ตอนที่ 24 หยดน้ำกับเรื่องของพี่ชาย

2863 คำ
แผ่นหลังตรงของชายวัยกลางคนเอนพักบนพนักพิงเก้าอี้นวมพร้อมยกมือนวดบริเวณหัวตาเบาๆ ด้วยความเหนื่อยล้าจากการจดจ้องอยู่แต่กับหน้าจอสว่างมาเป็นเวลานาน แม้เป็นช่วงเวลาพักผ่อน สมองของนักธุรกิจก็ไม่วายจะขบคิดเรื่องการงานที่คาอยู่ในอกต่ออย่างหยุดไม่เป็น ธนาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าความกังวลในใจก็ไม่หายไปไหนเสียที กระทั่งเสียงเคาะประตูดังเข้ามารบกวนโสตประสาทให้เขาหยุดความคิดไว้ครู่หนึ่ง เพื่อเหลือบมองร่างอรชรของภรรยาที่เดินเข้ามาพร้อมกับของว่างในมือ “คุณดูเหนื่อยๆ นะ พักก่อนดีไหมคะ” เอมอรทอดมองสามีที่มีใบหน้าอ่อนเพลียมากกว่าปกติ เธอวางกาแฟและขนมคุกกี้ไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาอย่างใจเย็น จากนั้นจึงย่างเท้าอ้อมเข้ามาด้านหลังเก้าอี้ทำงานหวังจะนวดไหล่ให้สามีผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง “แล้วเรื่องที่ติดต่อกับบริษัทอีนิกซ์ไปถึงไหนแล้วคะ เป็นยังไงบ้าง” ธนาวางมือลงบนที่วางแขนอย่างเชื่องช้าพร้อมระบายลมหายใจอีกครั้ง “ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมาเลย” เมื่ออาทิตย์ก่อนหลังจากกลับมาจากงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของนักการเมืองชื่อดังอย่างวิศนัย ผ่านไปได้เพียงสามวัน ธนาก็เร่งติดต่อฝ่ายบริหารของบริษัทอีนิกซ์ที่เอย์จิเป็นเจ้าของเพื่อยื่นข้อเสนอร่วมงานกัน ธุรกิจของครอบครัวบวรนิวิชญ์มีธนานั่งเก้าอี้ประธานบริหาร ทำงานเกี่ยวกับการตกแต่งภายในและธุรกิจจัดหาที่ดินที่อยู่ในเครือ หากได้บริษัทส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่มาร่วมมือคงตกเป็นกระแสในตลาด ธนาลองประเมินมูลค่าคร่าวๆ จึงพบว่ามันสามารถสร้างกำไรให้กับบวรนิวิชญ์มากกว่าหลักร้อยล้านเข้าไปแล้ว แต่ทว่านี่ก็ผ่านผันเวลามานับเดือนกว่าแล้ว ทางอีนิกซ์ยังคงนิ่งเงียบไร้วี่แววจะติดต่อกลับมา นั่นจึงทำให้ธนานั่งกลุ้มใจเช่นที่เห็นอยู่ตอนนี้ “ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ยังไงทางนู้นก็ต้องติดต่อกลับมาแน่นอน บริษัทของเราก็ไม่ใช่บริษัทเล็กๆ จะพูดว่าเป็นแนวหน้าของประเทศก็ไม่ผิด ถ้ามีบริษัทไหนปฏิเสธไม่อยากร่วมมือด้วยก็คงสติไม่ดีแล้วละค่ะ” เอมอรกล่าวด้วยท่าทางอวดดี เธอคิดว่าธุรกิจของครอบครัวใหญ่โตไม่น้อยหน้าใครและยังคงเป็นที่นิยมในตลาดหลัก บริษัทบวรนิวิชญ์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครก็สามารถอยู่รอดได้ และหากโดนอีนิกซ์ปฏิเสธไม่ขอจับมือก็ไม่เห็นต้องเสียดาย เพราะยังมีบริษัทตั้งมากมายก่ายกองที่รอคำเชิญชวนของบวรนิวิชญ์อยู่ ต่างจากความคิดของธนาผู้เป็นนักธุรกิจอย่างสิ้นเชิง เขาประเมินดูทุกทางจึงสรุปได้ว่า บวรนิวิชญ์สามารถทำกำไรได้มากที่สุดก็ต่อเมื่อร่วมมือกับอีนิกซ์เท่านั้น เขาจึงมีท่าทีกังวลใจมากกว่าปกติต่างจากภรรยาที่กระตุกยิ้มอย่างไม่เข้าใจในโลกของนักธุรกิจ “ใช่ที่ไหนกันละ อีนิกซ์เป็นบริษัทระดับโลกที่หลายคนอยากร่วมมือ ถ้าบวรนิวิญ์มีโอกาสได้จับมือกับบริษัทระดับโลกแบบนั้น หมื่นล้านคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม” “แล้วยังไงคะ ฉันเชื่อว่าถ้าไม่มีบริษัทอีนิกซ์คุณก็สามารถพาบริษัทของเราไปถึงจุดนั้นได้อยู่แล้ว” เธอว่าพลางโน้มตัวลงมาจุมพิตแก้มของสามี “ความเชื่อของคุณใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ” ร่างสูงลุกออกจากเก้าอี้นวม เดินเอามือไพล่หลังหยุดมองดูวิวนอกหน้าต่าง “ยิ่งบริษัทเติบโตไปมากแค่ไหนยิ่งต้องรับมือกับความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น หากรากฐานไม่มั่นคงมากพอ สักวันก็ต้องล้มจนได้” เอมอรถอนหายใจให้ความคิดของสามีที่เธอฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจเสียที “งั้นคุณจะรอให้ทางนั้นติดต่อกลับมาหรือคะ ฉันว่าเสียเวลาเปล่าๆ” “เอาเถอะ ถึงยังไงผมอธิบายให้คุณฟังไปก็เปล่าประโยชน์” ธนาว่าปัดๆ ไป เพราะตนก็เริ่มไม่อยากอธิบายให้คนที่ปิดเพียงหูเปิดเพียงปากอย่างเอมอรฟังแล้วเช่นกัน “คุณธนา! อย่ามาชวนฉันทะเลาะนะ” เธอว่าเสียงดังกว่าปกติ เมื่อเริ่มไม่พอใจที่อยู่ๆ สามีก็ว่าเชิงตำหนิราวกับเธอเป็นคนเขลาที่ไม่ว่าจะอธิบายสิ่งใดไปก็ไม่อาจเข้าใจได้โดยง่าย จึงทำให้ชายตรงหน้าไม่อยากจะอธิบายต่ออีก ดวงตาเรียบนิ่งส่อแววหน่ายใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงไอความร้อนของความโมโหเพราะไม่พอใจในสิ่งที่เขากล่าวออกมา แต่แทนที่ธนาจะรีบอธิบายปรับความเข้าใจในขณะที่เรื่องยังไม่ทันบานปลายไปมากกว่านี้ แต่ทว่าเขากลับนิ่งเฉยและปล่อยผ่านไปเสียอย่างนั้น “ถ้าอยากร่วมมือกับอีนิกซ์มากนักก็ไปให้ลูกชายคุณช่วยเสียสิ เห็นว่าพี่ชายมันเป็นผู้ช่วยคนสนิทของคุณเอย์จิไม่ใช่หรือไง เป็นผู้นำบริษัทใหญ่โตดันตาต่ำคว้าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นผู้ช่วยซะได้!” ฝ่ายเอมอรเห็นสามีนิ่งเงียบไม่อยากเสวนาต่อก็ยิ่งไม่พอใจขึ้นไปอีก เธอน้อยเนื้อต่ำใจตัดพ้อในอกว่าสามีไม่สนใจความรู้สึกของเธอที่เป็นภรรยา จึงกล่าวประชดประชันออกมาด้วยคิดว่าอย่างไรเสียสามีก็ไม่มีทางทำอย่างที่พูดจริงๆ เธอยืนรอสามีหวังว่าอีกไม่นานเขาจะหันมาสนใจ ทว่าผ่านไปหลายนาทีธนาก็ยังคงไม่มีวี่แววจะละสายตาออกจากวิวนอกหน้าต่าง ดวงตาคมปลายหม่นสีลงพร้อมมุมปากที่เบะคว่ำลงหน่อยๆ เธอไม่อยากรอแล้ว ในเมื่อคนเป็นสามีไม่สนใจภรรยา เธอก็จะออกไปเอง ว่าจบในใจร่างเพรียวก็เดินออกไปทันที ลืมแม้กระทั่งถาดที่วางอยู่บนโต๊ะคู่โซฟา เสียงปิดประตูดังลั่นบ้าน ธนาจึงพาร่างกลับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ดังเดิม มือทั้งสองข้างตั้งค้ำประสานไว้บนโต๊ะพลางครุ่นคิดพิจารณาประโยคที่ภรรยาเอ่ยก่อนเดินออกไป เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าหยดเทียนคือผู้ช่วยของท่านประธานบริษัทอีนิกซ์ เป็นการดียิ่งหากเด็กหนุ่มยอมช่วยเหลือ แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเขาและเด็กหนุ่มเบต้าไม่ถูกคอกันอย่างกับพริกกะเกลือ เพียงแค่ประสบพบเจอหน้าก็ระคายเคืองตาราวกับโดนฝุ่นควันไปสามวันเจ็ดวัน เป็นไปไม่ได้เลยหากเด็กคนนั้นจะยอมช่วยเหลือง่ายๆ แต่หากให้เลือดเนื้อเชื้อไขผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายพูดคุยให้เล่า ไม่แน่หยดเทียนอาจจะยอมใจอ่อนยอมช่วยก็เป็นได้ เสียงออดบอกเวลาดังขึ้นเป็นจังหวะเดิมต่อเนื่องกันหลายวินาที เป็นสัญญาณบอกให้เด็กนักเรียนทุกคนรีบทำความสะอาดห้องแล้วเตรียมตัวกลับบ้าน เสียงเจื้อยแจ้วคละเหน็ดเหนื่อยดังระงมกันทั่วทุกมุมห้องด้วยความดีใจ เมื่อในที่สุดเวลาที่รอคอยมาทั้งวันก็มาถึง “ทั้งหมดทำความเคารพ!” “สวัสดีค่ะ/ครับ คุณครู” เสียงทุ้มตะโกนลั่นห้องสั่งเพื่อนร่วมชั้นทำความเคารพอาจารย์ในคาบเรียนสุดท้ายของวัน แล้วต่างคนต่างตั้งหน้าเก็บสมุดและหนังสือเข้ากระเป๋า เด็กบางคนผู้รีบร้อนก็ยัดทั้งหนังสือทั้งสมุดและปากกาเอาไว้ใต้ลิ้นชักโต๊ะจนมันยับยู่ยี่อัดแน่นอย่างกับปลากระป๋อง แล้วพากันหยิบรองเท้าวิ่งลงจากอาคารไป เช่นเดียวกันกับหยดน้ำที่เก็บอุปกรณ์การเรียนใส่ในกระเป๋าอย่างเป็นประณีตไม่เร่งเรียบ จนเพื่อนสาวโอเมก้าที่ยืนรอต้องเดินเข้ามาเก็บช่วยด้วยรู้สึกขัดตา เมื่อเห็นเพื่อนสนิทค่อยๆ จับค่อยๆ วางราวกับกลัวว่าหนังสือและสมุดมันจะเจ็บอย่างไรอย่างนั้น แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะได้กลับบ้านสักที และเมื่อโอเมก้าทั้งสองเดินมาถึงประตูทางเข้าออกของโรงเรียน จึงจำต้องร่ำลากันแล้วแยกย้ายกันเพราะต้องกลับบ้านคนละทาง หยดน้ำโบกไม้โบกมือให้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปรอรถเมล์สายประจำที่ป้ายรถเมล์อันห่างจากโรงเรียนไปไม่ไกลมากนัก สองขาลอยไม่ติดพื้นแกว่งไปมาดุ๊กดิ๊กพลางฮัมเพลงในลำคอรอรถอย่างอารมณ์ดี อีกทั้งสายตาก็คอยสอดส่องสังเกตถนนหนทางไปด้วยอย่างเพลิดเพลิน กระทั่งสายตาอันเฉียบแหลมเหลือบไปเห็นรถขนมหวานที่พ่วงข้างมาขายแล่นผ่านหน้าผ่านตาไปอย่างล่อลวงใจ จนทำให้เด็กน้อยที่นั่งอยู่ท้องร้องตาม สองขาสั้นรีบก้าวลงแตะพื้นปูนแล้วรีบควักเงินค่าขนมที่เหลืออยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างเร่งรีบ กลัวว่าหากชักช้ารถขนมหวานจะลับตาไปก่อน แต่ทว่าเมื่อแบดูเงินที่อยู่ในมือกลับต้องหน้ายู่ผิดหวัง เพราะเงินที่เหลืออยู่มีเพียงไม่กี่บาท ซึ่งไม่พอจ่ายขนมหวานต่อหนึ่งชิ้นอย่างแน่นอน ทำให้ร่างน้อยเบะปากคว่ำแก้มย้วยลงตามด้วยความเสียดาย แล้วจำใจกระโดดกลับไปนั่งที่เดิม ร่างเตี้ยนั่งหน้าบึ้งตึงรอกลับบ้านอย่างอารมณ์หม่น นั่งเตะฝุ่นในเตะอากาศไปไม่นานนักก็มีรถเคลื่อนเข้ามาจอดตรงหน้า แต่ทว่ารถคันนั้นหาใช่รถเมล์ที่รอคอยไม่ มันกลับกลายเป็นรถหรูสีขาวเงาปลาบมาจอดแทนที่ ทำให้โอเมก้าน้อยชักหน้างงพร้อมกับโยกศีรษะขึ้นลงเพื่อมองดูด้านในรถว่า ใครกันที่เคลื่อนรถมาจอดขวางทัศนียภาพทั้งๆ ที่กระจกรถเป็นสีดำสนิท ตึ๊บ! เสียงปิดประตูรถดังขึ้นหลังจากที่เจ้าของรถคันดังกล่าวก้าวขาลงมา ปรากฏว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกลเพราะเขาคือบิดาของตนนั่นเอง ใบหน้างอแงด้วยความเสียดายขนมหวานปรับเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบพร้อมกับดวงตาหม่นแสง เมื่อเห็นว่าบิดากำลังเดินมาทางนี้ “ลูกเพิ่งเลิกเรียนหรอ” ธนาว่าพลางหย่อนกายนั่งใกล้ๆ ลูกชาย หยดน้ำจึงแอบกระเถิบไปอีกทางเล็กน้อย “จ้ะ.. พ่อมาทำอะไรที่นี่หรอจ๊ะ” หยดน้ำเว้นช่วงเงียบอยู่นานก่อนจะกล่าวถามกลับเป็นประโยคตอบโต้สั้นๆ แล้วเบนสายตาไปทางอื่นโดนไม่สนใจคู่สนทนา แต่กลับไปสนใจรถราและสิ่งที่อยู่บนถนนแทน ธนายิ้มเก้อชุ่มใจเมื่อได้ยินลูกชายถามไถ่ แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงคำถามที่ใช้ถามตามมารยาททั่วไปก็ตาม “พ่อมารับน้ำไง น้ำอยากทานอะไรไหมเดี๋ยวพ่อพาไป แล้วเราค่อยกลับบ้านกัน” “มะ ไม่เป็นไรจ้ะ อีกเดี๋ยวรถเมล์ก็มาแล้ว” มือไม้รีบยกโบกสะบัดปฏิเสธ เพราะตระหนักถึงคำขอร้องของพี่ชายที่เป็นกฎฝั่งลงแก่นใจว่าห้ามให้บิดารู้ถึงที่อยู่ใหม่ของตน และไม่ควรตามผู้เป็นพ่อไปหากไม่จำเป็น แม้จะมีกฎเกณฑ์มากมายหลายข้อ แต่หยดน้ำรู้ดีว่าพี่เทียนไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อจะกีดกันเขาออกจากบิดา เพียงแค่เป็นห่วงกลัวเป็นภัยอันเกิดจากภรรยาหลวงและลูกชายของเธอเท่านั้น “แต่นานๆ ครั้งพ่อจะมีเวลาว่างมาหาน้ำนะ น้ำจะไม่ตามใจพ่อหน่อยหรอ” เสียงทุ้มนุ่มส่อแววเศร้าลึกๆ ทำให้เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูก “น้ำไม่อยากรบกวนพ่อน่ะจ้ะ” ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลหันมากล่าวกับบิดาอย่างพะวงใจ แต่เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้พ่อคลายความเศร้าจึงลนลานตอบไปเช่นนั้น แม้บางครั้งบางชั่ววูบจะแอบคิดอยากลองใช้ชีวิตเฉกเช่นพ่อลูกคนอื่นบ้าง แต่ก็รู้ดีว่าไม่สามารถอยู่ในสถานะเช่นนั้นได้ จึงได้แต่แอบโหวงๆ ในใจอยู่คนเดียว “รบกวนที่ไหน น้ำเป็นลูกชายพ่อนะ เรื่องแค่นี้สบายมาก” ว่าจบฝ่ามือใหญ่ก็ยื่นออกไปหวังจะลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างที่เคยทำ แต่ผู้ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายมาหมาดๆ ทำให้หยดน้ำระแวงอัลฟ่ามากกว่าปกติ จึงเผลอปัดมือออกแล้วถอยหลังหนีโดยอัตโนมัติ คนเป็นพ่อชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆ ลูกชายก็มีพฤติกรรมต่อต้านอย่างไม่เคยเป็น ทั้งที่ปกติแม้จะลูบผมหรือจับสัมผัสส่วนอื่นของร่างกายเช่นพ่อลูกคนอื่นเขาทำกัน เด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านการกระทำแม้แต่น้อยผิดกับวันนี้ แต่แทนที่จะพิจารณาว่าตัวเองทำสิ่งใดผิดพลาดไปหรือหยดน้ำกังวลใจเรื่องใดหรือเปล่า กลับนึกตำหนิแต่พี่ชายและภรรยาน้อยว่า ไม่รู้จักอบรมสั่งสอนหยดน้ำให้ดี ลูกชายเขาจึงมีพฤติกรรมความรุนแรงเช่นนี้ “ขะ ขอโทษจ้ะ น้ำไม่ได้ตั้งใจ..” เสียงใสรีบขอโทษทันทีเมื่อรู้ว่าตนเผลอทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับคนที่อายุมากกว่า “ไม่เป็นไร พ่อแค่อยากจะคุยกับน้ำเรื่องพี่ชายของลูก แต่ถ้าน้ำไม่อยากมากับพ่อ.. พ่อก็จะไม่บังคับน้ำ” “พี่เทียนหรือจ๊ะ!” ทันทีที่ได้ยินชื่อของพี่ชายออกมาจากปาก หยดน้ำก็ถลึงตาหูผึ่งด้วยความอยากรู้ จนไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม ธนายิ้มเล็กน้อยเมื่อท่าทีของเด็กน้อยเริ่มสนใจมากขึ้นแล้วจึงพยักหน้าตอบ “เราคุยระหว่างทางกลับกันดีไหม” “คุยกันตรงนี้ไม่ได้หรือจ๊ะ” “ตรงนี้จะดีหรอ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าพ่อว่าจะดูไม่ดีนะ” และนั่นก็จริงดังพ่อว่า หากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ออกไปทางด้านลบมากกว่าด้านดีแล้วมีคนมาได้ยินเข้า พี่ชายของตนจักดูเป็นคนไม่ดีในสายตาคนผู้นั้นไปในทันที ทั้งที่ความจริงแล้วคนอื่นที่หยดน้ำกลัวนักหนาไม่แม้แต่จะรู้ด้วยซ้ำว่า ชายผู้ชื่อหยดเทียนเป็นใครและหน้าตาเป็นยังไง แต่กระนั้นก็ตีโพยตีพายในใจไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่อาจทราบได้ “งั้นก็ได้จ้ะ น้ำจะกลับกับพ่อ” ท้ายที่สุดเพราะทนความอยากรู้เรื่องพี่ชายไม่ไหว โอเมก้าน้อยจึงตอบตกลงแล้วยิ้มแก้มฉีกไร้เดียงสา เขายอมละเลยคำสั่งที่ฝั่งในสมองเพียงเพราะอยากรู้เรื่องราวของหยดเทียนมากขึ้น แม้ปลายทางที่ต้องเจอคือการกลับบ้านไปเหยียบสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำอันเลวร้ายอีกครั้งก็ตาม แต่ถึงกระนั้นหยดน้ำก็ใจดีสู้ “งั้นเราไปกันเถอะ” ธนายิ้มปริ่มด้วยความสุขเพราะตอนนี้หนทางของเขาเริ่มมีแสงไฟขึ้นมาแล้ว “นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่จ๊ะ” หยดน้ำที่นั่งสอดส่องถนนและวิวรอบนอกหน้าต่างรถอยู่ตลอดเวลาเริ่มเอะใจ ในตอนแรกคิดเพียงว่าทางที่มาอาจจะเป็นทางลัดเพื่อให้ถึงบ้านได้ไวขึ้น แต่เมื่อสังเกตนานไปเข้ากลับรู้สึกตงิดขิดขวางใจ เมื่อเส้นทางเริ่มไกลออกจากบ้านไปเรื่อยๆ จึงรีบท้วงบิดาทันที “หืม ก็พ่อจะพาน้ำกลับบ้านไง” “แต่นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่จ๊ะ” “บ้านพ่อน่ะ” “นะ ไหนพ่อบอกว่าจะคุยกันเรื่องพี่เทียนในระหว่างที่ไปส่งน้ำไงจ๊ะ” โอเมก้าน้อยเริ่มกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข กลัวว่าพ่อแท้ๆ จะกระทำมิดีมิร้ายตนอย่างที่เคยเป็นข่าว หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น หยดน้ำก็กลัวนักว่าบิดาจะพาตนไปให้ภรรยาหลวงและลูกชายรังแก แม้ตลอดชีวิตเด็กน้อยวัย 18 ปีจะยังไม่เคยเห็นที่อยู่หรือหน้าตาภรรยาหลวงของพ่อก็ตาม “ไม่ต้องกลัว พ่อแค่จะพาน้ำไปทานของอร่อยๆ ที่พ่อเตรียมไว้ให้ แล้วคุยเรื่องของพี่ชายลูกไปด้วยไงลูกจะได้ไม่เบื่อ อีกอย่างตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน.. น้ำไม่ต้องเป็นห่วงนะ” หางตาของธนาเห็นท่าทีของลูกชายกังวลจึงรีบอธิบายจุดประสงค์ที่แท้จริงให้ฟัง แต่ดูเหมือนว่าลูกชายของเขาจะไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่นัก ธนาจึงปล่อยให้นั่งเงียบๆ ไปตลอดทางและเมื่อถึงบ้าน ค่อยหาวิธีเกลี้ยกล่อมให้หยดน้ำยอมช่วยเหลือ และสุดท้ายเมื่อเสร็จกิจทุกอย่าง เขาก็จะพาไปส่งบ้านในระหว่างที่เอมอรและลูกชายอีกคนไม่อยู่ จะได้ไม่มีอะไรวุ่นวาย ธนาวางแผนเอาไว้เช่นนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม