบ้านจะตกใจมากแค่ไหน
“ฮึ ดูเอาเถอะ นายคนนี้มาทำโมโหบีบแตรไล่หลัง อย่างนี้ เอ้อ ลุง คะ หนูว่าจอดที่ตรงนี้ก็ได้ แล้วนี่ค่ะ สตางค์ค่ารถ ไม่ต้องทอนนะคะ เพราะเดี๋ยวหนูจะขึ้นคันใหม่ ”
หล่อนกลัวคนขับไม่ปลอดภัย ในสวัสดิภาพ เพราะถูกคุมคาม จากอันธพาลข้างถนนคนนั้น
ฝ้ายนิลพูดอย่างเข้าใจความรู้สึกของคนขับ
“เอ ไม่เป็นไร หรอกหนู ลุงไม่รับหรอกนะ ยังส่งไม่ถึงปลายทาง ให้หนูเก็บเอาไปต่อคันอื่นต่อเถอะ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”
หากคนขับรถนั้นเอ่ยปฏิเสธ
แต่ว่าทางฝ้ายนิลก็ไม่ยอมเช่นกัน
“แต่ไม่ได้นะคะคุณลุง เพราะหนูใช้บริการไม่ได้นั่งเปล่าๆ และก็ถือว่าเป็นความสบายใจของหนูด้วย นะคะ ถ้าลุงไม่รับ หนูไม่สบายใจแน่ถ้าไม่ได้จ่ายค่ารถ กว่าที่ลุงจะหาลูกค้าคนใหม่ได้อีก ก็นานนะคะ รับไปเถอะ”
ซึ่งฝ้ายนิลก็คะยั้นคะยอให้คนขับนั้นรับเงินค่าโดยสาร
ซึ่งเธอก็หยิบแบ๊งค์ร้อยหนึ่งใบ พร้อมกับคว้ากระเป๋าของตนเองเตรียมพร้อมจะลงในทันที
เมื่อคนขับนั้นหยุดจอดให้ชิดติดริมฟุตบาธ จากนั้นเธอก็เปิดประตูลงจากรถในทันที
พร้อมกับรีบวิ่งตรงไปข้างหน้า ซึ่งมีสะพานลอยอยู่ตรงบริเวณสี่แยกไฟแดง
เธอคิดว่าจะข้ามสะพานลอย
ไปดักเรียกแท็กซี่ ที่ฝั่งโน้นดีกว่า ยอมเสียเวลาหน่อย
แต่ว่าคงหนีพ้นจากผู้ชายโรคจิตคนนั้นอย่างแน่
ฮึ คนที่นำความเดือดร้อนมาให้เธอในเวลานี้ไง
เพราะกริญจ์กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เมื่อเขาขับจนสามารถแซงหน้าหญิงสาวตัวเล็กได้
และรถไปจอดหยุดอยู่ตรงบริเวณเสาไฟฟ้าที่มืดสนิทตรงนั้น ดูเปลี่ยวบ้าง
แม้จะมีบ้านเรือนของผู้คน แต่ก็เงียบและปิดไฟดับสนิท จากนั้นรีบล๊อครถ
แล้วตัดสินใจวิ่งสวนกลับมายังทิศทางที่หญิงสาวนั้นเป็นฝ่ายวิ่งตรงมา
เพราะหล่อนไม่คาดคิดนั่นเอง และเมื่อฝ้ายนิลมองเห็นชัดเจน
ดังนั้นหญิงสาวจึงพยายามจะวิ่งย้อนกลับไปยังที่เดิมอีกเพราะเขาวิ่งมาดักหน้าอย่างนี้
เพื่อจะหนีเขาไปให้ไกล
เพราะนี่เขาเล่นเอามือคว้าและกอดรัดร่างของหล่อนจนแทบจะหายใจไม่ออกด้วยซ้ำ จนสิ้นอิสรภาพเลยทำให้หล่อนต้องดื้อดึงเขาพร้อมกับแข็งขืน
“เป็นไงล่ะ แม่คุณ นี่ ฉันบอกแล้วไงว่า เธออย่าฤทธิ์มาก บอกให้อยู่เฉยๆ เพราะฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก”
สำหรับหล่อนนั้นก็เห็นมีวิธีเดียวที่จะช่วยตัวเองได้ในยามนี้ ก็คือ เออออส่งๆไป
ถ้านายคนบ้านี้พูดอย่างที่เขารับปากไว้ก็ดี
ดังนั้นเธอจำเป็นต้องพูดดีกับเขาไปด้วย
เพราะตอนนี้จะให้ทำอะไรได้ เพราะสถานการณ์มันบังคับอีก
สำหรับฝ้ายนิล เจอคนบ้า อารมณ์เถื่อน
หลังจากนั้นเขาใช้วิธีลากจูงมือพร้อมกับแกมบังคับหล่อนให้ไปกับเขาด้วยกันกับเขา
“งั้นเอาแบบนี้ ไปคุยกันที่รถของฉัน”
แม้เป็นคำพูดสั้นๆ ที่ทำให้เธอนั้นจะต้องยอม
และเชื่อเขาไปง่ายๆ ในขณะนี้ เพราะไม่มีทางเลือกอะไรสำหรับเธอ
ในขณะนี้เพราะหากถ้าเขาจะเอาไปฆ่าไปแกงอย่างไรก็ทำได้
และเธอคงไม่รอดพ้นมือเขาเป็นแน่
มีแต่ทางเสียเปรียบ
ครั้นเมื่อหล่อนจ้องไปที่ใบหน้าของเขา
ซึ่งหน้าตาของเขานั้นไม่ได้น่าเกลียดสักหน่อย เพราะออกจะหล่อเหลา เอาการทีเดียว
หากแต่ทำไมจิตใจเขาถึงเถื่อน ทมิฬ หินชาติอย่างนี้
คือการใช้กำลังประทุษร้ายผู้หญิงอย่างนี้
ถือว่าแสนเลวที่สุด
“งั้นที่ฉันถามเธอในตอนนั้น ทำไมเธอถึงไม่ตอบ หรือเธอชอบผู้หญิงเพศเดียวกัน”
ครั้นเมื่อเขาคิดไปแบบนี้
เลยทำให้ฝ้ายนิลรีบรับสมอ้างทันที
“ใช่ ใช่ละ เพราะฉันชอบแบบนั้น คือ ฉันไม่ชอบผู้ชายเลยสักนิด”
“ฮึ ก็นั่น ไงฉันนึกแล้วไม่มีผิดเลย และมันก็แค่นี้เอง ที่ฉันอยากรู้ ชื่นชอบและนิยมตีฉิ่ง ก็ไม่บอกกันเสียแต่คราวแรก นี่ เธอมาทำให้ฉันอารมณ์เสียอย่างมาก ฮึ เอาล่ะไปเสียสิ ไปได้ ฉันปล่อยเธอแล้ว แล้วต่อไปอย่ามาทำแบบนี้อีกนะคือ อ่อยผู้ชาย”
อะไรกัน หล่อนนี่นะ หรือ อ่อยผู้ชาย บ้าที่สุด
พร้อมกันนั้นฝ้ายนิลก็ได้ทบทวนกับเรื่องที่เกิดขึ้นแบบสดๆร้อนๆกับตนเอง
มันเกิดขึ้นได้อย่างไรหนอ ถือว่าวันนี้โชคร้ายที่สุด
ก็แล้วทำไมละ จะต้องมาพบเจอะเจอกับผู้ชายปากร้าย ป่าเถื่อนคนนั้นด้วย
ผู้ชายอย่างเขา ที่มองเห็นความทุกข์ของคนอื่น เป็นเรื่องสนุกสนาน น่าล้อเล่น
จนกระทั่งหล่อนเดินเข้าไปข้างในตึก เพื่อกดลิฟต์ชั้นสามห้องที่พัก
สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ คือรีบอาบน้ำเปลี่ยนเครื่อง
แต่งกายเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องทำงานต่อ
และฝ้ายนิลไม่กล้าโทรศัพท์ไปเล่าให้ใครฟังทั้งสิ้น
แม้แต่ปวีณาเพราะเกรงจะไปรบกวนการหลับนอนที่แสนสุขของเพื่อน
เพราะเรื่องนี้หล่อนขอสาปส่งผู้ชายประเภทนี้
ก็ขออย่าได้พบเจออีกเลยเถอะเจ้าประคุ้น
ส่วนเขานั้นก้าวลงจากรถ แล้วเดินไปกดออดที่หน้าประตูรั้วอัลลอยด์สีทองของคฤหาสน์หลังงามตระหง่านเบื้องหน้า