หลังจากคืนนั้น ดูเหมือนคชาจะจริงจังกับวาริชมากขึ้น เพราะเขาเล่นตามติดเธออยู่ตลอดเวลา ทั้งยังทำท่าหึงหวงเธอมากกว่าปกติ มันก็ดี จะดูสิว่าคนแบบคชา จะเปลี่ยนตัวเองเพราะเธอได้นานแค่ไหน
“หิวแล้ว ไปกินข้าวกัน”
ตอนนี้โซฟาในร้านของวาริชกลายเป็นที่ประจำของคชาไปแล้ว เพราะเขาเล่นหอบงานมาทำที่นี่ และใช้ชีวิตอยู่กับเธอแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นตอนวาริชเข้าห้องน้ำนั่นแหละ
“ถามจริงๆนะคชา ที่ทำงานตัวเองไม่มีจริงๆใช่ไหม ที่บ้านโดนฟ้องล้มละลายปะเนี้ย เอาแต่มานั่งทำงานที่นี่ เหมือนคนไม่มีที่จะไป” วาริชพูดอย่างเอือมระอา
“ถ้าไปแล้วคิดถึง มันจะปลีกตัวมาหายาก ไม่ไปดีกว่า ง่ายดี” ร่างสูงที่นั่งทำงานอยู่ ตอบไปตามความจริง งานเขาเยอะจะตาย ถ้าไปต้องโดนดึงตัวอยู่ตลอด มันจะแอบมาหาเธอไม่ได้ เขาเลยตัดปัญหาด้วยการไม่ไป
“เอ้า แบบนี้ก็ได้เร๊อะ!!” วาริชถึงกับไปต่อไม่ถูก เมื่อเจอคำตอบตรงๆของคชา
“ก็ได้นะสิ ถ้าหายไปจะรู้สึก เพราะงั้นอย่าบ่นให้มาก” ช่วงนี้เขายังพอมีเวลา เพราะยังไม่เริ่มโครงการใหม่ แต่ธุรกิจของ ภูมิภัครกำลังมีปัญหา อีกไม่นานเขาต้องตามไปแก้ให้ ตอนนั้าเขาคงจะไม่มีเวลาอยู่กับเธอ แค่คิดก็เหงาแล้ว เลยหาเวลาอยู่กับเธอให้นานที่สุด
“รู้สึกดีนะสิ วาบ่นจนเหนื่อยแล้วเนี้ย จะกินอะไร ให้วาสั่งให้ไหม” วาริชเดินไปนั่งข้างๆร่างสูงที่ทำงานลงในไอแพด ผ่ามือบางยกไปวางบนตักเขา จนคชาต้องถลึงตาใส่เธอ เมื่อโดนเธอแกล้งกลางร้านของเธอเอง
“ไปกินข้างนอก จองร้านไว้แล้ว … อย่าไปใกล้ มันจะแข็ง” ประโยคสุดท้าย ใบหน้าคมก้มลงไปกระซิบข้างๆหูเธอ ทั้งยังกดจมูกลงกับแก้มที่ไร้เครื่องสำอางแรงๆ
วาริชแม่งไม่แต่งหน้าหน่อยวะ หน้าสดจนเห็นเส้นเลือดเล็กๆ หน้าใสก็จริง แต่มันดูซีดเหมือนคนป่วย หรือเธอป่วยวะ
“อะไรอะ / ไม่สบายหรือเปล่า หน้าซีดมาก”มือหนายกขึ้นอังที่หน้าผากนวลเนียน จนคนที่ถูกกระทำด้วยความอ่อนโยน หน้าเห่อร้อนจนมันแดงไปทั้งหน้า
“ไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่หน้าแดง??”
“เขินไงคชา เลิกจับได้แล้ว เหมยมองใหญ่แล้วนู้น” วาริชหลบสายตายิ้มๆของเหมย ที่เหมยเองก็หลบหน้าคนเป็นเจ้านายเหมือนกัน ทั้งยังเดินอย่างรีบๆไปทางหน้าร้าน เพื่อหนีฉากสวีทของเจ้านาย
“อีก 3 วันนะ” คชาจับมือวาริชออกเดินไปขึ้นรถ วันนี้เขาจองร้านอาหารในโรงแรมไว้ เพื่อจะพาเธอไปเปิดหูเปิดตา จะให้กินแต่อาหารที่เธอสั่งไลน์แมนไปให้ บอกตามตรงว่าเบื่อ
“อะไรเหรอ”ใบหน้าสวยยื่นไปถามคนที่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถ ขึ้นรถได้ก็ขับรถอย่างเดียวเลย ไม่ยอมพูดให้คนอื่นเขาเข้าใจ
“แฟชั่นโชว์ที่ปารีส ไปไหม ถ้าไม่ไปจะยกเลิกนะ” คชาหันมามองคนที่ทำตาโตอย่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ไปสิ ห้ามยกเลิกนะ ถ้ายกเลิกจะเตะผ่าหมากแรงๆเลย” เรื่องอะไรเธอจะยอม ที่ตอบตกลงคบกับเขาวันนั้น เพราะเรื่องนี้เลยนะ เธอจะพลาดไม่ได้
“นี่คือคำพูดที่ควรพูดกับผัว???”
“ขอบคุณ”
“พูดดีสุดได้แค่นี้” คชาจอดรถลงหน้าโรงแรมใกล้ๆร้านเธอ ที่นี่อาหารใช้ได้ อยู่ใกล้ที่ทำงานเธอด้วย เผื่อเธออยากกลับไปทำงาน จะได้เดินทางสะดวก
“เดี๋ยว พามาโรงแรมเพื่อ???” วาริชเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นป้ายโรงแรมโชว์หราท้าทายสายตา คือถ้าอยากขนาดนั้น ไม่พาเธอกลับคอนโดละ สะดวกกว่าเยอะเลย ทำแบบนี้เหมือนเธอเป็นอีหนูของเขายังไงก็ไม่รู้
“กินข้าวไง อย่าเปลี่ยนเรื่อง ขอบคุณเดี๋ยวนี้เลยวา รู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนกว่าจะขอเข้าร่วมงานได้”
ถ้าไม่ใช่คนมีเงินหรือคนที่สนใจด้านแฟชั่น ทางผู้จัดงานจะไม่ยอมให้เข้าร่วมเด็ดขาด และคชามีสิ่งแรก เขาเลยได้ตั๋วร่วมงานมา เพื่อเธอ
“ขอบคุณค่ะ” วาริชยกมือพนมก้มกราบลงไปบนตัก ของคนที่ยังนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ใบหน้าคมจึงเปร่งเสียงหัวเราะดังๆ ทำเหมือนเขาเป็นพ่อเลยเว้ย ยัยบ้านี่
“ก้มนานแบบนั้น เดี๋ยวไม่ให้ลุกขึ้นมานะ”ใบหน้าคมกลั้นยิ้มขำ เขาพูดจบ เธอก็รีบลุกมานั่งหน้าบึ้ง ก็วาจะก้มไปใกล้มันทำไมละ คนยิ่งมีอารมณ์ง่ายๆอยู่
“อย่าหื่นตลอดเวลาได้ไหม โตแล้วอดทนหน่อยสิ” วาริชไม่รอแล้ว พูดจบก็เดินลงจากรถ ร่างบางเดินตรงเข้าไปหน้าล็อบบี้โรงแรม ส่วนคชาก็เดินไปยิ้มไป อย่างอารมณ์ดี
มื้ออาหารถูกดำเนินไปอย่างรีบร้อน เพราะอยู่ดีๆ คชาก็ถูกตามตัว และเขาก็เลือกที่จะมาส่งเธอที่ร้านก่อนจะออกไป
“คืนนี้นอนคนเดียวนะวา” คชาบอกร่างบางที่ยืนอยู่ริมฟุตบาท บริเวณหน้าร้านของเธอ ทั้งยังกวักมือเรียกให้เธอยื่นหน้าเข้ามาในรถ
“นั่นของขวัญ อีกสามวันจะมารับ ไม่ต้องคิดถึงนะ” คชาชี้มือไปทีเก๊ะหน้ารถ ร่างบางจึงมุดจากช่องกระจกเข้ามาในรถ แล้วเปิดมันออก หยิบกล่องเล็กๆออกมาด้วยสีหน้าสงสัย
“ไม่บอกตอนอยู่ในรถละ จะให้มุดเข้ามาทำไม กระโปรงเปิดหมดละเนี้ย”
“ลืม!! แล้วทำไมไม่เปิดประตูเข้ามาหยิบละ”
“เออว่ะ!! ลืมเหมือนกัน เปิดดูเลยได้ป่าว” วาริชชูกล่องขึ้น แต่พอเห็นสีหน้าของคชาเธอจึงต้องเก็บมันใส่กระเป๋า
“เอาไว้เปิดตอนอยู่คนเดียวนะ” คชาเลื่อนกระจกขึ้นแล้วขับรถออกไป เขารีบมากนะ แต่ก็ยังอยากอยู่กับเธอ แต่เพราะโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ตลอด เร่งให้เขาออกรถไปสู่จุดมุ่งหมายใหม่ทันที
คชาจอดรถลงที่หน้าโรงแรมขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ภายนอกและภายในกลับตกแต่งอย่างหรูหรา ร่างสูงถอนหายใจแรงๆ หยิบสูทมาสวมทับเสื้อยืดราคาแพงของตัวเอง แล้วเดินอย่างมาดมั่นเข้าไปด้านใน
“นู้นไง คชามาแล้ว” ท่านคุณากร พยักเพยินให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆให้หันไปมอง ลูกชายของท่านที่เพิ่งเดินเข้ามา ในห้องอาหารพิเศษของโรงแรม
“มาถึงนานแล้วเหรอครับ” ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆพ่อของเขา เธอจึงเดินมาใกล้ แล้วยกแขนมาคล้องกับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว
“มาถึงสักพักแล้วค่ะ คุณพ่อท่านบอกว่าพี่คชาไม่ค่อยว่าง จริงเหรอคะ” ร่างสูงออกเดินไปพร้อมกับคนที่กำลังควงแขนอยู่ คนเป็นพ่อเห็นแบบนั้นจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ
“พี่ก็มาแล้วนี่ ไม่ว่างแต่มาได้ แค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วนี่ครับ ว่าจี สำคัญแค่ไหน” มือหน้ายกขึ้นมาจับผมทัดใบหูให้คนสวยที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็เลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง แล้วนั่งลงที่ว่างข้างๆเธอ
“จริงเหรอคะ จีสำคัญกว่าผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า” คีรติ กระซิบถามข้างๆหูของคชา เห็นเพียงรอยยิ้มจากใบหน้าคม ที่ส่งมาแทนคำตอบ
“อีกไม่กี่เดือนก็เลิกแล้วครับ แค่คบแก้เหงา” คชายิ้มเยือกเย็น จนคีรติ ต้องยิ้มตาม สงสารผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน ที่ดูเหมือนจะเดินตามเกมของพี่คชาไม่ทัน
“แล้วงานแต่งของเราละคะ” คีรติถามคนที่เธอต้องแต่งด้วยในช่วงสิ้นปี งานแต่งของเธอกับเขาถูกกำหนดวันไว้แล้ว รอแค่ถึงวันงานเท่านั้น
ถึงแม้พี่คชาจะมีใครก่อนหน้านั้นเธอก็ไม่แคร์หรอก ในเมื่อสุดท้ายคนที่ต้องแต่งกับเขา คือคีรติ ที่เพียบพร้อมเหมาะสมกับเขาทุกอย่าง
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าจี มีค่าพอจะให้พี่แต่งด้วยรึเปล่า” ใบหน้าคมกระซิบตอบคำถาม เป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อแม่ของเธอเดินทางมาถึงพอดี
วันนี้พ่อของเขานัดมาคุยเรื่องแต่งงาน เพราะทางครอบครัวของคีรติ เห็นข่าวเขากับวาริชแล้ว ทางนั้นต้องการคุยกันให้แน่ชัด ถึงเรื่องงานแต่งที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ที่คชาจะกลับมาจากต่างประเทศ
“สวัสดีครับท่าน คุณหญิง” คชายกมือไหว้ รัฐมนตรีอีกตำแหน่งกับภรรยา ที่เดินเข้ามานั่งพร้อมพ่อกับแม่ของเขาที่ไปรอรับอยู่หน้าห้อง
ผู้ใหญ่ทั้งสองรับไหว้เด็กหนุ่มรุ่นลูก แม้จะไม่พอใจข่าวคราวของว่าที่ลูกเขย ที่ดังมาเข้าหูอยู่ตลอด แต่ท่านทั้งสองกลับต้องซ่อนมันไว้ภายใต้รอยยิ้ม ที่ส่งกลับไปให้อย่างเป็นมิตร
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะคชา กลับมาอยู่ที่ไทย พร้อมจะลงหลักปักฐานกับยัยจี รึยัง” คุณหญิงคนึงนิจ เอ่ยถามด้วยท่าทางใจดี แต่แววตากลับวูบไหวโกรธเคือง คนที่มีข่าวคาวๆ แทบจะตลอดเวลาอย่างคชา
ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศ คชาก็ขยันควงคนนั้นคนนี้ตลอด แม้เขาจะปฎิเสธทุกสำนักข่าว ว่าทุกคนยังไม่ได้คุยกันจริงจัง ถึงขั้นคบหาดูใจ แต่ผู้หญิงรายล่าสุด เขากลับประกาศตัวว่าเธอเป็นแฟน ทั้งที่เขากับลูกสาวท่านวางแผนเรื่องแต่งงานไว้ ว่าจะแต่งกันในช่วงปลายปี
“ก็เรื่อยๆครับ ผมก็บอกแต่แรกแล้วนะ ว่าผมจะแต่ง แต่ก่อนหน้านั้นผมขอใช้ชีวิตอิสระก่อน และผมมีสิทธิที่จะคบใครก็ได้ก่อนที่จะแต่งงาน และผมจะเลิกกับคนๆนั้นก่อนแต่งงานหนึ่งเดือน”
นั่นคือสิ่งที่เขาเคยทำข้อตกลงไว้กับคนเป็นพ่อ ก่อนจะกลับมาจากต่างประเทศ เพื่อสานต่องานที่ทำ
แต่ตอนนี้เขากลับคิดหาทุกทางเพื่อล้มงานแต่ง เขากลัวว่าจะเลิกกับวาริชไม่ได้ งานแต่งจะมีขึ้นในอีก 6 เดือน ถ้าตามที่ตกลงกับทางบ้าน อีก 5 เดือนเขาต้องบอกเลิกวาริชอีกครั้ง แต่เขามั่นใจว่าความรู้สึกที่มีต่อวาริชมันเพิ่มขึ้นทุกวัน เขาไม่อยากเลิกกับเธอ แต่คนที่เขาจะเลิก คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆวันนี้นะสิ
“แต่ทำแบบนั้นน้องจะเสียหายนะ นี่ข่าวของผู้หญิงคนนั้นก็มีมาแทบทุกวัน ถึงยัยจีจะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แต่มันก็ไม่ควรมีเรื่องแบบนี้” คนึงนิจเอ่ยตำหนิออกไปตรงๆ แต่คนที่ถูกตำหนิเอาแต่ยิ้มเยาะ ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ท่านอย่างยิ่ง
“เหรอครับ ผมว่าไม่มีใครทำให้น้องจีเสียหายได้หรอกครับ ท่านทั้งสองคอยปกป้องน้องขนาดนี้” คชาเอ่ยเอาอกเอาใจท่านทั้งสอง จนเห็นว่าผู้ใหญ่กว่ามีสีหน้าดีขึ้น
“เพราะว่าเรารักยัยจีมากยังไงละ ถึงอยากให้คชารักและเอ็นดูน้องให้มากกว่านี้” ท่านอภิชาติ เป็นคนเอ่ยย้ำ หวังว่าคนที่จะมาเป็นสามีของลูกสาวจะหวงแหนเธอเหมือนที่พวกท่านหวงแหน
“ผมจะจัดการเองครับ เด็กคนนั้นไม่นานก็คงต้องไป เพราะยังไงผมก็ไม่มีวันยอมรับ” ท่านคุณากร ตอบแทนลูกชายที่นั่งเงียบพลางก้มหน้ามองโทรศัพท์ ที่เขายกขึ้นมาเปิดดู
“อย่ายุ่งกับเธอ”ใบหน้าคมเงยขึ้นจากโทรศัพท์มาบอกคนเป็นพ่อ รวมถึงทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย ก็ถ้าลองมีใครแตะต้องวาริชแม้แต่นิดเดียว เขาไม่อยู่เฉยแน่
“แกจะเอาผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเมียอีกคน ทั้งที่ต้องแต่งกับหนูจีนะเหรอ” คนเป็นพ่อไม่ได้เบาเสียงลงเลย แม้จะอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็ตาม
“พ่อก็เคยทำนี่นา มีเมียมีลูกอยู่แล้ว แต่ก็ยังมาแต่งงานกับแม่” คชามองไปทางคนเป็นแม่ที่นั่งเงียบ เมื่อเขายกเรื่องนี้มาพูด
“ใจเย็นกันก่อนนะคะ เรายังไม่ได้ตกลงกันแน่ชัดเลย บางทีคชาอาจจะเบื่อผู้หญิงคนนั้นในเร็ววันก็ได้ ถ้าแค่ผ่านมาแล้วผ่านไป เราไม่ถือหรอกคะ” คุณหญิงคนึงนิจพูดเสียงเบา เมื่อบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอึดอัด
“ผมยอมมามากพอแล้วละ ผมว่าผมควรพอ แต่ถ้ายังส่งคนไปยุ่งกับวาอีก ผมไม่อยู่เฉยแน่ อ่อ ไม่ต้องหวังงานแต่งแล้วนะ ผมไม่ชอบกินของเหลือของพี่ชาย”
คชาพูดจบก็ลุกเดินจากไป เขาตั้งใจมาฉีกหน้าคนบ้านนี้ ถ้าไม่หลอกให้ตายใจก่อน พวกนี้จะเอาแต่หาเรื่องกล่าวโทษเขา ว่าเป็นคนผิด ทั้งที่ลูกสาวสุดที่รัก กำลังเป็นชู้กับสามีชาวบ้าน และผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่ใคร เขาคือภูมิภัครพี่ชายของเขานั่นเอง