ตอนที่ 14 หยดเทียนกับสุราดองของพ่อบ้าน

3694 คำ
​ หยดเทียนเดินผ่านประตูบานเล็กหน้าคฤหาสน์ของสกุลวัฒนาเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งกว่าทุกวัน จนลุงศักดิ์รปภ.ที่นั่งอยู่ในป้อมยามทักเข้า ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เบต้าร่าเริงกว่าปกติก็ไม่ใช่อื่นใด เพียงแต่ช่วงนี้เขารู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมามากหลังจากที่ผ่านมรสุมชีวิตมา ทั้งเรื่องตกงานทั้งมีปัญหาให้ต้องมีปากมีเสียงจนนำไปสู่การต่อยตีกัน แต่เมื่อผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็ดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้เริ่มเพลาๆ ลงบ้างแล้ว เริ่มมีสิ่งมงคลแต่งแต้มสีสันให้แก่ชีวิตที่มืดมนมานาน เช่นเดียวกับอากาศและท้องฟ้าในวันนี้ที่แจ่มใสต้อนรับเขาตั้งแต่เช้าของวัน ร่างสันทัดม้วนเก็บกระเป๋าเข้าไว้ในล็อกเกอร์ส่วนตัวในห้องพนักงาน ก่อนจะเดินออกมาทักทายพ่อบ้านที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดทำความสะอาดขวดโหลแก้ว ที่ด้านในบรรจุของเหลวสีคุ้นตาเอาไว้ “สวัสดีครับพ่อบ้านทำอะไรอยู่หรือครับ” ฮันผงกศีรษะรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิมก่อนจะเอ่ยตอบ “สวัสดีครับคุณเทียน มาพอดีเลยนะครับ” “หืม?” คนสวนส่งเสียงโต้อย่างสงสัยพลางเหลือบมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ขวดโหลแก้วใสขนาดใหญ่ 3 ใบที่บรรจุของเหลวสีขุ่นเอาไว้ข้างใน ซึ่งแต่ละขวดมีสีสันต่างกัน มากพอที่จะทำให้รู้ว่า พ่อบ้านใช้วัตถุดิบที่ต่างกันในการทำ หยดเทียนยืนมองพ่อบ้านเช็ดทำความสะอาดภายนอกของขวดโหลก่อนจะลงมือเปิดอย่างสนใจ แกร๊ก... เสียงเปิดฝาขวดโหลดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ คละเคลากลิ่นแอลกอฮอล์โชยต้องจมูกทันทีที่เปิดฝาออก ทั้งที่ในขวดโหลแต่ละขวดไม่มีเศษดอกไม้เลยสักนิด “หอมจังเลยครับ” “แน่นอนครับ ผมเอาดอกหอมหมื่นลี้มาลองดองดู เลยทำให้มีกลิ่นค่อนข้างดี” ทรงคิ้วสวยขมวดด้วยความสงสัย “แต่ในนี้ไม่เห็นมีดอกไม้สักดอกเลยหนิครับ” “หากดองดอกไม้สดผมจะเอาออกทันทีที่ดอกไม้เริ่มเหี่ยวครับ” พ่อบ้านเอ่ยพลางเปิดขวดต่อไป เบต้าผงกหัวขึ้นลงอย่างเข้าใจแล้วตั้งใจดูต่อ “แล้วโหลนี้ล่ะครับ” ไม่ว่าเปล่าพร้อมกับชี้ปลายนิ้วไปที่ขวดโหลขวดที่อยู่ตรงกลางอย่างสนอกสนใจ “เหล้าแอปเปิลดองครับ รสชาติจะออกหวานอมเปรี้ยวติดขมปลายลิ้นหน่อยๆ” “ไม่น่าล่ะ ไม่ค่อยมีกลิ่นหอมเท่าไหร่” “ส่วนขวดสุดท้ายผมลองเอาลูกพีชและกุหลาบแห้งมาดองใส่เหล้าดูครับ กลิ่นเลยออกมาตีกันเล็กน้อยแต่ก็หอมดีทีเดียว” หยดเทียนพิสูจน์โดยการโน้มตัวลงไปสูดดมกลิ่นใกล้ๆ ปรากฏว่า กลิ่นที่ออกมาจากขวดโหลขวดสุดท้ายมีกลิ่นหอมแปลกๆ ดั่งที่พ่อบ้านฮันว่าจริงๆ และเป็นกลิ่นหอมที่หยดเทียนไม่รู้จัก “จริงด้วยครับ” ฮันยิ้มก่อนเอ่ย “อยากลองชิมไหมครับ” “งานนี้ผมขอไม่ปฏิเสธแล้วกันครับ” ว่าแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างตื่นเต้นแล้วรีบเดินไปหยิบแก้วขนาดเล็กหรือที่เรียกกันติดปากว่าแก้วช็อต มาวางไว้บนเคาน์เตอร์ข้างๆ กายพ่อบ้านอย่างรู้งาน ฮันใช้กระบวยขนาดพอดีตักเหล้าหมักดอกหอมหมื่นลี้ใส่แก้วช็อตขนาดเล็ก ก่อนมือเรียวเล็กจะหยิบขึ้นสูดดมให้ชื่นใจแล้วยกดื่มทันทีในครั้งเดียว “อ๊า~ สดชื่น!” หยดเทียนสบถเสียงดังก่อนจะหยักไหล่สั่นเมื่อรสชาติถูกปาก ช่างเหมาะจริงๆ ในการจิบในช่วงเช้าเช่นนี้ เบต้าน้อยไล่ชิมโหลถัดไปเรื่อยๆ ตามที่พ่อบ้านประทานมาให้ บางครั้งก็ชิมอยู่ถึงสองสามช็อตถึงจะรู้รสชาติที่ชัดเจน โดยเฉพาะเหล้าหมักโหลสุดท้าย ที่ต้องกรึ๊บแล้วกรึ๊บอีกจนชาลิ้นถึงจะรับรู้รสชาติที่แท้จริงของเหล้าหมักผลไม้ผสมกุหลาบโหลนี้ได้ พ่อบ้านปิดขวดโหลหลังจากที่เปิดให้คนสวนทดลองชิม และผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพึงพอใจยิ่งเพราะสีหน้าท่าทางของผู้มาชิมครั้งแรก บ่งบอกถึงความเลิศรสไว้หมดแล้ว ฝ่ามือแกร่งปิดฝาขวดโหลจนแน่นแล้วห่อผ้าขาวนำไปเก็บไว้ที่เดิม รอถึงโอกาสดีๆ ในคราวหน้า จึงจะนำออกมาให้คนอื่นๆ ได้ลิ้มลองกัน “ขอบคุณครับที่มาเป็นมือชิมให้ผม” “ไม่เป็นไรครับถือซะว่าได้ทั้งสองฝ่าย ถ้าพ่อบ้านอยากได้หนูทดลองอีกรีบบอกผมเลยนะครับ ผมเต็มใจมากๆ เลยครับ” หยดเทียนยิ้มตอบทั้งใบหูก็เริ่มขึ้นสีแดงเนื่องจากสุราดองกำลังออกฤทธิ์ “ได้ครับ” พ่อบ้านตอบก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง “เมาแต่เช้าเลยเว้ย!” เมื่อเริ่มมึนได้ที่ เบต้าก็พาร่างอันหนักอึ้งของตัวเองมาทิ้งไว้ที่พื้นม้านั่งหลังสวน สายตาหยาดเยิ้มกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเชื่องช้าด้วยความหนัก แต่ก็ไม่สามารถหลับตาลงได้ เพราะเมื่อเปลือกตาปิดสนิทเมื่อใดก็มักรู้สึกว่า ร่างกายกำลังหมุนติ้วอยู่ในอวกาศจนอยากอาเจียนออกมา ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ร่างที่เต็มไปด้วยน้ำเมาหยุดทำงานไปครึ่งค่อนวัน เพราะด้วยสภาพแบบนี้คงไม่มีปัญญาลุกไปทำอะไรได้ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ.. เสียงร้องของนกเจ้าขุนทองดังขึ้น หลังจากที่บินมาเกาะกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากลำต้น ซึ่งบริเวณนั้นอยู่เหนือศีรษะหยดเทียนพอดิบพอดี “นกใครหลุดมาวะ! สีสวยซะด้วย อึก!..แต่มึงห้ามบินลงมาจิกดอกไม้กูนะ...ไม่ง้านกูจับเมิงปิ้งแดก...ยันขนแน่” ดวงตาอันปรื่อมัวและน้ำเสียงที่เอื่อยยานท้วงเจ้านกน้อย พร้อมกับชี้หน้าร้องเตือนราวกับมันฟังภาษาคนรู้เรื่อง ร่างเล็กนอนคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างคนที่ครองสติไม่อยู่เขาทำกัน ก่อนที่สมองของคนเมาจะคิดเนื้อเพลงที่ตนมักจะได้ยินบ่อยๆ ในการ์ตูนวันเสาร์สมัยก่อนขึ้นมาได้ “อรุณเบิกฟ้า~ นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส เราเบิกบานรีบมาเร็วไว รีบมารีบไป หาแดกด้วยกัน กา.. กา.. กา..” เสียงร้องเพลงเพี้ยนผิดแปลกไปจากเนื้อเดิม บ้างก็ร้องเร็วบ้างก็ร้องหย่อนยานตามแต่อารมณ์ ทำเอาผู้แต่งเนื้อร้องน้ำตารดเข่าหากได้ยินคนคัฟเวอร์เพลงตนเข้า นกขุนทองตัวน้อยที่ได้ยินเสียงอันไม่น่าอภิรมณ์ใจก็รีบแผดเสียงแทรกดังราวกับรำคาญ มันก้มหน้าลงมามองหน้าของมนุษย์ที่นอนอยู่ด้านล่างด้วยท่าทางนิ่งๆ ก่อนจะราดของขวัญประจำกายไว้ให้เต็มหน้า และมองดูผลงานแล้วรีบบินหนีไป “อ๊าก!! ไอ้นกเชี้ย! กล้าดียังไงมาขี้ราดใส่กูวะ!!” สติกลับเข้าร่างแบบเต็มสูบพร้อมกับเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อของเหลวกลิ่นเหม็นราดรดลงกลางหน้าผากเต็มๆ ราวกับนกมันตั้งใจก่อกวนก่อนจะบินหนีไป ปล่อยให้เขาโวยวายรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าจนล้มลุกคลุกคลานจนได้แผลหลายที่ “ห่าเอ๊ย! จะได้โชคร้ายก่อนโชคดีแล้วมั้งเนี่ย!” เขาสบถอย่างอารมณ์เสียพลางเดินเซเข้าไปนั่งล้างหัวจากก๊อกน้ำ ช่วงบ่ายแดดแก่ คนสวนที่หลับใหลไปหลายนาทีสะลึมสะลือตื่นขึ้นบนเปลในป้อมยามของลุงศักดิ์ที่ขอเข้ามานอนเมื่อสี่ชั่วโมงก่อน ร่างสันทัดลุกขึ้นพร้อมกับอาการมึนเมาที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเช็กดูเวลาเป็นอันดับแรก และพบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว แต่เขายังไม่ลงมือทำอะไรเลยกระทั่งกินข้าวก็ยังไม่ได้กิน เพราะมัวแต่เมาจนลืมเวล้ำเวลา หยดเทียนเปิดน้ำก๊อกชโลมใบหน้าให้สดชื่นขึ้นก่อนจะเดินไปที่สวนหลังบ้าน เพื่อขนอุปกรณ์ออกมาทำงาน เขานำกรรไกรตัดกิ่งตัดแต่งพุ่มไม้และกิ่งไม้ที่ปลูกประดับอยู่ในสวนหน้าบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วจึงหอบอุปกรณ์ย้ายมาจัดการสวนหลังบ้านต่อ เบต้าหนุ่มนั่งพักบนม้านั่งตัวประจำพลางเงยมองหาเจ้านกตัวนั้นอีกครั้ง กลัวว่ามันจะกลับมาอึราดซ้ำเข้าที่เดิม เมื่อเช็กจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีนกตัวนั้นเกาะอยู่บนต้นไม้ จึงถึงคราวก้มลงมองดูที่มือของตัวเองที่เต็มไปด้วยบาดแผลอันเกิดจากการโดนกิ่งไม้ข่วน แต่แผลส่วนมากจะเป็นการโดนกรรไกรตัดกิ่งที่พลาดหนีบโดนเนื้อตัวเองเสียมากกว่า เนื่องด้วยอาการมึนหัวผสมกับยังเมาขี้ตาไม่หาย ทำให้คนสวนได้แผลกลับมาเสียเต็มมือ “นายเรียก” ริวกะหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของนายท่าน หรือเรียกสั้นๆ ว่าหัวหน้าบอดี้การ์ดเดินเข้ามาเรียกให้เขาเข้าพบเจ้านายตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หยดเทียนพยักหน้ารับก่อนที่อัลฟ่าคนนั้นจะเดินหน้าเรียบนิ่งออกไป “คนอะไรหน้าดุปานเสือ” ร่างสันทัดบ่นพึมพำกับตัวเองในระหว่างทางเดินไปพบเจ้านาย ด้วยสีหน้าและท่าทางของริวกะทำให้เขาเกรงกลัวชายหนุ่มมากพอๆ กับเจ้านายทั้งสองคนเลย ในตอนแรกหยดเทียนคิดว่า มีเพียงพ่อบ้านฮันและนายท่านเท่านั้นที่น่ากลัวที่สุดในคฤหาสน์สกุลวัฒนา แต่เมื่อเห็นริวกะที่กลับมาจากต่างประเทศทีหลังก็ได้รู้ว่า เขาควรเพิ่มชายคนนี้เข้ามาอยู่ลิสต์บุคคลที่ต้องระวังเป็นพิเศษไว้อีกหนึ่งคน ก๊อก ก๊อก ก๊อก.. หยดเทียนเคาะประตูก่อนที่จะเปิดเข้าไปตามมารยาท “ขออนุญาตครับ” เอย์จิเงยหน้าขึ้นมองพลางยิ้มอ่อน “รอฉันสักครู่นะ” ผู้มาใหม่พยักหน้ารับแล้วยืนรอผู้เป็นนายตามคำสั่งอย่างเงียบๆ ผ่านไปราว 20 นาที เอกสารที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะทำงานก็ถูกสะสางจนหมด เอย์จิหมุนตัวออกจากเก้าอี้แล้วเดินมานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามด้วยผู้ที่ยืนอยู่ด้วยท่าทีสุขุม ‘กลิ่นเหล้าดอกไม้’ กลิ่นสุราหมักดอกไม้โชยออกมาจากตัวของหยดเทียนเล็กน้อยจนแทบไม่ได้กลิ่น แต่เอย์จิคือผู้ที่ถูกฝึกการประสาทสัมผัสมาตั้งแต่เด็ก จึงสามารถได้กลิ่นที่บางเบาและแยกแยะออกว่า กลิ่นที่ลอยเข้าจมูกคือกลิ่นของวัตถุชนิดใด แต่ทว่าอัลฟ่าหนุ่มก็ไม่ได้ถือสาอะไรและปล่อยผ่านไป เพราะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการหาข้ออ้าง เหตุที่เรียกตัวลูกน้องขึ้นมาพบโดยพลการ “ทำงานเสร็จหรือยัง” เริ่มด้วยคำถามพื้นๆ ที่เจ้านายและลูกน้องมักจะสนทนากันก่อนแล้วจึงค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ ตามขั้นลำดับ จนบทสนทนาสามารถไปต่อได้อย่างลื่นไหล “งานของวันนี้ยังครับ แต่ก็เหลืออีกไม่มากแล้ว” เอย์จิพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วมีอะไรที่ติดขัดบ้างหรือเปล่า” “ตอนนี้ยังไม่มีครับ” “แล้ว...เอ่อ...” ชายหนุ่มกวาดตามองซ้ายมองขวาไปทั่วห้องคิดคำถามที่จะถามต่อไป เพราะจู่ๆ หัวก็ดันตันขึ้นมาจึงเอ่ยติดขัดจนอีกฝ่ายยืนมองด้วยความงุนงง มือเรียวสากที่ประสานอยู่ด้านหน้าของร่างสีผึ้ง ทำให้เอย์จิชะงักไปทันที เมื่อสังเกตเห็นแผลสดที่ปรากฏอยู่บนมือทั้งสองข้างของลูกน้องเต็มไปหมด สายตาคมเพ่งเล็งไปที่เรียวมือด้วยความเป็นห่วงในฐานะเจ้านาย (?) จนกระทั่งหยดเทียนสงสัยจึงก้มลงไปดูตาม “ไปโดนอะไรมา” อัลฟ่าหนุ่มเอ่ยถามเสียงทุ้มปกติ “นี่หรือครับ” ร่างเล็กกว่าว่าพลางยกมือที่เต็มไปด้วยแผลขึ้นให้ดู “รู้แล้วยังจะถามอีก” “เอ้า! ก็เพื่อความแน่ใจก็เลยถามน่ะสิครับ” “...” “ขอโทษครับ..” หยดเทียนกล่าวด้วยสีหน้าสำนึกผิดแทบไม่ทัน เพราะเผลอพูดกระโชกโฮกฮากใส่เจ้านาย เอย์จิถอนหายใจแล้วส่ายหัวไปมา เพราะคิดว่าการสันนิษฐานของตนคงไม่ผิดไปจากที่คิดแน่ๆ ว่าไอ้กลิ่นละมุดนี่หรือเปล่าที่ทำให้ไม่มีสติสตังในการทำงาน รู้ทั้งรู้ว่าเมื่อไม่สามารถครองสติตัวเองได้ก็ไม่ควรหยิบจับของมีคม หรือสิ่งของที่ต้องใช้ความแม่นยำมากพอในการทำ แต่ด้วยลักษณะนิสัยของหยดเทียนแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ชายหนุ่มฉายแววตานิ่งเข้มมองร่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างพินิจพิจารณา ว่ามีส่วนไหนที่มีแผลอีกหรือเปล่า ทำให้เบต้าที่โดนจ้องมองแสดงออกด้วยท่าทางอึดอัดที่อยู่ๆ ก็โดนสายตาของเจ้านายจับจ้อง ‘จับผิดอะไรอีกแล้ว’ เมื่อเห็นว่าตนเผลอทำหน้าจริงจังเกินไป จนทำให้อีกฝ่ายกังวลก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติทันที แล้วยันตัวลุกจากโซฟาเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลในพกติดไว้ในลิ้นชักมา แล้ววางลงบนโต๊ะด้านหน้าของเบต้า เพื่อให้เขาทำแผลที่มือของตัวเอง “ขอบคุณครับ” คนสวนว่าก่อนจะเปิดกล่องปฐมพยาบาลออกแล้วลงมือทำแผลและแปะพลาสเตอร์ในมือข้างที่ถนัด ก่อนจะเปลี่ยนมาทำแผลที่มืออีกข้าง แต่เพราะว่าหยดเทียนเป็นคนถนัดมือขวา เมื่อต้องใช้มือซ้ายในการทำแผล ท่าทางการหยิบจับจึงดูทุลักทุเลจนคนที่นั่งดูรู้สึกขัดตา จึงต้องลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอีกฝ่ายเพื่อจะช่วยทำแผล แต่ทว่าในขณะที่เอย์จิกำลังจะเอื้อมมือไปคว้ามือที่เต็มไปด้วยบาดแผล หยดเทียนก็ชักมือหนีอย่างไวด้วยความตกใจ จึงทำให้ชายอัลฟ่าได้ไปเพียงสำลีเท่านั้น “ส่งมือมา” เอย์จิมองหน้าลูกน้องด้วยท่าทีนิ่งพร้อมกับหงายฝ่ามือของตนขึ้นมาเพื่อรอรับมือของอีกฝ่าย “ไม่เป็นไรครับผมทำเองได้” คนสวนว่าพลางหยิบสำลีก้อนใหม่ “ไม่ถนัดไม่ใช่หรือไง” “..ก็ใช่ครับ แต่ผมค่อยๆ ทำไปเดี๋ยวก็เสร็จเองนั่นแหละครับ” “แต่เทียนทำให้ฉันขัดหูขัดตา เพราะงั้นส่งมือมาให้ฉันทำแผลให้จะดีกว่า แล้วเทียนจะได้รีบออกไป” ‘ฮึ! แล้วเรียกมาเองทำไมล่ะ’ หยดเทียนกะบึงกะบอนในใจด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย จะว่าไม่พอใจก็พูดไม่เต็มปากหรือจะว่าน้อยใจเขาก็ไม่น่าจะมีความรู้สึกแบบนั้นได้ เบต้าหนุ่มนิ่งตัดสินใจอยู่สักครู่ก่อนจะส่งมือข้างขวาวางลงบนฝ่ามือของเจ้านายช้าๆ ก่อนที่ชายอัลฟ่าดึงมือไปอย่างนุ่มนวล เอย์จิหยิบสำลีจุ่มกับยาฆ่าเชื้อสีเข้มจนชุ่มแล้วบรรจงทาที่แผลอย่างเบามือที่สุด แต่ทันทีที่ยาโดนผิวตรงที่เป็นแผล ร่างสันทัดก็สะดุ้งเฮือก ซูดปากด้วยความแสบ แล้วรีบชักมือกลับอย่างไว “ซี๊ด! เบาๆ หน่อยสิครับนายท่าน!” เขาว่าพลางทำปากจู๋พ่นลมใส่บาดแผลให้ความแสบทุเลาลง “ก็นี่มันยาฆ่าเชื้อ ถึงไม่ใช่ฉันทำให้ก็แสบอยู่ดีนั่นแหละ” ผู้เป็นนายมองลูกน้องพร้อมอธิบายให้เข้าใจ เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายยึกยักอยู่กับบาดแผล ไม่มีทีท่าว่าจะส่งมือมาให้เขาทำแผลต่อ เอย์จิจึงต้องใช้สายตาและเอ่ยทักท้วง “เสร็จหรือยังฉันจะได้ทำต่อ” “ผมรู้ว่ายานี้มันแสบแต่ก็ช่วยทำเบาๆ หน่อยนะครับ” เบต้าหนุ่มว่าเสร็จก็ยื่นมือให้อย่างไม่เต็มใจแต่เพราะตนขัดคำสั่งไม่ได้จึงต้องจำยอมทำตาม “เสร็จแล้ว” เอย์จิปล่อยมือของเบต้าที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์แปะอยู่เต็มมือ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลังให้เป็นอิสระ ร่างเล็กรีบถดมือกลับด้วยความเกรงใจ ก่อนจะหมุนฝ่ามือตัวเองดูผลงานที่เจ้านายรังสรรค์งานปะติดอย่างชื่นชมความมีน้ำใจ “ขอบคุณครับ” “เทียนกลับไปบ้านเลยก็ได้ แล้วพรุ่งนี้ฉันอนุญาตให้ลาได้หนึ่งวัน” อัลฟ่าเอ่ยในขณะเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาทใส่ไว้ในกล่องแล้วนำไปเก็บไว้ที่เดิม ก่อนจะหย่อนกายลงบนเก้าอี้ทำงานนุ่มตัวโปรดแล้วเอนหลังพิงอย่างสบายใจ “ไม่เป็นไรดีกว่าครับตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน แล้วอีกอย่างงานของผมยังไม่เสร็จเลยครับ” “สภาพเทียนตอนนี้ฉันว่ากลับไปนอนน่าจะดีกว่า เดี๋ยวใครเห็นเข้าจะหาว่าฉันทารุณลูกน้อง” “แต่ผมว่าผมสบายดีนะครับ มือก็ทำแผลแล้วไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง” “ฉันไม่ได้เป็นห่วงแต่ฉันเป็นเจ้านาย ฉันสั่งอะไรเทียนก็ต้องทำตาม อย่ามาต่อล้อกับฉัน” เสียงนาบนุ่มนี้ช่างสวนทางกับประโยคที่ชายหนุ่มพูดยิ่งนัก ‘เอ้า...พูดไม่เข้าใจหรือไงก็บอกอยู่ว่าไม่ได้เป็นอะไร!’ หยดเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากที่ได้ฟังประโยคเมื่อครู่ ทำไมเอะอะอะไรก็เอาเจ้านายลูกน้องมาอ้างตลอด ใช่ว่าเขาอยากจะทำมันขนาดนั้นเสียหน่อย เพียงแต่แผนการทุกอย่างที่ตระเตรียมเขียนสำนวนกับพ่อบ้านเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หากเขาทำตามขั้นตอนที่กำหนดการได้ งานที่รับผิดชอบก็จะดำเนินไปได้ด้วยดีไม่มีอะไรติดขัด กลับกันถ้าคาดเคลื่อนไปแม้จะเป็นเพียงจุดเล็กน้อย ทุกอย่างที่เตรียมไว้คงต้องล่าช้าไปแน่ๆ และที่สำคัญถ้าเกิดว่าวันนี้เขากลับบ้านไปตามคำสั่งของเจ้านายจริงๆ งานของวันนี้ก็จำต้องทดไปไว้พรุ่งนี้แทน ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าวันพรุ่งนี้เขาต้องทำงานเพิ่มเป็นสองเท่าน่ะสิ! “ไม่ได้เถียงครับแต่วันนี้และวันต่อๆ ไปผมต้องทำงานให้เสร็จตามที่วางไว้ครับ ไว้ทำส่วนนี้เสร็จเมื่อไหร่ผมจะหยุดให้นายท่านยาวๆ เลยแล้วกันครับ” “ถึงอย่างนั้นตอนนี้เทียนก็ต้องกลับบ้าน” “เอ๊ะ! ก็ผมเพิ่งพูดไปว่าต้องทำให้เสร็จตามแผนไงครับ นายท่านฟังผมบ้างไหมครับเนี่ย” หยดเทียนเอ่ยด้วยความฉุนพลางแล้วเผลอเอามือยกเท้าสะเอว เอย์จิยกยิ้มมุมปากด้วยความอารมณ์ดีที่วันนี้ได้กวนประสาทลูกน้อง ก่อนจะหุบยิ้มแล้วหันหน้ามาหาคนที่ยืนค้ำเอวใส่โดยที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว “หืม? ถ้าเมื่อครู่ฉันไม่ฟัง เทียนจะสั่งสอนฉันหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วคมขึ้นพลางจ้องดวงตาของลูกน้องอย่างเจ้าเล่ห์เจ้ากลอน ก่อนจะดีดตัวออกจากเก้าอี้ เดินเข้ามาหาร่างสันทัดอย่างเชื่องช้าก่อนจะวางตัวลงนั่งบนโต๊ะทำงาน ซึ่งอยู่ต่อหน้าร่างเตี้ยที่ยืนออกไปไม่ไกล “ครับ? พูดอะ-” ยังไม่ทันพูดจบ เบต้าหนุ่มก็รู้ตัวว่าตัวเองกำลังยืนเท้าเอวใส่เจ้านาย ราวกับกำลังยืนสั่งสอนอย่างที่ว่าจริงๆ ซึ่งการกระทำนี้ไม่สมควรกระทำต่อหน้าคนอื่นโดยเฉพาะผู้เป็นนาย เขารีบลดมือลงทันทีเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังทำในสิ่งที่ไม่ควร แล้วก้มหน้าต่ำด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษครับพอดีมือมันไปเอง” หยดเทียนถูมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลเข้าหากันอย่างรู้สึกอาย ก่อนจะเงยหน้ายิ้มแห้งใส่เจ้านาย “ฉันจะรับคำขอโทษเทียนเอาไว้แล้วกัน แต่จะให้ดีกว่านี้หากคราวหน้าเทียนจะไม่ต่อปากต่อคำกับฉันอีก แล้วเชื่อฟังฉัน” “..ครับ ผมจะเชื่อฟังทุกอย่างเลยครับ” แม้เอย์จิจะรู้ดีว่าร่างตรงหน้าคงทำตามที่รับปากไว้ได้ไม่นาน เพราะรู้จักนิสัยของลูกน้องดี แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยิ้มรับอย่างอิ่มเอมใจ เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังเชื่อฟังตนอยู่ “อย่างนั้นวันนี้ก็กลับไปได้แล้ว” “..ครับนายท่าน” หยดเทียนกลืนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนตอบอย่างขัดใจตัวเอง ไม่กล้าเอ่ยต่อล้อต่อเถียงอีกเพราะเมื่อครู่เพิ่งตกปากรับคำกับนายท่านไป “งั้นผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ” เอย์จิพยักหน้ารับแล้วคนสวนก็ค่อยๆ ร่นถอยออกจากห้องไปแล้วปิดประตูให้อย่างเงียบงัน “เจ้านายอะไรก็ไม่รู้ อยากให้ลูกน้องหยุดงาน” หยดเทียนทำตามคำสั่งอย่างหนักแน่นด้วยความเป็นลูกน้อง แต่ก็ไม่วายจะบ่นพึมพำในระหว่างทางที่เดินลงมา กระทั่งเดินพ้นเขตบ้านสกุลวัฒนาออกไปปากก็ยังไม่หยุดขยับ ร่างสูงใหญ่ยืนมองลูกน้องตัวเตี้ยที่วาทศิลป์เป็นเลิศ กำลังเดินหอบกระเป๋าเดินกระฟัดกระเฟียดกลับบ้านด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้านายอย่างเขาได้ก็คลี่ยิ้มออกด้วยความรู้สึกแปลกๆ แต่ทว่ากลับไม่รู้ว่าอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดอยู่ในอกตอนนี้ มันหมายความว่าอย่างไร คลับคล้ายคลับคลาว่าความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อตอนที่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในสมัยที่ฟันน้ำนมยังไม่หลุดออกจากปาก แต่จะใช่หรือ? ใครมันจะไปชอบคนคนหนึ่งได้ไวปานนั้น เบต้าที่เพิ่งรู้จักได้เพียงเดือนกว่า ซ้ำความสัมพันธ์ไม่ค่อยเป็นไปในทางที่ดีเท่าไหร่ เพราะอีกฝ่ายชอบทำหน้ามุ่ยใส่เขาตลอด แต่ก็ประหลาดใจมากนักที่เขาดันชอบสีหน้าแบบนั้น จนบางครั้งก็เผลอแกล้งเด็กหนุ่มไปมากโดยไม่รู้ตัว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม