“งานเสร็จหรือยัง ขึ้นมาเปลี่ยนแจกันดอกไม้ให้ฉันหน่อย” เสียงทุ้มลอยลงมาจากระเบียงห้องชั้นสาม ซึ่งเป็นห้องทำงานของเอย์จิผู้เป็นเจ้านาย เขาเอ่ยสั่งลูกน้องที่กำลังนั่งกำจัดวัชพืชออกจากแปลงดอกไม้ คนสวนรีบเงยหน้าขึ้นหาต้นตอเสียงแล้ววางพลั่วพรวนดินลง
“ยังครับ แต่ผมจะขึ้นไปเปลี่ยนให้นายท่านเดี๋ยวนี้เลยครับ” หยดเทียนทิ้งงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินดุ่มๆ เข้าไปในครัวเพื่อเอาแจกันดอกไม้ใบใหม่ เมื่อไปถึงห้องทำงานของเจ้านายก็ไม่ลืมที่จะเคาะประตูบอกคนที่อยู่ด้านในว่าตนกำลังจะเข้าไป แล้วฝ่ามือจึงผลักประตูเดินเข้ามา
เบต้าหนุ่มวางแจกันที่เตรียมมาแทนที่แจกันใบเก่าก่อนจะโค้งคำนับเคารพเจ้านายที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองสักนิด แล้วจึงค่อยๆ ถอยห่างออกไป
“เอาชาขึ้นมาให้ฉันด้วย” หลังจากที่หยดเทียนลงมาทำงานต่อได้ไม่นานยังไม่ทันกำจัดวัชพืชออกจากแปลงเดิมเสร็จด้วยซ้ำ นายท่านก็เอ่ยปากสั่งเขาอีกในระยะเวลาที่ห่างกันไม่ถึงชั่วโมง
“ได้ครับ” เขาถอดถุงมือออกก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อจัดแจงน้ำชานำไปเสิร์ฟให้นายท่านตามคำสั่งอย่างไม่ปริปากบ่นเพราะไม่ได้คิดอะไรมาก
“เสร็จหรือยังขึ้นมาจัดระเบียบหนังสือในชั้นให้ฉันหน่อย” ทิ้งช่วงห่างกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงคำสั่งใหม่ก็ถูกป้อนลงมาอีกครั้ง จนทำให้คนสวนถอนหายใจด้วยความเหนื่อยที่ต้องเดินขึ้นเดินลงอยู่ทั้งวัน ทำไมนายท่านถึงไม่ออกคำสั่งครั้งเดียวให้ครบทุกข้อไปเสียเลย จึงจะไม่ต้องให้เขาไปๆ มาๆ ให้เสียเวลาทำงาน
คนสวนเงยหน้ายิ้มน้อมรับอย่างฝืนปากให้ผู้เป็นนายที่ยืนเก็บมือไว้ในถุงกางเกงพลางจิบน้ำชาอยู่บนระเบียงสูง หยดเทียนปฏิเสธคำสั่งของเจ้านายไม่ได้จึงจำใจต้องวางงานของตัวเองลงอีกครั้งแล้วเดินตึงตังขึ้นไปชั้นบน
ร่างสันทัดหอบหนังสือกองโตลงมาวางไว้บนพื้น จากนั้นใช้ไม้ปัดฝุ่นปัดชั้นวางหนังสือแม้จะไม่มีฝุ่นเกาะอยู่ก็ตามแล้วเขย่งเท้าวางหนังสือลงบนชั้นวางทีละชั้น ในระหว่างนั้นสายตาของผู้เป็นนายก็จดจ้องมองแมวหน้ามุ่ยยืดตัววางหนังสืออยู่เป็นระยะ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรหรือขยับไปที่ไหนก็ล้วนแต่เหลียวตาตามติดทุกอิริยาบถอย่างสนอกสนใจราวกับนั่งดูสารคดี
‘มองไรวะ ไม่เคยเห็นคนเรียงหนังสือหรือไง’ เสียงเล็กบ่นพึมพำในใจ เพราะรู้ตัวมาตลอดว่าตนกำลังโดนเพ่งมองอยู่ แต่เมื่อหันกลับไปมองอีกฝ่ายคราใด ชายอัลฟ่าก็กลับรีบก้มหน้าก้มตาทำท่าเขียนหนังสือต่ออย่างไขสือ ไม่รู้บ้างหรืออย่างไรว่าการที่นายท่านทำแบบนี้มันทำให้ลูกน้องอย่างเขาอึดอัดในสายตาที่เอาแต่จ้องจับผิดกันอยู่ได้ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเจ้านายผู้จ่ายเงินเดือนจึงไม่กล้าเอ่ยติหรือเขม่นใส่ คนสวนจึงทำได้แค่แสร้งทำสีหน้าและท่าทางไปตามปกติเท่านั้น
“เสร็จแล้วครับ ผมขอตัวนะครับ” ทันทีที่จัดระเบียบหนังสือเสร็จตามคำสั่ง เบต้าก็รีบขอตัวออกไปทันทีเกรงว่าหากอยู่ต่อนานกว่านี้งานหลักจะไม่ขยับไปไหน
“ขอบใจมาก อีกไม่นานฉันจะเรียกใหม่” อัลฟ่าหนุ่มเอ่ยทั้งที่สายตายังคงจดจ้องแฟ้มเอกสารเล่มหนาอยู่
“ครับ?” คิ้วทรงสวยมุ่นขมวดเข้าหากันอย่างไว รีบเอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยินอีกครั้งว่าประโยคที่นายท่านกล่าวเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?
“ทำไม? มีปัญหาอะไร”
“เปล่าครับแต่ผมมีงานต้องทำเหมือนกัน”
“ทำเสร็จแล้วฉันจะเรียก”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ทำเสร็จหรือไม่เสร็จครับ ปัญหาอยู่ที่ว่างานผมไม่ได้ทำเสร็จภายในวันเดียว คงไม่มีเวลามารับใช้นายท่านบ่อยๆ หรอกครับ” หยดเทียนเอ่ยเถียงด้วยน้ำเสียงจริงจังหากมัวแต่กลัว งานการที่อยู่ในความรับผิดชอบก็ไม่เสร็จกันพอดี เพราะการกำจัดวัชพืชทั้งสวนหน้าบ้านและหลังบ้านไม่ใช่งานที่สามารถทำเสร็จภายในวันเดียวได้ ด้วยเนื้อที่ทั้งส่วนหน้าและส่วนหลังรวมกันไม่ใช่น้อยๆ และที่สำคัญงานนี้เขาต้องทำคนเดียวเพราะผู้ช่วยอย่างเรย์โดนพ่อบ้านลากตัวไปฝึกงานที่อื่นชั่วคราว
“แต่ตอนนี้เทียนก็ขึ้นมาหาฉันได้หนิ แล้วมันไม่มีเวลาตรงไหน” เอย์จิตีหน้ามึนใส่ทำให้คนสวนเริ่มรู้สึกหัวร้อนขึ้นมา ฝ่ามือทั้งสองข้างขยุ้มชายเสื้อแน่นแล้วพ่นลมหายใจให้หัวเย็นก่อนจะตอบกลับบ้าง
“ได้ครับ งั้นผมขอตัวนะครับ” เบต้ากัดฟันพูดด้วยความจำยอมเหตุเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับเจ้านายต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะอธิบายไปเท่าไหร่เจ้านายก็คงไม่ยอมรับและหาทางโต้คืนอยู่ดี
หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ หยดเทียนและเรย์ก็เอนหลังนั่งรอให้อาหารย่อยก่อนจะกลับไปทำงานต่อ เบต้าเลือกสถานที่นั่งพักบนโต๊ะลายหินอ่อนข้างๆ ศาลาเพื่อตากลมธรรมชาติและเพื่อหลบหลีกจากสายตาที่จ้องแต่จะออกคำสั่งเขาอยู่ตลอดเวลา
“ไงวะไอ้หนู!” เสียงบอดี้การ์ดโจทก์เก่าดังขึ้นจากด้านหลังเสียงดังทั้งที่ยังเดินมาไม่ถึงโต๊ะ พวกมันเดินด้วยท่าทางอวดดีตามตูดกันมาโดยมีคำผู้เป็นหัวหน้าเป็นคนเดินนำ
พวกอันธพาลปรี่เข้ามานั่งรายล้อมโต๊ะลายหินอ่อนที่หยดเทียนและเรย์นั่งอยู่ ก่อนที่อัลฟ่าหัวโจ๊กจะเอื้อมมือโอบคอของเบต้าราวกับรู้จักมักจี่กันดีแล้วหันไปคุยหัวเราะกับลูกสมุนของตัวเอง
หยดเทียนชักสีหน้าไม่พอใจแล้วรีบผลักแขนลำใหญ่ที่วางไว้บนไหล่ออกด้วยความหนัก เขาถอนหายใจพลางมองดูหน้าพวกมันทีละคนก็รู้ลึกถึงสันดาน ว่าพวกนี้คงไม่ได้จะมาขอโทษเรื่องวันนั้นหรือมานั่งพูดคุยกันเฉยๆ แน่นอน
“ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตากันเลยนะทั้งๆ ที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันแท้ๆ พวกเราคิดถึงจะแย่” คำที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือเอ่ยขึ้น
“นี่รู้จักกันแล้วหรอพี่” เรย์ที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายกระซิบถามคนพี่ด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงรู้จักกับพวกบอดี้การ์ดเลื่องชื่อในการหาเรื่องและกลั่นแกล้งผู้คนเช่นพวกนี้ได้
“เรียกว่าเพิ่งมีเรื่องกันไปดีกว่า” ใบหน้าเอี่ยวมากระซิบตอบทำให้คนฟังหน้าเจื่อน
“คุยไรกันอ่ะฟังด้วยคนสิ” คำยื่นหูเข้ามาใกล้แทบจะชนริมฝีปากของเบต้าหวังจะฟังในสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน ทำให้หยดเทียนต้องรีบหดคอย่นใบหน้าหนี ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างได้จึงก้มลงสบถคำหยาบใส่หูของอีกฝ่าย ก่อนที่มันจะถอนใบหน้าออกไปอย่างไม่พอใจ
“แส่!”
“ยังปากดีเหมือนเดิมเลยนะมึง”
“ทำไม ก็พวกมึงจะมาหาเรื่องกูไม่ใช่หรือไง” หยดเทียนเริ่มตอบโต้ด้วยคำหยาบเมื่ออีกฝ่ายเริ่มพูดไม่สุภาพกับเขาก่อน ฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องพูดจาประนีประนอมอ่อนน้อมให้คนเกะกะโลกพวกนี้ฟังให้ได้ใจ
“อ๋อ! หรือว่ายังเจ็บใจไม่หายที่วันนั้นเสียโง่ให้กูไป” เป็นฝ่ายเบต้าหนุ่มที่ยิ้มเยาะแทนอีกฝ่ายทำให้ลูกน้องของอีกฝ่ายชักสีหน้าขรึมโมโหแทนลูกพี่
“เออ! วันนี้กูกะว่าจะมาคุยด้วยดีๆ มึงดันมากวนตีนกูเองนะไอ้เทียน”
“เชื่อก็ควายละ อย่างพวกมึงนะหรอจะคุยดีๆ เหมือนชาวบ้านชาวช่วงเขาเป็น ถ้าเห่าก็ว่าไปอย่าง”
“อ้าวไอ้นี่! วอนนักนะมึง” ซากิกล่าวพลางลุกขึ้นจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเดินอ้อมเข้าหวังจะมาหาเรื่องเบต้าที่นั่งเฉยเมยไร้ท่าทีป้องกันตัว
ซากิเดินเข้ามาผลักไหล่ของคู่อริให้เขาลุกขึ้นมาแลกหมัด แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งไม่แยแส นั่นเพราะหยดเทียนมีแผนอยู่ในใจจึงยอมให้พวกมันทำร้าย แล้วค่อยแสร้งร้องไห้นำหลักฐานบนร่างกายไปฟ้องพ่อบ้านให้พวกมันโดนทำโทษจนเข็ดบ้าง จะได้ไม่กล้าเข้ามาหาเรื่องเขาอีก
“ลุกมาดิวะ!” ยิ่งอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีตอบโต้ยิ่งทำให้ซากิโมโหเลือดขึ้นหน้า เขาเอื้อมฝ่ามือสากประดับเส้นเลือดบีบเข้าที่ไหล่ของเบต้าอย่างแรง จนรู้สึกเจ็บราวกับไหล่จะหลุด
‘ใจร่มๆ ไว้เดี๋ยวก็ได้รอยแล้ว’ เขาร้องเจ็บในใจแต่กลับไม่ยอมแสดงสีหน้าออกมาให้พวกมันเห็นเด็ดขาด เขาต้องอดทนไม่ปัดมือมันออกตอนนี้เพราะเกรงว่าจะไม่ได้หลักฐานการโดนทำร้ายไปฟ้องพ่อบ้าน
“พะ พอเถอะพี่ เดี๋ยวจะมีคนมาเห็นนะ” เรย์เอ่ยปรามด้วยเสียงสั่นด้วยความกลัวรุ่นพี่
“มึงอยู่นิ่งๆ ไป” ยูมที่นั่งมองสถานการณ์มองเด็กหนุ่มตาเขียวทำให้อัลฟ่าน้อยรีบก้มหน้าหลบ
ในสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียด คนที่อายุน้อยที่สุดแสดงท่าทียึกยักว่าจะเข้าไปช่วยลูกพี่ดีหรือไม่เพราะตนเองก็กลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าลุกต่อต้านบอดี้การ์ดรุ่นพี่จึงได้แต่นั่งนิ่งส่งสายตาละห้อยด้วยความเป็นห่วง หยดเทียนที่เห็นเด็กหนุ่มผู้นั่งข้างๆ แสดงทีท่ากระวนกระวายก็ยิ้มตอบเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
“นี่พี่! หลีกทางให้ลูกพี่ผมหน่อย” เสียงใสดังขึ้นจากด้านหลังของผู้ที่กำลังโดนกระทำ ทำให้ซากิขมวดคิ้วรีบหันหน้าไปด่าซากุผู้เป็นน้องชายที่คลานตามกันมาเกิดทันที โทษฐานที่เข้ามาขัดจังหวะโดยไม่รู้ตัวว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของน้องชายนั่นเป็นใคร
“เฮือก!” หัวใจของซากิแทบหยุดเต้น เพราะคนที่เขาสบถด่าน้ำลายฟุ้งใส่หน้าเมื่อครู่คือโทโมยูกิ รองหัวหน้าผู้เป็นมือซ้ายของคุณริวกะ ชายที่บอดี้การ์ดหลายนายไม่กล้าหืออือหรือมีปัญหาด้วย หาใช่น้องชายที่ตนเข้าใจในตอนแรกไม่
โทโมยูกิเหลือบตามองฝ่ามือของชายที่ยืนตัวแข็งสลับกับคนที่โดนรังแกแต่ไม่ปริปากร้อง เขานึกแคลงใจว่าเหตุใดจึงไม่ยอมขัดขืนหรือเรียกคนมาช่วย เพราะโดนอีกฝ่ายขู่เอาชีวิตหรือจึงยอมอยู่นิ่งๆ ให้คนอื่นทำร้าย ชายหนุ่มคิดเอาเองอย่างนั้นก็นึกเห็นใจขึ้นมา จึงคิดว่างั้นตนจะยอมช่วยสักครั้ง
หลังจากที่พินิจอยู่ครู่ใหญ่ฝ่ามือแกร่งก็ยื่นเข้ามาแทรกบีบรัดข้อมือของซากิเอาไว้จนกระดูกแทบแหลก พร้อมกับสายตาข่มขู่ที่แสดงให้เห็นว่าปล่อยมือออกจากไหล่ของอีกฝ่ายเสีย
“โอ๊ย!!ปล่อยแล้วครับๆ” เสียงโอดโอยดังขึ้นพร้อมกับมือที่ละออกจากไหล่ของหยดเทียนด้วยความเร็วก่อนจะจับแขนที่ขึ้นรอยแดงแล้ววิ่งแจ๋นไปหาลูกพี่ของตัวเอง
คำหวั่นใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาขัดขวางคือรองหัวหน้า ชายหนุ่มจึงรีบเด้งตัวลุกขึ้นยืน เอามือประสานไว้ด้านหน้าด้วยท่าทีเคารพแล้วเอ่ยปากถาม
“มีอะไรหรือครับคุณยู”
โทโมยูกิเชิดหน้าขึ้นพลางขมวดคิ้วส่งสายตาไม่สบอารมณ์ใส่อีกฝ่าย เหตุเพราะเมื่อครู่เพิ่งได้ยินว่ามันเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนมกัน ทั้งที่เขารู้จักเพียงแค่หน้าแต่หาจำชื่อชายตรงหน้าได้ไม่
“ขอโทษครับ! คุณโทโมยูกิ..” คำรีบเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกผู้ที่อยู่เหนือหัวของตนทันทีด้วยความลุกลนหลังจากที่ได้รับสายตาที่ไม่พึงพอใจ
‘โห ท่าทางจะเป็นขาใหญ่ในบ้านแฮะ’ หยดเทียนกล่าวกับตัวเองพลางมองเหตุการณ์อย่างระทึกใจ เมื่อเห็นว่าพวกอันธพาลพากันหดหัวเข้ากระดองไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับชายอีกคน แม้แต่เรี่ยวแรงของขาที่ใช้จั้งกับพื้นก็ดูแทบไม่มี
“รีบๆ ไปซะสิ ยังจะมาขวางทางพวกฉันอีก” ซากุผู้ที่โดนแผ่นหลังของยูกลบจนมิด ยื่นใบหน้าเล็กออกมาไล่ให้พวกมันหลบไปก่อนที่จะโดนพี่ใหญ่โกรธแทน
“งะ งั้นพวกผมขอตัวนะครับ!” ว่าจบพวกมันก็วิ่งแจ๋นหนีไปอย่างกับนักกรีฑาเข้าไปที่ด้านหลังของห้องครัว
หยดเทียนถอนหายใจก่อนจะใช้มือนวดบริเวณไหล่ที่ถูกบีบ เขาเอ่ยขอบคุณโทโมยูกิและพรรคพวกไปตามมารยาทที่เข้ามาช่วยไว้ แม้เขาจะไม่ได้อยากให้ทำแบบนั้นก็ตาม
‘แค่นี้ก็น่าจะมีรอยช้ำแล้วมั้ง’ คนสวนกล่าวพร้อมกับทำสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย