ตอนที่ 9 หยดน้ำคือเด็กมอปลาย

1454 คำ
เสียงเอะอะดังระงมหลังจากที่ครูประจำวิชาคณิตศาสตร์เดินออกไปได้ไม่นาน เด็กนักเรียนในห้องก็ต่างรีบนั่งเกาะกลุ่มกันบ่นพึมพำเกี่ยวกับรายวิชาที่เรียนไปเท่าไหร่ก็ไม่ซึมเข้าหัวเลยสักนิด บางกลุ่มก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวกลับมาเรียนวิชาต่อไป หยดน้ำเก็บสมุดและอุปกรณ์การเขียนลงในลิ้นชักโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นเดินตามเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของตนไปเข้าห้องน้ำ หลังจากที่ได้รับคำชวน “น้ำนี่เก่งจังเนอะ แก้โจทย์ยากๆ ได้หลายโจทย์เลย” โอเมก้าสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมายิ้มอ่อนให้เมื่อเปรียบเทียบตนกับเพื่อนแล้วช่างแตกต่างกันนัก “น้ำไม่ได้เก่งหรอก เราเคยเรียนมาแล้วต่างหาก” “ภัสไม่เห็นจำได้เลยว่าครูเคยสอนด้วย” ภัสแสดงสีหน้างงงวยยามพินิจคิดทบทวนในหัวว่าสิ่งที่เพิ่งเรียนไปมีลักษณะคล้ายคลึงกับบทเรียนที่เรียนมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า แต่คิดเท่าไหร่เธอก็คิดไม่ออก หยดน้ำหัวเราะในลำคอเพราะหน้าตาของเพื่อนที่กำลังครุ่นคิดนั้นช่างน่าขันไม่เบา และในขณะที่โอเมก้าชายหญิงกำลังเดินไปตามโถงทางเดินพลางพูดคุยกันตามปกติอยู่นั้น อัลฟ่าหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันก็เดินสวนมาพอดีและส่งรอยยิ้มหวานบาดใจให้ หยดน้ำขมวดคิ้วสงสัยแล้วหันกลับไปดูด้านหลังของตนก็พบว่ามีเพื่อนร่วมห้องของตนเดินตามมาอยู่ไกลๆ จึงไม่ได้คิดอะไรมากหรือเรียกว่าแทบจะไม่ได้ให้ความสนใจอีกฝ่ายเลยด้วยเพราะไม่ได้รู้จักกัน เขารู้เพียงว่าชายคนนั้นชื่อทัพ เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่กันคนละห้องเท่านั้นเอง หยดน้ำทำตัวตามปกติและเดินผ่านหนุ่มอัลฟ่าหน้าหล่อไปโดยที่ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนกระทั่งถึงห้องน้ำของโอเมก้าจึงได้เข้าไปทำธุระส่วนตัว ภัสเดินเข้าห้องน้ำไปส่วนหยดน้ำก็ยืนล้างมือพลางส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมรอเพื่อนสนิท “ฉันว่าจะเติมปากสักหน่อยสีเริ่มจางละ” “แค่นี้ก็ได้แล้วป่ะ ยังไงทัพก็สนใจแกอยู่แล้ว” “พูดดี เดี๋ยวฉันเอากระเป๋าที่เพิ่งซื้อใหม่ให้แล้วกัน” “จริงหรอ! ขอบใจนะวา” เสียงพูดคุยคลอกับเสียงหัวเราะของคนจำนวนหนึ่งดังแว่วเข้ามาใกล้ เป็นกลุ่มเพื่อนร่วมห้องของหยดน้ำราวสี่คนที่เดินเข้ามา ซึ่งคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นมีเบต้าปะปนเข้ามาด้วยทั้งๆ ที่ป้ายก็ติดบอกเอาไว้อยู่ทนโท่ว่าห้องน้ำนี้มีไว้สำหรับโอเมก้าเท่านั้น แต่กระนั้นหยดน้ำกลับไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่คนกลุ่มนี้จะประพฤติตัวอย่างสนนกสนกา เพราะคนทั้งโรงเรียนก็รู้กันอยู่ทั่วแล้วว่าคนพวกนี้ขึ้นชื่อการหาเรื่องคนอื่นนัก ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเว้นแต่ตัวเอง หากพ่อแม่ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตในสังคม ป่านนี้พวกนี้คงโดนพักการเรียนหรือไม่ก็โดนไล่ออกไปนานแล้ว หยดน้ำยืนเงียบกริบไม่ปริปากและทำตัวตามปกติ เขายืนรอภัสที่เข้าห้องน้ำอยู่ไม่ได้กระทั่งภัสเปิดประตูห้องน้ำออกมา เธอเดินไปล้างมือและหยิบทิชชูขึ้นมาซับ เมื่อเสร็จกิจเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ขยับฝ่าเท้าหวังก็จะเดินออกไป แต่ทว่า... “เดี๋ยว!” วาผู้เป็นเสมือนหัวหน้ากลุ่มเอ่ยรั้งโอเมก้าผู้เป็นเพื่อนร่วมชั้นไว้ เขายืนส่องกระจกพลางบรรจงลิปสติกสีชมพูอ่อนลงบนปากก่อนจะผละออกแล้วหันหน้ามาประจันกับอีกฝ่าย หยดน้ำและภัสหยุดชะงักตามคำสั่ง ภัสที่อยู่ด้านหลังหยุดนิ่งพลางก้มหน้าไม่กล้าสู้หน้าด้วยความกังวลว่าตนและเพื่อนจะโดนหาเรื่อง หยดน้ำที่เห็นท่าไม่ดีจึงเป็นคนเอ่ยปากถาม “มีอะไรจะคุยกับพวกเราหรือเปล่า อาจารย์จะเข้าสอนแล้วนะ” “ฉันไม่มีหรอกแต่แกอ่ะมี” วากอดอกมองหยดน้ำตั้งแต่ปลายเท้าจรดเส้นผม “เราก็ไม่มีเหมือนกัน งั้นเราขอตัวนะ” ว่าแล้วเขาก็ดึงมือเพื่อนสนิทหมายจะเดินฝ่าออกไป แต่ดันโดนเพื่อนของวาอีกสามคนเดินเข้ามาขวางทางไว้ก่อนจึงหยุดฝีเท้าลง หัวใจสั่นเริ่มแน่ใจแล้วว่าตนกำลังโดนพวกนี้หาเรื่องอยู่ “เพื่อนฉันยังไม่อนุญาตให้พวกแกไปเลย” ทิวผู้เป็นเบต้าเอ่ย “แกทำอะไรเอาไว้ก็รู้อยู่แก่ใจอย่ามาทำหน้าซื่อตาใสหน่อยเลย” วาใช้นิ้วผลักหัวไหล่ของหยดน้ำจนไหล่ของเขาไหวไปตามแรงผลัก “เราไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรให้วาเข้าใจผิดหรือเปล่า แต่ถ้ามีเราขอโทษนะ” “ถ้ามีหรอ? อย่ามาแอ๊บหน่อยเลย อยากได้ทัพจนตัวสั่นนักไม่ใช่หรือไง! ถึงได้ยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้เขา” “ทัพ?” โอเมก้าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงอยากได้ทัพทั้งที่พวกเขาทั้งสองไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนอยู่ดีๆ จะอยากให้เขามาสนใจทำไม “แกยิ้มให้ทัพไม่ใช่หรอไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้วากำลังคุยกับทัพอยู่” นายหนึ่งในเพื่อนของวาเอ่ยต่อ “เปล่านะ เราไม่ได้ยิ้มให้ใครนะ เราก็แค่เดินผ่านกันแค่นั้นเอง อีกอย่างเราไม่ได้สนใจทัพเลยแทบจะไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ” “จะเอาแบบนี้ใช่ไหม!” เหมือนว่ายิ่งหยดน้ำพยายามจะอธิบายความจริงมากเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งมองว่าเขากำลังโกหกไม่ยอมรับผิดเสียอย่างนั้น “อีตอแหล!” “โอ๊ย!!” มุมแหลมจากปลายไม้บรรทัดเหล็กที่พกไว้ในกระเป๋าสะพายข้างประจำ ถูกวาหยิบปาใส่ปะทะเข้ากับข้างขมับขวาของหยดน้ำจนเกิดแผลถลอกเลือดซิบออกมา หยดน้ำรีบเอามือกุมบาดแผลเอาไว้ทันทีด้วยความเจ็บ “แกจะบอกว่าทัพสนใจแกเลยยิ้มให้แกหรือไง! ไม่มีทางหรอก!” “วะ วาฉันว่าแกทำเกินไปนะ ถ้ามันไปฟ้องครูเราจะซวยเอา” นายกระซิบเบาด้วยความกลัว เพราะตัวเองไม่ได้มีพ่อแม่ที่เป็นใหญ่เป็นโตเหมือนวา หากโดนเรียกเข้าห้องปกครองคราวนี้พ่อกับแม่ต้องเอาเขาตายแน่ “แล้วไง เรื่องแค่นี้แม่ฉันก็จัดการได้ง่ายๆ อยู่แล้ว” ว่าจบเขาก็กอดอกพลางยกมุมปากด้วยความสะใจ ไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปเลยแม้แต่น้อย หยดน้ำยืนน้ำตาคลอขบกรามแน่นด้วยความโกรธที่โดนทำร้าย หากเมื่อครู่เขาไม่หันหน้าหลบก่อน มุมไม้บรรทัดเหล็กคงโดนดวงตาของเขาแทนขมับไปแล้ว เขาอยากจะหยิบไม้บรรทัดแล้วปากลับใส่โอเมก้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าบ้าง จะได้รู้ว่าการโดนของมีคมปาใส่มันรู้สึกอย่างไรทว่าก็ทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ลูกหลานของคนธรรมดาสามัญเช่นตน จึงไม่อาจลากพี่ชายเข้ามาเดือดร้อนได้ ด้วยความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในโสตประสาท หยดน้ำจึงทำได้แค่ยืนกำหมัดข่มอารมณ์เอาไว้เท่านั้น “ถ้าแกยังยุ่งกับทัพไม่เลิกอีก แกโดนหนักกว่านี้แน่!” ว่าจบพวกเขาก็สะบัดก้นเดินออกไปด้วยความพอใจทันที “น้ำเจ็บมากไหม” ภัสที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังรีบเดินเข้ามาดูแผลที่ถูกมือกุมเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง หนุ่มน้อยส่ายหน้าพลางยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรแค่แสบๆ น่ะ” “เราไปบอกครูดีไหม” “บอกไปก็ไม่ได้อะไรหรอก ภัสก็รู้” “ก็จริง..” เธอพูดเสียงเบาเพราะความจริงก็เป็นดั่งที่เพื่อนเธอว่า แม้จะพาพวกที่ทำร้ายเพื่อนตนเข้าห้องปกครองได้แต่สุดท้ายครูก็ต้องจำยอมให้คุณแม่ของวาอยู่ดี “อ้ะนี่! เรามีพลาสเตอร์พอดี” ภัสหยิบพลาสเตอร์ปิดแผลในพกกระโปรงของตนแล้วยื่นให้เพื่อนสนิท “ขอบคุณนะ เรารีบเข้าห้องเถอะปานนี้ครูคงเข้าสอนแล้ว” ภัสพยักหน้าก่อนที่เธอจะเดินนำหน้าออกจากห้องน้ำพร้อมด้วยหยดน้ำจึงรีบเช็ดน้ำตาคลอหน่วยออกแล้วเดินตามหลังเพื่อนสาวไปเช่นกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม