ตอนที่ 26 หยดเทียนกับการแอบฟัง

3515 คำ
​ ร่างเพรียวเดินเตาะแตะมาตามโถงทางเดินในคฤหาสน์สกุลวัฒนาก่อนยกเท้าเหยียบขั้นบันไดขึ้นไปทีละขั้นพร้อมกับกระดาษแผ่นบางในมือ ใบหน้านวลใยมีแก้มอวบขมวดคิ้วกังวลใจไม่หาย ยังคงค้างคาและไม่สบายใจในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะหลังจากนั่งคาดคั้นเอาคำตอบในท่าทีลุกลนไม่ชอบกลราวกับน้องชายกำลังปิดบังเรื่องบางอย่างอยู่ ในคราแรกที่หยดน้ำได้ยินคำถามของคนพี่ก็รีบบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอก หยดเทียนเลยจำต้องใช้ไม้เด็ดเข้าสู้จึงขึงใบหน้าจริงจังกว่าครั้งไหนๆ โอเมก้าน้อยจึงยอมเปิดปากเผยความจริงออกมาและได้ความว่า หลังจากชายผู้มีฐานะเป็นบิดารู้ว่าหยดเทียนคือผู้ช่วยคนสนิทของคุณเอย์จิหรือท่านประธานบริษัทอีนิกซ์ ก็เห็นหนทางเพิ่มพูนโอกาสในการเจรจาธุรกิจให้สำเร็จมากขึ้น จึงไว้วานให้บุตรชายผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายคนเดียวของหยดเทียนให้ช่วยเกลี้ยกล่อมพี่ชายแทนตัวเอง เหตุเพราะตนและเด็กหยดเทียนเสมือนเป็นคู่อริกัน ธนาจึงไม่อยากอ้อนวอนกลัวศักดิ์ศรีของตนจะโดนบั่นทอน แต่ธนาทำพลาด เพราะภรรยาเอกและลูกชายอีกคนเข้ามาขัดขวางเสียก่อน แผนที่เกือบจะลุล่วงจึงกลับตาลปัตรเป็นผิดพลาดมหันต์จนเกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของหยดน้ำ ก่อเกิดเป็นปมขนาดใหญ่หยั่งลึกถึงห้วงจิตใจของเด็กน้อยจนถึงตอนนี้ หยดเทียนที่ได้ฟังในคราแรกก็โมโหโกรธาเป็นฟืนเป็นไฟ ลุกขึ้นหมายจะตามไปเอาความคนบ้านบวรนิวิชญ์ให้ได้ ทว่าโดนน้องชายกอดขาห้ามเอาไว้แลฟูมฟายทั้งน้ำตาว่าไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โต ต่อจากนี้ตนจะไม่ไปยุ่งกับคนบ้านนั้นอีกและขอให้พี่ชายเชื่ออีกสักครั้ง หยดเทียนมองเห็นน้ำตาของน้องก็ใจอ่อนยอมสงบแล้วลงไปกอดปลอบเด็กงอแง และไม่ได้ถามอะไรต่ออีก รวมถึงเรื่องที่ยังค้างคาใจในบาดแผลและรอยขาดยับบนชุดนักเรียน เพราะเห็นว่าน้องกำลังเสียใจ คิดแล้วก็ถอนหายใจก่อนทึ้งหัวไล่ความคิดลบออกไปเพราะตอนนี้ตนอยู่ในระหว่างทำงาน ดวงตากลมใสส่อแววกังวลก้มลงอ่านรายละเอียดในกระดาษ ว่าด้วยพันธุ์ดอกไม้และต้นไม้ที่นำมาให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านตัดสินใจเลือก แล้วคนสวนเช่นเขาจะนำมาปลูกประดับบนแปลงดินที่ว่างอยู่ เมื่อเดินพ้นบันไดสูงขึ้นมา สายตาก็ยังคงจดจ้องตัวอักษรพร้อมขยับริมฝีปากอ่านพึมพำ ปล่อยให้ขาทำหน้าที่ก้าวเดินไปยังห้องทำงานของนายท่านไป ครั้นเมื่อใกล้ถึงห้องทำงาน ดวงตาที่หลุบมองแผ่นกระดาษจึงเงยขึ้นมองทาง สบเข้าร่างของอัลฟ่าวัยกำลังโตที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่กับบานประตู เดี๋ยวเอาหูแนบเดี๋ยวเอาตาส่องอย่างผิดวิสัยพลอยให้เขาอยากรู้ไปด้วย หยดเทียนเขย่งส้นเท้าขึ้นเหนือพื้นพลางค่อยๆ ย่องเบาอ้อมเข้าด้านหลังของเรย์ก่อนจะโน้มตัวลงตามและเพ่งสายตามองลอดผ่านช่องประตูที่แง้มออกมาพอให้เห็นด้านใน แต่ทว่าก้มมองได้ไม่นานก็ต้องขมวดคิ้วแน่นตาม เพราะช่องประตูที่เล็กแคบและทำเลการสอดส่องไม่ค่อยดี หยดเทียนจึงเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของพ่อบ้านที่กำลังไพล่มือกันไว้ข้างหลังเท่านั้น แต่มีหรือคนชอบสอดรู้จะยอมรามือ ในเมื่อไม่เห็นก็ต้องได้ยินแทนสิ! คิดได้เช่นนั้นก็เอี้ยวใบหูพยายามเงี่ยฟังในสิ่งที่เจ้านายคุยกันอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เพราะระยะทางมันไกลเกินกว่าเสียงที่เล็ดลอดออกมาจะเดินทางมาถึง จึงทำให้สอดรู้สอดเห็นไม่สาแก่ใจอีกแล้ว หยดเทียนพาตัวกลับมายืนหลังตรงเท้าเอวคิดหาทางเช่นเดิมก่อนจะตกผลึกความคิดได้ คนสวนจึงเคาะนิ้วสะกิดลาดไหล่ที่เริ่มขยายกว้างเบาๆ ให้คนน้องหลบไป ตนจะลอบฟังสักประเดี๋ยว แต่ทว่าเรย์หาได้สนใจไม่ซ้ำยังปัดสิ่งที่สะกิดตนออกอย่างไม่ไยดีและเป็นอยู่อย่างนี้ราวสองสามที จนเบต้าคนพี่บันดาลโทสะตบป๊าบเข้ากลางกบาลของเด็กหนุ่มเบาๆ “เฮือก! โธ่!! พี่เทียน!! ตกใจหมดเลย” เรย์สะดุ้งตกใจเฮือกใหญ่พร้อมหันมาหาผู้กระทำอย่างไวแล้วตบอกโล่งใจเมื่อคนที่อยู่ต่อหน้าไม่ใช่ริวกะหรือบอดี้การ์ดคนอื่น แต่เป็นลูกพี่ที่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โธ่...นึกว่าชะตาไอ้เรย์จะขาดเสียแล้ว “ขยับไปหน่อยขอฉันฟังบ้าง” ว่าแล้วร่างเพรียวก็กระแทกก้นใส่ลำตัวอีกฝ่ายให้หลบไปให้พ้นทาง ก่อนที่เจ้าตัวจะมุดแทรกเข้าไปเอาหูแนบฟังบทสนทนาด้านในแทน เสียงแผ่วเบาลอยออกมาจากช่องประตูที่ปิดไม่สนิทดังชัดขึ้นกว่าตอนก่อนหน้าอยู่มากโข เสียงทุ้มนุ่มและเสียงทุ้มเข้มอย่างแตกต่างกันของนายท่านและพ่อบ้านดังตอบโต้สลับกันไปมาด้วยความจริงจังกว่าปกติ แม้แต่คนที่อยู่ด้านนอกยังสามารถสัมผัสได้ถึงไอเย็นน่าอึดอัดและกดดันดั่งโดนลากลงไปใต้น้ำ “คงจะถูกพวกผู้เฒ่าเร่งเร้าเข้ากระมังครับ งานหมั้นถึงได้เลื่อนเข้ามาจัดภายในเร็ววันนี้” ฮันเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มน่าฟังเช่นเดิม ทว่าเนื้อความในประโยคกลับทำให้ผู้ที่ยืนหันหลังมองสวนฉายแววตาขุ่นเคืองไม่พอใจออกมา ‘งานหมั้น? ’ หยดเทียนขมวดคิ้วสงสัยแล้วตั้งใจเงี่ยหูฟังต่อ “ขัดแข้งขัดขาทุกเรื่องจริงๆ” เสียงเยือกเย็นเอ่ยเบาด้วยความหงุดหงิด เอย์จิไม่พอใจยิ่งนักเมื่อโดนคนกลุ่มหนึ่งในตระกูลขัดแข้งขัดขาไปซะทุกเรื่อง ซ้ำมาครั้งนี้ยังหวังจะใช้เขาเป็นเครื่องมือผลิตผลประโยชน์ให้ตัวเองอีก ช่างหน้าไม่อายนัก! ยามใดที่เขาขึ้นเป็นใหญ่มีอำนาจล้นมือเยี่ยงผู้นำ เมื่อยามนั้นพวกปลิงเกาะฐานตระกูลจงอย่าหวังว่าจะลอดคมเล็บไปได้ บรรยากาศภายในห้องไม่ต่างอะไรกับยืนอยู่ใต้ทะเลลึก ดั่งร่างกายโดนความดันมหาศาลกดทับจนแบนราบไปกับพื้นทราย เมื่อสถานการณ์ด้านในไร้เสียงเสวนาและไร้เสียงใดๆ ผิดกับเวลาไม่กี่นาทีก่อน ท่ามกลางความเงียบสงบ เอย์จิยืนไพล่หลังทอดมองดอกกุหลาบสีสดแย้มสรวลอวดความงามพลางพยายามจัดระเบียบความคิดที่ตีกันอยู่ในหัวให้สับสนไม่รู้จบ พ่อบ้านฮันก็ยังคงยืนนิ่งไม่อาจปริปากเอ่ยขัดความคิดของเจ้านาย จึงได้แต่ยืนเงียบๆ ไม่ไหวติงคอยเป็นที่ปรึกษาอยู่ข้างๆ และคอยให้เจ้านายป้อนคำสั่งเข้าปากเช่นสุนัขผู้ซื่อสัตย์ไม่ออกนอกลู่นอกทาง “เงียบจังอ่ะพี่” คนที่เอาหูขนาบกับประตูอีกบานเอ่ยขึ้นก่อนเปลี่ยนท่าเป็นเอาดวงตาแนบมองผ่านช่องว่างระหว่างประตูดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องทำงานแทน “ไหนฉันดูบ้างสิ” หยดเทียนว่าพร้อมกับดันศีรษะของคนน้องไปทางอื่นทำให้อัลฟ่าน้อยแสดงสีหน้ามู่ทู่อย่างขัดใจ เพราะตนโดนคนพี่แย่งพื้นที่อีกแล้ว! ผ่านไปราวห้านาที เอย์จิจัดการและเรียบเรียงความคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว จึงหันหน้ากลับมาหวังจะมอบหมายงานให้ลูกน้องที่ยืนรออยู่ด้านหลัง แต่ทว่าก่อนจะได้เปล่งเสียงออกคำสั่ง สายตาคู่คมดันเหลือบไปเห็นดวงตาใสที่หลับตาปริบๆ ใส่ไม่รู้ว่ามาลอบฟังตั้งแต่ตอนไหน “ฉิบหาย!” หยดเทียนผงะสบถคำหยาบพร้อมร่างกายที่รีบผละออกมาจากช่องประตูอย่างรวดเร็ว เมื่อจู่ๆ นายท่านก็ดันหันหน้ามาเอ่ยกับพ่อบ้านอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จึงทำให้คนสวนที่แอบดูเผลอหลุดอุทานตกใจ จนทำให้คนที่โก่งหลังเอาหูแนบประตูขมวดคิ้วอีกคนมองอย่างสงสัย “อะไรพี่?” “จะเห็นไหมเนี่ย!?” ใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ พรั่นกลัวว่านายท่านจะเห็นตนแล้วเรียกไปลงโทษจึงรีบรุดลุกหนีอย่างเร็วโดยไม่บอกกล่าวเด็กหนุ่มที่นั่งตาแป๋วไม่รู้เรื่องเลยสักคำ “เดี๋ยว” เสียงเข้มดุดังไล่หลังมาทันทีที่หยดเทียนสับขาเดินหนีได้เพียงสี่ก้าว นั่นสร้างความตกใจให้คนดูแลสวนและผู้ช่วยที่ยืนเกาหัวแกรกๆ งุนงง จนสะดุ้งตื่นตกใจพลางทำหน้าผวาไปตามๆ กัน “ตายแน่ๆ” เปลือกตาประดับแพขนตายาวหลับพริ้มพลันเม้มปากทำใจ ก่อนจะหันใบหน้าสบตาเจ้านายที่ยืนเท้าเอวรอดั่งพญามัจจุราชมารอรับวิญญาณดวงน้อยๆ พลอยให้ร่างสั่นไหวด้วยความกลัวอันเริ่มกัดกินหัวใจ “มานี่” “ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ..” ริมฝีปากอวบขบกัดพลางเบะลงเล็กน้อยราวกับลูกแมวที่แอบฝนเล็บลงบนโซฟาแล้วโดนจับได้ สร้างความขำขันให้แก่เจ้านายจนบางเสี้ยววิแอบยิ้มมุมปากอย่างขบขำเจือเอ็นดู เมื่อเห็นว่าร่างสันทัดเดินคอตกกลับมาตามคำสั่ง ชายหนุ่มจึงเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานดังเดิมเพื่อออกคำสั่งกับพ่อบ้านฮันก่อนที่หยดเทียนจะเดินเข้ามา “ให้คนฝั่งนั้นจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกมันให้ดี หากมีอะไรผิดปกติให้รีบมารายงานฉันทันที” “ครับนายท่าน” เสียงแผ่วนุ่มตอบรับทว่าให้ความหนักแน่นในน้ำเสียง ร่างสูงโน้มตัวลงเคารพนายเหนือหัวก่อนจะหันหลังเดินออกมา “พะ พ่อบ้านครับ” สายตาออดอ้อนแทบจะลงไปเลียเท้าพ่อบ้านที่เดินสวนออกมาให้ช่วยเกลี้ยกล่อมนายท่านว่าอย่าได้ลงโทษตนเลย แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นเพียงรอยยิ้มตาหยีสื่อว่า ผมขอเป็นกำลังใจห่างๆ และบอกให้สู้ๆ แล้วเดินผ่านไปอย่างไร้เยื่อใยพร้อมกับจูงเอาอัลฟ่าคู่ซี้ไปอีกคน สองแววตาตระเต็มไปด้วยสีหม่นเหลียวมองกันอย่างสิ้นหวังเตรียมโดนคำพิพากษา รับเวรรับกรรมของใครของมัน “เข้ามาได้แล้ว จะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งวันหรือไง” “ไม่เอาครับ ถ้าให้ยืนอยู่ตรงนี้ให้ผมไปยืนในสวนดีกว่า” ว่าแล้วก็ถดขาถอยหลังหมายจะชิ่งหนี แต่โดนเสียงดุเข้มปรามขึ้นก่อน ร่างเล็กเลยลอบยู่ปากแลหรี่ตาใส่ ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในปากแล้วสะบัดสะบิ้งเดินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ ดวงตาสีนิลเข้มสนิทจ้องมองอากัปกิริยาของคนที่ยืนก้มหน้าก้มตากลัวความผิดพร้อมกับเอนลาดหลังแผ่นหนาลงบนโซฟาอย่างสบายใจก่อนจะทำเสียงขรึมถาม “ได้ยินอะไรบ้าง” หยดเทียนแอบเงยหน้ามองใบหน้าอันหยิ่งผยองน่าหมั่นไส้แล้วหลุบลงมองเล็บขบเช่นเดิม “ไม่ได้ยินอะไรเลยครับ” “โกหกหักห้าสิบ” ครานี้ใบหน้างามรีบเงยขึ้นเต็มคอมองเจ้านายแล้วขบปากใส่เมื่อโดนขู่ว่าจะถูกหักเงินเดือน “ได้ยินแค่คำว่าผู้เฒ่าผู้แก่...ขัดแข้งขัดขาอะไรสักอย่างแค่นั้นนั่นแหละครับ” ใบหน้าหม่นอย่างไม่ทราบสาเหตุก้มงุดหน้าลงอีกครั้งเมื่อกล่าวจบ แต่กระนั้นเอย์จิก็ยังคงไม่ไว้วางใจเพราะสัมผัสได้จากดวงตาที่ไม่กล้าสู้หน้า ก็รู้ได้ทันทีว่ามีสิ่งอื่นปกปิดอยู่อีก “มีอะไรอีก” เสียงเข้มคาดคั้นเอาความจริงเพราะเกรงว่าเรื่องที่หารือกับพ่อบ้านจะโดนคนนอกรู้เข้า แม้รู้ว่าลูกน้องภายในบ้านคือคนที่ผ่านการคัดเลือกและตรวจสอบทุกอย่างมาแล้ว เพียงแต่เอย์จิกลับรู้สึกแปลกๆ มวลที่หน้าอกกลัวว่าหยดเทียนจะรู้เรื่องงานหมั้นเข้าแล้วเข้าใจผิด “หมดแล้วครับ” “เพิ่มเป็นสองร้อย” “เอ๊ะ! ขี้โกงนี่ครับ” เสียงดังเอ่ยขึ้นนำใบหน้าที่ยังก้มอยู่ก่อนองค์ประกอบทั้งหมดไม่ว่าจะคิ้วหรือตาที่บ่งบอกว่ามันไม่ยุติธรรมจะเงยตามขึ้นมา “นายท่านขี้โกง! ผมไม่ได้ปิดบังอะไรสักหน่อยทำไมต้องหักเงินเดือนกันด้วย ห้าสิบบาทผมก็เสียดายมันแทบแย่ นี่เพิ่มมาเป็นสองร้อยเลยหรอครับ! นายท่านไม่รู้หรือไงว่ามันซื้อข้าวได้ตั้งสี่จาน ซื้อน้ำได้ตั้งหลายขวด ทำไมนายท่านถึงเป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเงินขนาดนี้!!” ‘ว่าแล้วเชียว’ เอย์จิอุทานในใจก่อนยกมือป้องปากขำ เมื่อจู่ๆ เขาก็ดันเอาไฟแช็กลนกองฟางให้ลุกไหม้เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่หัวใจ คนขี้เหนียวจึงได้ร้องโวยวายเสียยกใหญ่ ชายหนุ่มจึงนั่งยิ้มพลางส่ายหน้ามองท่าทางแปลกๆ ของคนตรงหน้าว่าเมื่อไหร่หนอจะหมดแรงพูด “เงียบแบบนี้แสดงว่าจะหักจริงๆ ใช่ไหมครับ ทำแบบนี้มันเป็นการเอาเปรียบพนักงานนะครับ ถะ ถ้านายท่านจะหักเงินเดือนผม ผะ ผมจะ..” จะฟ้องพ่อบ้าน? จะฟ้องคุณริวกะ? หรือจะฟ้องใครก็ไม่ได้เพราะพ่อบ้านและเจ้านายคนอื่นในบ้านหลังนี้ก็ล้วนแต่เป็นลูกน้องของนายท่านทั้งนั้น หยดเทียนสิ้นไร้ไม้ตอกจึงก้มหน้างองุดลงมองพื้นไม่ตก แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะยอมแพ้เพียงแต่กำลังคิดหาวิธีอยู่ก็เท่านั้น “เทียนจะทำอะไรฉัน จะทำร้ายฉันหรอ.. ฉันไม่ยอมนะ” นัยน์ตาคมสะท้อนแสงอย่างคาดเดาความต้องการไม่ออก แล้วยกยิ้มมุมปากเมื่อในหัวมีความคิดแปลกๆ โผล่ขึ้นมา “ผมจะงอน.. งอนจริงๆ ด้วย...” ริมฝีปากล่างขบเข้าหากันพลางส่งเสียงมุบมิบแผ่วลอดออกไปสู่อากาศโดยไม่รู้ตัวเพราะเป็นเพียงความในใจไม่คิดว่าตนจะหลุดพูดออกมา หยดเทียนจึงรีบเงยใบหน้าหมายจะรีบแก้ตัวเมื่อคิดได้ว่าเมื่อครู่ดันเอ่ยคำที่ไม่สมควรออกไปเสียแล้ว “มะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ! ผมไม่ได้จะพูดอย่างนั้นนะครับ!” แต่ก็สายไปเพราะอัลฟ่าหนุ่มนั่งนิ่งค้างคิดไปไหนต่อไหนแล้ว “...” ไร้เสียงเอ่ยตอบใดๆ มีเพียงเสียงเต้นของหัวใจที่ดังโครมครามอยู่ในอก เมื่อคิดถึงเสียงสั่นกระเส่าที่ยังคงเล่นวนถ้วนไปมาในโสตประสาทอันมึนทื่อของเอย์จิอยู่ซ้ำๆ ทำให้ลืมคิดไปเสียสนิทว่าตนจะทำสิ่งใดต่อ แม้ยามมีสตินึกคิดขึ้นมาก็พอให้ห้วงลึกของความรู้สึกรับรู้ว่าอัตราความร้อนในร่างกายพุ่งสูงยิ่งกว่าตอนออกกำลังกายหลายเท่า นั่นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่เกิดเฉพาะกับเบต้าคนนี้เท่านั้น “ยะ อย่าเข้าใจผมผิดสิครับ” ใบหน้านวลหล่าลงพาริมฝีปากที่รีบเม้มหากันอย่างใช้ความคิดพลางมองเจ้านายเป็นระยะเพราะไม่รู้จะทำยังไงให้คนตรงหน้าเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการให้เข้าใจสักที ดวงตาคมพร่ามัวยามไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดเริ่มขยับไหวเมื่อได้สติ ก่อนเหลือบมองลูกน้องที่ในตอนนี้มีท่าทีกระวนกระวาย จึงรู้ว่าตนคงนิ่งเกินไปจนอีกฝ่ายทำตัวไม่ถูก เขาต้องรีบตั้งสติเรียบเรียงสถานการณ์ใหม่ทั้งหมดจนเข้าใจแล้วกลับมาคีพลุคมาดนิ่งทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดเช่นเดิม “เอาเป็นว่า-” ก๊อก! ก๊อก! แกร๊ก… เอย์จิขมวดคิ้วมองคนที่เข้ามาขัดจังหวะอย่างขุ่นเคืองเพราะยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดขวาง ก่อนอีกไม่นานจะปรากฏร่างชายสูงผู้เป็นมือขวาของตัวเอง ริวกะชะงักครู่หนึ่งเมื่อเห็นสายตาที่ราวกับจะเข่นฆ่ากันตรงนี้ของนายเหนือหัว ทว่าจะให้ถอยหลังกลับตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะเรื่องที่ตนจะนำมารายงานนั่นเป็นเรื่องสำคัญนัก “มีเรื่องเข้าครับ” ท่าทางจริงจังเจือความกังวลที่หม่นอยู่ในดวงตา ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ เอย์จิจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเสียดายแล้วหันกลับมาพูดกับลูกน้องอีกคน “เทียนออกไปก่อนนะ” “คะ ครับ ...คืออย่าลืมนี่ด้วยนะครับ” ร่างเตี้ยรีบเงยหน้ารับคำสั่งแล้ววางแผ่นกระดาษในมือไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา ก่อนเดินออกไปจนพ้นคานประตูแล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งอย่างไม่แลหลัง เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดังไปจนไกลหูได้ราวหนึ่งนาที คนที่ยืนประสานมือทบทวนเรื่องที่เตรียมมาในใจจึงเริ่มเอ่ย “มีข่าวลือจากฝั่งนู้นมาว่าคนของคุรุคากิลอบเจรจาธุรกิจมืดกับพ่อค้าชาวไทยครับ” เมื่อเอ่ยจบก็เงียบกริบรอให้เจ้านายที่นั่งหน้านิ่งตึงใช้ความคิด “ข่าวลือ?” เขาพึมพำกับตัวเอง ผู้นำคุรุคากิคนสนิทของท่านผู้นำสูงสุดนะหรือที่เป็นข่าว มีความสัมพันธ์ดั่งเพื่อนฝูงกับผู้นำตระกูลใหญ่จนท่านเอ่ยปากไว้วางใจและนำคนผู้นี้มาไว้ข้างกาย ทำให้ชายคนนี้มีอำนาจบาตรใหญ่เป็นรองเพียงผู้นำและท่านหญิงผู้ถือศักดิ์เป็นมารดาของผู้นำตระกูลเท่านั้น นั่นจึงสร้างความยำเกรงให้ผู้คนในตระกูลอื่นได้พากันหวาดกลัวและเกรงใจอย่างยิ่ง และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะมีผู้ใดหรือ? ที่กล้าปล่อยข่าวป้ายสีให้ผู้เป็นเกลอของ ท่านอิวามุโระ อิทสึกิ ผู้คุมอำนาจในตระกูลสูงสุดต้องข้อครหา หากแต่ไม่เป็นผู้นำเสียเองที่ลักลอบปล่อยข่าวลือที่ว่านั้น “คนของท่านผู้นำหรือ?” “เกรงว่าจะเป็นอย่างนั้นครับ” ริวกะกดหน้ารับ ว่าด้วยตระกูลอิวามุโระหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ผู้มั่งคั่ง นั่งแท่นหงส์แห่งความเกรียงไกรที่แม้แต่มังกรยังล้มยาก มีอำนาจล้นมือสั่งชี้เป็นชี้ตายผู้ใดก็ย่อมได้กระทั่งกฎหมายก็ยังไม่เกรงกลัว แต่กระนั้นกลับขึ้นชื่อเรื่องความเที่ยงธรรมมากกว่าอื่นใด จึงมีเหล่าตระกูลน้อยใหญ่และยากูซ่านับร้อยพันถวายตัวให้อิวามุโระได้พิจารณาเลือกเข้ามาอยู่ในเงา เพื่อแลกกับความปลอดภัยและการงานที่ดีของตระกูลตนเอง ซึ่งคุรุคากิก็เป็นหนึ่งในนั้น และด้วยความเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีแตกย่อยออกไปหลากหลายกลุ่ม ท่านผู้นำที่ก่อตั้งตระกูลรุ่นแรกจึงตั้งกฎเกณฑ์บังคับใช้ให้ถ้วนทั่ว เพื่อกำกับเหล่าผู้นำทั้งหลายให้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลใหญ่จึงจะไม่ขัดข้องหมองกันให้วุ่นวาย ซึ่งหนึ่งในกฎเหล็กของบัญญัติต้องห้ามที่จารึกลงในตำราศักดิ์สิทธิ์อันสืบทอดกันมานับสิบรุ่น ให้บ่มเพาะให้คนในตระกูลประพฤติปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดหนักหนาคือ ห้ามมีผู้ใดอันอยู่เบื้องใต้อิวามุโระแตะต้องสีดำกาฬให้ปนเปื้อนตระกูลหงส์ หากมีผู้ใดกล้าขัดขืนบทบัญญัติก็มีแต่ต้องหลั่งเลือดล้างความชั่วสถานเดียว และด้วยเหตุฉะนี้การมีข่าวลืออันจะนำไปสู่การบ่มทำลายขนหงส์ให้หม่นสีย่อมเป็นเรื่องใหญ่หลวงนักสำหรับอิวามุโระ เอย์จิขมวดคิ้วเคลือบแคลงแลตงิดใจอยู่ไม่น้อย ทั้งการเร่งงานหมั้นให้เกิดขึ้นโดยเร่งด่วน ทั้งข่าวลือที่ให้ผู้คนผิดใจกันภายในตระกูล เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลนี้ดูเหมือนว่าจะมาพร้อมกันแปลกๆ อย่างชอบกล ทั้งยังมีท่าทีไม่น่าไว้วางใจ ดูท่าเขาคงต้องเร่งเร้าให้เงาสืบหาเนื้อความของเรื่องให้แน่ชัดเสียแล้ว “ให้คนของเราหาตัวการปล่อยข่าวให้โดยเร็วและจับตาดูผู้นำของคุรุคากิเอาไว้ให้ดี” “ครับนายท่าน” เสียงหนักแน่นตอบรับอย่างภักดีแม้ใบหน้าจะยังเรียบนิ่งไร้อารมณ์แล้วจึงขอตัวออกไปประสานงาน ลาดไหล่กว้างเอนอิงทิ้งลงบนโซฟาพลางถอนหายใจด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนจะยกมือคลึงสันจมูกเบาๆ แล้วปล่อยกายให้พักผ่อนชั่วครู่หนึ่ง เพียงครึ่งวันปัญหามากมายก็ทยอยเร่เข้าหาคนผู้เดียวไม่มีหยุด ไหนจะเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องอำนาจลาดสันในตระกูลและไหนจะเรื่องยุ่งเหยิงของหัวใจ ชวนให้สับสนนักว่าจะเอาเรื่องไหนก่อนดี สูงดั่งหงส์ขนสีขาวพราวเรืองศักดิ์ วิลัยลักษณ์พริ้งผ่องดั่งดวงแข แม้นสีดำริอ่านเปื้อนไม่เลือนแล ไม่ผันแปรจากสุภรเล่ห์ดอกนิล
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม