“ฉันบอกว่าอย่าขุดลงลึกขนาดนั้น เอาขึ้นมาก่อน!” เสียงแจ้วจ้าวดังขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ พร่ำบ่นสอนคนไม่รู้เรื่องให้ขุดหลุมปลูกต้นอ่อนของดอกไม้ แต่ไม่รู้ผู้ช่วยน้อยของเขาไปทำอีท่าไหนถึงขุดหลุมง่ายๆ ไม่ได้สักที
คนสวนถอนหายใจแล้วเอี้ยวตัวใช้พลั่วพรวนดินขุดหลุมขนาดความลึกพอดีบนดินร่วนที่ตากไว้เมื่อวาน แล้วนำเบี้ยดอกกุหลาบที่เพาะไว้ใส่ลงไปให้ผู้ช่วยดูเป็นตัวอย่างอีกครั้ง เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงงว่าตนทำไม่ถูกตรงไหน ไม่ว่าเขาจะขุดหลุมตื้นหรือพอดีเท่าใด แต่ลูกพี่กลับยังบ่นว่าลึกเกินไปอยู่เสมอ จนเขาเริ่มจะถอดใจอยู่แล้ว
“ผมก็ขุดอย่างที่พี่สอนแล้วนะ ยังถูกอีกหรอ”
“ก็เออสิ บอกแล้วไงให้เอานิ้ววัดดู เอาสองข้อนิ้ว ทำใหม่!” หยดเทียนหงุดหงิดเล็กน้อยที่สอนผู้ช่วยไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยจำ กระนั้นเขาก็ยังตั้งใจสอนเสมอและพยายามไม่ใช้อารมณ์ร่วมด้วย แม้บางครั้งอยากจะฟาดฝ่ามือตีกบาลมันสักที
เรย์นั่งยองๆ เอาพลั่วพรวนดินสับดินที่จับตัวกันเป็นก้อนจนละเอียดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ทั้งถอดใจทั้งงอนคนพี่ที่ตนทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็ลงมือขุดหลุมต่ออีกตั้ง เขานำเอานิ้วชี้จิ้มลงไปกระทั่งปลายนิ้วบางส่วนทะลักเข้าไปในดินเพื่อวัดความลึกของหลุม แล้วเรียกหัวหน้ามาตรวจงาน
“เป็นไงที่นี่” สิ้นเสียงทุ้มแตกหนุ่ม หยดเทียนจึงยื่นหน้ามาดูฝีมือของผู้ช่วยและถอนหายใจเช่นเดิม เพราะหลุมดังกล่าวลึกเกินสองข้อนิ้วเข้าไปแล้ว
“นี่ฉันหัวร้อนหรืออากาศมันร้อนวะเนี่ย” ว่าแล้วเขาก็นั่งแมะลงบนพื้นดินมันเสียเลย แล้วหันหน้าประจันพร่ำสอนเรย์อย่างจริงจังมากกว่าครั้งก่อน เพราะมันหลายรอบเกินไปแล้วที่จะมาสอนคนคนหนึ่งขุดหลุมปลูกดอกไม้
“มานี่มา นั่งลงเลย” เด็กหนุ่มทำหน้าหงอยนั่งลงบนพื้นตามที่พี่ว่า
“ทำตามฉันนะ อันดับแรกขุดดินก่อน”
เรย์ทำตามอย่างง่ายดายเมื่อเสร็จแล้วก็หันหน้าขึ้นหาพี่ เชิงบอกว่าให้ไปขั้นตอนต่อไปได้เลย
“แล้วเอานิ้วชี้ขึ้นมา”
“อ่า แล้วไงต่อ”
“จึ๊! แกก็ยกนิ้วขึ้นสิ!” หยดเทียนตีเข้าที่หลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ เพราะคนน้องไม่ยอมยกนิ้วขึ้นมาดั่งที่ตนพาทำ ทันทีที่โดนดุอัลฟ่าหนุ่มก็รีบทำหน้ามุ่ยแก้มป่องยกนิ้วชี้ทำตามอย่างแง่งอน
“เอาขึ้นมาแล้วนี่ไง ไม่เห็นต้องตีกันเลย..” ท้ายประโยคเรย์บ่นพึมพำเสียงเบากลัวว่าคนพี่จะได้ยินเข้าแล้วโดนตีมากกว่านี้
“แล้วก็จิ้มลงในหลุมแบบนี้ จากนั้นก็ดูว่าความลึกของหลุมมันเกินสองข้อนิ้วไหม”
“ทำไมของผมลึกจังอ่ะ”
“แกก็อย่าเอานิ้วจิ้มทะลุลงพื้นสิ เอาแค่ปลายนิ้วสัมผัสพื้นแล้วก็ดูว่ามันลึกเท่าสองข้อนิ้วไหม” เรย์ทำตามที่สอนอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งเมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดอีก จึงยกนิ้วออกจากหลุมแล้วกระเถิบก้นถอยออกเล็กน้อยให้ผู้สอนลองวัดความลึกของหลุมอีกที ซึ่งเมื่อหยดเทียนวัดดูแล้ว ปรากฏว่ามันมีความลึกพอดีกับที่เขาตั้งไว้จึงเป็นอันสำเร็จ
“เออก็แค่นี้ ต่อไปเอาเบี้ยในถาดหลุมลงแล้วกลบดิน กดๆ ดินตรงโคนต้นให้แน่นพอดี แต่ห้ามกดแน่นจนเกินไป เดี๋ยวน้ำซึมลงไปลำบาก”
“เอาต้นอ่อนลงไปแล้วกลบดิน...” เรย์ทำตามคำแนะนำอย่างจริงจัง ทั้งสีหน้าท่าทางการเอาต้นอ่อนออกจากในถาดหลุมเพาะเมล็ดกระทั่งกลบหน้าดิน เขาล้วนแต่ขมวดคิ้วจริงจังจนบางครั้งหยดเทียนที่หันมาดูก็ขำในลำคออยู่คนเดียว
การนำต้นอ่อนของดอกกุหลาบลงแปลงดอกไม้เสร็จไปอย่างเรียบร้อย แม้จะใช้เวลานานไปกว่าสองชั่วโมง เพราะทุ้มใช้เวลาขุดหลุมเอาเบี้ยลงแปลงใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ส่วนเวลาที่เหลือใช้ไปกับการสอนเด็กหัวทื่อที่ชื่อว่าเรย์
คนสวนและผู้ช่วยนั่งพักเหนื่อยผลัดกันดื่มน้ำ บ้างก็ใช้หมวดพักวีสร้างลมเย็นกันในสถานที่ประจำนั่นคือใต้ต้นล่ำซำเช่นทุกครั้ง เบต้ายกแขนเสื้อซับเหงื่อที่ไหลเลอะทั่วใบหน้าราวกับโผล่น้ำมา ก่อนจะรับขวดน้ำจากรุ่นน้องที่ยื่นมาให้
“พี่ว่าความลึกหลุมของเรามันจะเท่ากันไหมอ่ะ”
หยดเทียนกระดกดื่มอย่างกระหายแต่เมื่อได้ยินคำถามของน้องก็รีบกลืนน้ำแล้วปิดฝาขวดทันที “ก็ต้องเท่าสิถามอะไรแปลกๆ”
“แต่ข้อนิ้วของผมไม่เห็นเท่าข้อนิ้วของพี่เลยอ่ะ” ว่าแล้วเขาก็กางมือออกมองดูนิ้วมือตนสลับกับมองที่นิ้วมือพี่
“ก็ของแกมันยาวกว่าของฉัน ฉันเลยให้แกวัดความลึกสองข้อนิ้วไง ส่วนฉันก็วัดลงประมาณสองข้อนิดๆ”
“อ๋อ.. ฟังดูแปลกๆ เนาะของผมยาวกว่าด้วย”
“ก็อย่าฟังให้มันแปลกสิ” เบต้าว่าอย่างไม่ได้สนใจ
แม้จะได้รับคำตอบแล้วแต่เรย์ก็ไม่วายจะหายเคลือบแคลง สายตาคมมองสลับกันระหว่างนิ้วมือตนกับนิ้วพี่ไปมาจนคอแทบเคล็ด หยดเทียนที่สังเกตเห็นก็รู้สึกขัดหูขัดตา จึงคว้ามือของรุ่นน้องขึ้นมาแล้วประกบฝ่ามือของตัวเองลงไปเพื่อเทียบดูให้เห็นชัดๆ ไปเลย
“เอา! รีบดู”
เด็กหนุ่มเอียงศีรษะมองดูซ้ายขวาบนล่างอย่างสนใจ ทำเอาหยดเทียนนึกแปลกใจ คนอะไรชอบดูนิ้ว
“นิ้วผมยาวกว่าจริงด้วย นี่พี่แก่กว่าผมจริงป่ะเนี่ย นิ้วมือยังกับเด็กม.ต้น”
“เดี๋ยวก็ป๊าบเข้าให้! เด็กม.ต้นนี่แหละจะตบขมับแก” ว่าพลางง้างฝ่ามือทำท่าจะตีอีกฝ่ายจนเรย์หลับตาปี๋เกร็งหลังรอ
“ห้ามตีนะเดี๋ยวความหล่อฉันติดมือพี่ไปด้วย”
“ความสกปรกน่ะสิไม่ว่า”
เสียงเซ็งแซ่ของสองหนุ่มแว่วดังเข้าหูผู้ที่นั่งหลังคดหลังแข็งทำงานอยู่ในห้อง ทำเอาเอย์จิขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ แต่ก็ไม่มีเวลาว่างที่จะเดินออกไปเตือน อีกทั้งเสียงดังกล่าวก็ไม่ได้ดังมากมาย ชายหนุ่มนั่งทนฟังต่อ คิดเพียงว่าอีกไม่นานเสียงดังกล่าวก็คงจะหยุดลงเอง
แต่ทว่า ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เสียงพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะยังคงดังต่อเนื่องจนเขาเริ่มจะทนไม่ไหว เอย์จิวางปากกาลงแล้วลุกพรวดพราดเดินออกมาหาต้นเสียงหมายจะตำหนิ เพราะแม้จะเป็นเสียงที่ไม่ดังมาก แต่หากดังเป็นระยะเวลานานต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ก็ทำให้เขาเสียสมาธิได้เช่นกัน
ร่างสูงโปร่งยืนเกาะที่กั้นระเบียงพลางขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อเห็นคนสวนและเด็กฝึกงานกำลังนั่งพูดคุย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันอย่างมีความสุข อีกทั้งยังเห็นสองฝ่ามือต่างขนาดประกบกันไม่ปล่อยเสียที นั่นจึงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม
“เบาๆ ลงหน่อย”
“อ๊ะ! นายท่าน” เรย์รีบละฝ่ามือออกจากกันแล้วก้มหน้านั่งนิ่งเงียบตามคำสั่ง
“ขอโทษครับนายท่าน พอดีผมหัวเราะเสียงดังไปหน่อย” หยดเทียนยิ้มแหยให้เจ้านายเมื่อโดนติติง
“ถ้าว่างจนมีเวลาเล่นนักก็ขึ้นมาหาฉันได้แล้ว”
“..ได้ครับ” สิ้นเสียงตอบรับคำสั่ง เอย์จิก็หมุนตัวเดินหน้ายุ่งเข้าไปในห้องเช่นเดิม ก่อนคนสวนตัวจะล้อเลียนสีหน้าบึ้งตึงและท่าทางของเจ้านายอย่างน่ามันเขี้ยวชวนให้จับไม้ตีก้นนัก
“ถ้าว่างจนมีเวลาเล่นนักก็ขึ้นมาหาฉันได้แล้ว เหอะ! อะไรจะหน้าบึ้งปานนั้นพ่อคู๊ณณ”
“พี่ว่าให้นายท่านหรอ”
“ก็เออสิวะ แกไม่เห็นคิ้วที่มันม้วนๆ เข้าหากันหรือไง แทบจะเชื่อมกันเป็นสะพานอยู่แล้วน่ะ”
เรย์หันกลับขึ้นไปมองบนระเบียงห้องทำงานของเจ้านายอีกครั้ง แล้วจินตนาการภาพของนายท่านตามที่คนพี่บอกเมื่อสักครู่ คิดเล่นๆ ว่ามีสะพานยาววางแทนคิ้วของนายท่าน แล้วก็หลุดขำจนต้องรีบเอามืออุดปากไว้
หลังจากที่หยดเทียนล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ ก็รีบบึ่งขึ้นไปหานายท่านที่ห้องทำงานตามคำสั่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เขาเคาะประตูอยู่สามสี่ครั้งและเอ่ยขออนุญาตเช่นที่เคยทำเป็นประจำ แล้วจึงเปิดประตูเข้าไป
หยดเทียนปิดประตูเบาๆ เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านกำลังคุยเรื่องสำคัญกับนายท่านอยู่ เขาเขย่งเท้าย่องเบาเข้ามาอย่างระมัดระวังพาตัวไปหลบอยู่มุมห้องอย่างเงียบๆ ไม่ให้เกิดเสียงรบกวน
ใบหูบางผึ่งกางเตรียมบินพร้อมชะเง้อหูไปทางพ่อบ้าน อยากร่วมรับฟังสิ่งที่เจ้านายทั้งสองคนคุยกันด้วย แม้จะรู้ว่าไม่เหมาะสมแต่หยดเทียนก็ไม่วายจะขอเผือก
เขาพยายามเงี่ยหูฟัง ทว่าได้ยินไม่ค่อยชัดนักเนื่องด้วยระยะห่างตนและโต๊ะทำงานของเจ้านายค่อนข้างห่างกัน แต่กระนั้นเบต้าก็คิดเดาเองว่า เรื่องที่พ่อบ้านนำมารายงานคงจะยุ่งยากไม่น้อยเลย เพราะสีหน้าบางเสี้ยววินาทีของนายท่านบ่งบอกถึงความเหนื่อยหน่ายที่ไม่อยากรับมือ
“หากมาถึงแล้วให้มาพบฉันที่ห้องนี้ได้เลย”
“ครับนายท่าน” ว่าจบพ่อบ้านก็หันหลังเดินออกไป และไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้ร่างน้อยที่ยืนหลบมุมอยู่
“เอ่อ...” ร่างสันทัดค่อยๆ ขยับฝ่าเท้าออกมาพลางส่งเสียงดังให้คนที่ก้มหน้าทำงานต่อได้ยิน ว่าตนขึ้นมาตามคำสั่งแล้ว
“มาแล้วหรอ” ชายหนุ่มชำเลืองสายตามองเล็กน้อยแล้วหันไปสนใจงานต่อ
“ครับ ..มีอะไรจะใช้ผมหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเอื้อมมือปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้า แล้ววางมันไว้บนกองแฟ้มสูงพะเนินด้านข้าง แล้วลุกเปลี่ยนที่มานั่งบนโซฟา
“นวดเป็นไหม”
“ก็พอได้ครับ” เขาว่าพลางพยักหน้าไปด้วย
ลำแขนยาวเอื้อมไปหยิบผลไม้บนจานแล้วเอาเข้าปาก “เอาเป็นวันหน้าก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้เทียนช่วยเรียงหนังสือให้ฉันใหม่หน่อยแล้วกัน”
เอย์จิว่าพลางยิ้มอ่อนให้ ความจริงแล้วเขาเพียงอยากเจอหน้าเบต้าเท่านั้น เรื่องนวดหรือเรื่องจัดหนังสือล้วนแล้วแต่เป็นข้ออ้างให้ร่างตรงหน้าอยู่กับเขาต่อให้นานที่สุด
“ได้ครับ” หยดเทียนตอบรับแล้วเหลียวมองชั้นหนังสือที่ตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบไม่กระจัดกระจายเลยสักนิด แต่กระนั้นเขาก็เดินไปหยิบๆ จัดๆ ให้เข้าที่เข้าทางมากกว่าเดิม และปัดไรฝุ่นออกตามคำสั่ง ส่วนชายมาดดีก็เอนหลังพิงโซฟาพักสายตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
ผ่านไปราวสิบกว่านาที เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เอย์จิสะดุ้งตื่นรีบเบิกตาเมื่อได้ยินเสียงดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทในขณะที่กำลังงีบหลับอยู่
ในเวลาไม่นาน ประตูไม้บานงามก็ถูกเปิดออกพร้อมด้วยพ่อบ้านที่เดินนำเข้ามา ก่อนจะปลีกตัวออกไปอยู่ด้านข้าง และค้อมตัวลงให้ผู้สูงศักดิ์ที่ตามหลังมา เดินเข้ามาด้านใน
รองเท้าสีดำเงาเหลื่อมเดินเข้าผ่านคานประตูบานสูง ปรากฏกายเป็นร่างชายหนุ่มหุ่นผอมเพรียวใส่เสื้อแขนยาวไม่รัดรูป แต่กระนั้นก็เผยทรวดทรงองค์เอวดั่งนาฬิกาทรายให้เห็นแก่สายตา ผิวขาวสว่างที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้อผ้าต่างต้องแสงประกายวิบวับสู้หลอดไฟนวล ไหนจะสัดส่วนของใบหน้าที่โค้งเว้ารับกับคางและจมูกอย่างลงตัว หากกล่าวว่างดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดประกอบนวนิยายก็ไม่ผิด
หยดเทียนยืนนิ่งค้างตะลึงในความงามของโอเมก้าชายที่เพิ่งเดินเข้ามา แต่ปากค้างอ้าก็ต้องรีบหุบเข้ากันอย่างไว เมื่อโดนเด็กหนุ่มตัวเล็กที่เดินตามติดต้อยๆ ทำตาเขียวใส่เข้า จนต้องโคลงศีรษะสงสัยกว่าไปกินอะไรสำแดงมาหรือ ถึงได้อารมณ์เสียใส่คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก
อัลฟ่าหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและยิ้มต้อนรับผู้มาใหม่อย่างยินดี ก่อนที่ชายโอเมก้าคนดังกล่าวจะโผล่เข้ากอดร่างใหญ่แน่น และเอย์จิเองก็กอดตอบด้วยเช่นกัน
เมื่อกอดกันจนหนำใจแล้วอาโอะจึงเอ่ยถาม “เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม”
“ผมสบายดีครับ ทำไมมาไม่เห็นบอกกันก่อนเลย”
“ฉันมาทำธุระเร่งด่วนแทนคุณพ่อน่ะ อะไรหลายๆ อย่างเร่งรีบไปหมดจนฉันลืมบอกเธอก่อน ฉันไม่ได้มารบกวนเธอใช่ไหม”
เอย์จิยิ้มพร้อมส่ายหน้าก่อนที่จะเหลือบเห็นร่างที่เตี้ยกว่าใครยืนยิ้มกริ่มอยู่ด้านหลังของอาโอะ เขาจึงรีบเอ่ยทักทาย
“นึกว่าทิ้งให้อาโอะมาคนเดียวเสียอีก”
“จะเป็นไปได้ยังไง ผมไม่มีทางปล่อยให้พี่ไปไหนมาไหนคนเดียวหรอก” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็โผล่เข้ามากอดรัดแขนของผู้ที่ตนนับถือเป็นพี่ชายอีกคนทันที
“ตัวแค่นี้จะไปสู้อะไรเขาได้หืม?” ฝ่ามือใหญ่ถูกวางไว้บนกลุ่มผมนุ่มเด้งแล้วขยับยีเบาๆ อย่างมันเขี้ยว
“พี่ง่ะ! ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ไขมันบนผิวหน้ายุ้ยไหลมารวมกันที่แก้มจนพองโตเวลาที่จุนเบ้ปากทำหน้ามุดมุ่ยใส่
หยดเทียนผู้ยืนถือหนังสือเล่มโตอยู่มุมมืดยืนนิ่งดูภาพตรงหน้าอย่างคิดอะไรไม่ออก ทำตัวเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ตรงนี้ต่อหรือจะออกไปดี เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ควรอยู่ในห้องนี้เหลือเกิน
เบต้าหนุ่มรีบเก็บหนังสือที่อยู่ในมือเข้าที่เช่นเดิม จัดระเบียบอีกนิดหน่อย แล้วเดินย่องเบาออกจากห้องทำงานของเจ้านายไป เอย์จิยืนเหลียวตามองแผ่นหลังที่แว็บออกไปจากประตูก็รู้สึกเสียดายในใจ ทว่าก็ไม่ได้เรียกรั้งคนสวนไว้
เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายแก่ หยดเทียนคนว่างงานนั่งพิงต้นไม้พลางใช้มือแปรงขนให้เจ้าเสือตัวเมียที่นอนเอาคางเกยตักของเขาอย่างสบายใจ ส่วนเจ้าเสือตัวผู้ก็นอนผายพุงอยู่ด้านหลังต้นไม้อย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
บรรยากาศเงียบสงบมีลมพัดคลอมาเบาๆ ทำให้สมองปลอดโปร่ง ส่งผลให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นเริ่มทำงาน คาใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าไม่ตก นึกสงสัยว่าชายหน้าสวยและเด็กหนุ่มร่างเตี้ยคือใคร เหตุใดจึงแสดงท่าทางราวกับรู้จักมักจี่กับนายท่านมานานเช่นนั้น
หยดเทียนคิดแล้วถอนหายใจ เมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มทำตัวแปลกๆ ทั้งที่ปกติเขาแทบจะไม่ใส่ใจเรื่องอะไรยกเว้นน้องชายของตัวเองเลยแท้ๆ
น่าแปลกใจนัก..
“กราว...” เสียงร้องต่ำของมีมี่ดังขึ้นเมื่อฝ่ามือที่สางขนเผลอหยุดนิ่งไป เพราะคิดอะไรเพลิดเพลินจนลืมเกาขนให้เจ้าแมวยักษ์
“จ้าๆ พี่ หยุดแค่แป๊บเดียวก็ไม่ได้”
มีมี่ขยับพลิกตัวจากนอนตะแคงฝั่งขวาพลิกมายังฝั่งซ้าย เมื่อมือสากเริ่มทำงานอีกครั้ง ท่าทางสบายตัวพร้อมเปลือกตายืดปรือลืมไม่ขึ้น ทำให้หยดเทียนมองสัตว์นักล่าตัวนี้เป็นแมวตัวใหญ่มากกว่ามองเป็นเสือเสียอีก