บทที่ 2
[ NAMHOM’S PART ; ]
“อื้อ…”ความอึดอัดอึดอัดเหมือนมีอะไรมากดทับหรือกอดรัดบริเวณช่วงเอว ทำให้ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นตื่นจากห้วงนิทรา เพื่อมองหาต้นเหตุนั้นให้แน่ชัด “นะ...นี่มัน นี่มันอะไรกัน”
ฉันเบิกตากว้างแต่ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบาเมื่อเห็นว่าตอนนี้ร่างกายของฉันกำลังถูกโอบกอดด้วยวงแขนแกร่ง ซ้ำใบหน้าก็ยังซบอิงแนบชิดอยู่ที่ช่วงเนินอกของฉันได้อย่างพอดิบพอดี แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจไปมากกว่าการถูกกอดรัดนั่นก็คือเจ้าของอ้อมแขน เขาคือคุณลูกค้าเมื่อคืน!
หัวสมองกำลังประมวลภาพความทรงจำทว่าอยู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ฉันถูกไอ้พวกโรคจิตจะทำไม่ดีไม่ร้าย แต่ก่อนจะเกิดเรื่องน่าสะเทือนใจเหล่านั้นขึ้นกลับมีกลุ่มคนคนหนึ่งที่เข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทัน
ในตอนนั้นฉันตกใจมาก พยายามเพ่งกดสายตามองหาบุคคลมีเมตตาแต่สติดวงน้อยกลับดับวูบลง จนไม่ทันรับรู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“อือ”คนโอบกอดเปล่งเสียงออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมองหน้าฉันนิ่ง ๆ ท่าทางของเขาไม่ได้รู้สึกตกใจเหมือนกับอาการของฉันเลยสักนิด แถมพอตื่นขึ้นมาเขาก็กลับซบอิงและหลับตาลงดังเดิมทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่คุณ! ตื่นก่อนสิ คุณ!”ฉันอดที่จะโวยวายไม่ได้เมื่อคนตัวโตกลับทำเฉยเมยทั้งที่สีหน้าของฉันมันแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังมีคำถามมากมายที่เล่นงานอยู่ในสมอง
ฉันอยากรู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
เป็นเขาใช่ไหมที่ช่วยฉันไว้?
ที่นี่ที่ไหน?
และไอ้คนเลว ๆ กลุ่มนั้นสภาพของมันตอนนี้เป็นยังไง?
“อื้อ ง่วง เงียบน่า ฉันจะนอน!”เขาตอบกลับมาทั้งที่ไม่ได้ลืมตาข้ามองแม้แต่น้อย
“งั้นคุณก็นอนไป แต่ช่วยปล่อยฉันก่อนได้ไหม ฉันอึดอัด”ฉันถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ให้คนผู้มีพระคุณ ในเมื่อเขาไม่ยอมตื่นฉันก็คงไม่สามารถบีบบังคับให้เขาตื่นขึ้นมาตอบคำถามได้
เขาอยากจะนอนต่อก็เชิญตามสบาย แต่ช่วยปล่อยมือจากการกอดฉันก่อนเถอะพ่อคุณ นี่ตัวของฉันแทบจะรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว!
“เธอนี่มันตัวป่วนจริง ๆ เลย!”น้ำเสียงดุตามด้วยลมหายใจที่ถูกผ่อนออกมาฟึดฟัดทำเอาฉันถึงกับตกใจ แต่ไม่นานจากคนที่กำลังหลับใหลก็ดีดตัวขึ้นพร้อมกับจับตัวของฉันหันซ้ายหันขวา ราวกับว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่าง “หายเจ็บหรือยัง ไหนดูสิ”
ไม่พูดเปล่า เขาเอื้อมมือมาแตะลงใบแก้มฉันอย่างเบามือ เขามองสำรวจเงียบ ๆ ก่อนที่จะละมือลงมาดูที่แขนของฉันอีกที
“หะ...หายแล้วค่ะ”
“ก็ดี ไปอาบน้ำได้แล้วเดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้าน”
“แต่...แต่ฉันไม่มีชุดเปลี่ยนนะคะ”ฉันตอบกลับไป “เดี๋ยวไปอาบที่บ้านก็ได้ค่ะ”
“ตัวเน่าจนแมลงวันตอมแล้วยังไม่อาบน้ำอีกยัยสกปรก”
“ไม่เห็นจะเน่าเลย”ฉันก้มดมกลิ่นตัวเองทำจมูดฟุดฟิดแต่มันก็ไม่เห็นได้กลิ่นเหม็นอย่างที่เขากล่าวหาเลยสักนิด
“ใส่ชุดฉันไปก่อนแล้วกัน”ร่างสูงเอ่ยเท่านั้นก่อนที่เขาจะหยัดกายลุกขึ้นจากเตียง หลังจากนั้นก็ส่งผ้าขนหนูสีขาวสะอาดมาให้
“เอ่อ คุณคะ...เมื่อคืนนี้คุณเป็นคนช่วยฉันไว้เหรอคะ เป็นคุณจริง ๆ ใช่ไหม”ฉันถามออกไปอย่างรอคอยคำตอบ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะปักใจเชื่อไปอย่างเต็มร้อยว่าเขานี่แหละที่เป็นผู้มีพระคุณ แต่ฉันก็อยากได้คำตอบที่แน่ชัดว่าเขาเป็นคนคนนั้นที่ยื่นมือเข้ามาจัดการกับคนเลว ๆ เมื่อคืนจริง ๆ
“เปล่า เทวดาต่างหากล่ะที่ช่วย”เขาตอบฉันหน้าตายเสียงเรียบ หนำซ้ำยังเดินผ่านตัวฉันไปราวกับเห็นฉันเป็นธาตุอากาศไม่มีตัวตนอีกต่างหาก
ให้ตาย! ทำไมเขาถึงได้กวนฉันแบบนี้นะ
ฉันขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งใส่ พอเห็นว่าเจ้าตัวไม่สนใจก็เปลี่ยนมาเป็นการกระทืบเท้าดังตึง ๆ เดินไปยังห้องน้ำภายใสตัวห้องนอนเพื่อชำระร่างกายในทันที
หลังจากที่ฉันอาบน้ำเสร็จแล้วเขาก็พาฉันมาทานข้าวที่ร้านอาหารหน้าคอนโด ก่อนที่จะขับรถไปส่งฉันที่บ้านซึ่งห่างจากคอนโดเขาไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
ระหว่างทางเราคุยกันบ้างเล็กน้อย สิ่งที่เขาถามส่วนมากก็เห็นจะเป็นเรื่องทั่วไปของฉันอย่างเรื่องเรียน เรื่องอยู่หอพัก เรื่องที่ทำงาน อะไรพวกนี้
และที่สำคัญก่อนที่ฉันจะลงจากรถ เขาเองก็บอกว่าให้ฉันเรียกเขาว่า ‘พี่ไมเนอร์’
แถมยังเน้นย้ำอีกด้วยนะว่า ‘ฉันไม่อยากทำตัวเหินห่างกับเธอ ฉันมีบุญคุณกับเธอก็อย่าลืมตอบแทนฉันด้วยล่ะ นี่เบอร์ฉัน ถ้าอยากทดแทนเมื่อไหร่ก็โทรมา’
นั่นแหละ...เท่านั้นจริง ๆ ที่เขาบอกกับฉัน
นี้แปลว่าฉันจะต้องติดต่อกลับไปหาเขาจริง ๆ สินะ เพราะยังไงแล้วเขาเองก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือชีวิตฉันไว้
พี่ไมเนอร์...ชื่อนี้ฉันจำได้ขึ้นใจเลยล่ะ!
หลายวันผ่านไป
@ CM University
ฉันเดินเข้ามามหา’ลัยและเดินตรงมายังตึกวิศวะฯ ที่ที่ฉันชอบมานั่งกับเพื่อนสนิทอยู่เป็นประจำ
โดยปกติแล้วฉันจะมานั่งกินข้างที่นี่กับเพื่อน ๆ เกือบทุกวัน ฉันมีเพื่อนอยู่ห้าคน ซึ่งมีฉันคนเดียวนี่แหละที่เรียนต่างคณะ ส่วนคนอื่นก็เรียนอยู่คณะวิศวะฯ กันทั้งหมด
“น้ำหอม ทางนี้ ๆ”เจนนี่เพื่อนชายใจหญิงโบกมือไหว ๆ เรียกหาฉัน เมื่อเห็นว่าฉันกำลังชะเง้อมองหา
“ทำไมวันนี้มาช้าจังอะ”เบลถามขึ้น
“เมื่อวานฉันเลิกงานดึกน่ะ ง่วงชะมัดเลย”ฉันพูดเสียงอ่อยพลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพื่อพักสายตา
ฉันทำงานหลายที่หลายร้านตามประสาคนร้อนเงินนั่นแหละ ส่วนเมื่อคืนน่ะเป็นงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตามจริงก็ไม่ได้เลิกดึกแบบนี้ทุกวันหรอกนะ แต่เมื่อคืนลูกค้าที่ร้านเยอะมากจริง ๆ เนื่องจากเป็นช่วงสิ้นเดือนและมีโปรโมชั่นลดราคาค่าอาหาร จึงทำให้ภาระงานของพนักงานทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภาวะหัวหมุน กว่าจะปิดร้านกลับถึงบ้านก็ล่อเข้าไปเกือบตีสองแหนะ
“ฉันว่าแกทำงานหนักแล้วนะ พักบ้างเหอะ”เบลบอกอย่างเป็นห่วง
“ใช่ ฉันว่าแกทำงานหนักเกินไป ฟงแฟนก็ไม่มี รู้มั้ยว่าแกโสดคนเดียวในกลุ่มเลยนะยะ”เจนนี่พูดขึ้นขำ ๆ หากแต่ว่ามันล้วนแต่เป็นความจริงทั้งหมด
ใช่...ฉันโสดอยู่คนเดียวในกลุ่ม
มีแต่เพื่อนเท่านั้นแหละที่เป็นพี่พักพิงที่ดีที่สุดสำหรับฉัน
“เวลานอนแทบจะไม่มีเลย แฟนน่ะไม่มีก็ไม่ตายหรอก แต่ไม่มีเงินนี่แย่เลยนะ แกก็รู้ นี่มันโลกทุนนิยม ชีวิตมันขับเคลื่อนด้วยเงินตราจ้ะ!”ฉันกลอกตาไปมาเป็นเลขแปด น้ำเสียงที่เอ่ยกลับเต็มไปด้วยความหนักแน่นและเน้นย้ำว่าฉันคิดแบบนั้นจริง ๆ
ต้นทุนชีวิตของฉันไม่ได้สวยงามเลิศหรู ฉันเลยต้องดิ้นรนขยันทำงานเพื่อหวังว่าเงินจากการทำงานพาร์ทไทม์จะสามารถดึงรั้งให้ชีวิตของฉันขึ้นมายืนอยู่ในจุดที่ดีขึ้นได้บ้าง
ฉันไม่หวังว่าชีวิตของฉันจะต้องสูงส่งเหมือนคนอื่น ขอเปรียบเทียบและแข่งกับตัวเองเป็นพอ ฉันอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นในแบบที่ฉันสามารถใช้กำลังและลงแรงทำด้วยสองมือสองขานี้เองได้ ไม่ต้องก้าวกระโดดได้ไกล แต่สามรถก้าวเดินไปช้า ๆ เพื่อทำตามความฝันทีละนิดก็พอแล้ว
“ให้มันจริงเถอะจ้า ฉันจะคอยดู สวย ๆ อย่างแกน่ะอีกไม่นานก็คงสละโสด!”
“นี่ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากมีนะ แต่ฉันไม่มีเวลาพวกแกก็รู้นี่ ทำแต่งานงก ๆ จะเอาเวลาที่ไหนไปคุยกับผู้ชาย แค่หาเงินก็หมดแรงแล้ว!”
“โอ๊ย ชะนี แกสู้ชีวิตมากอะ! เอาน่า เชื่อฉันเถอะ เซ้นส์ของฉันมันบอกว่าแกกำลังจะพบกับความรักเร็ว ๆ นี้!”
“ฉันไปดีกว่าใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว แล้วเจอกันนะบาย”เมื่อเจนนี่พูดถึงเรื่องความรักก็ทำเอาฉันถึงกับต้องรีบตัดบทและลุกหนีทันที
ไม่ใช่ว่าฉันไม่สนใจ แต่มันเป็นไปได้ได้ต่างหากฉันจะมีความรักได้ยังไง ตอนนี้ไม่มีใครให้คุยสักคน อย่าว่าแต่คุยเลย นี่ฉันไม่มีเวลาแม้กระทั่งกินข้าวด้วยซ้ำ!