รถกระบะคันใหญ่บรรจุต้นอ่อนและเมล็ดพืชพันธุ์เต็มคันแล่นเข้ามาจอดยังหน้าบ้านสกุลวัฒนา หยดเทียนและเรย์ต่างรีบยกของที่อยู่หลังกระบะรถวางลงพื้นทั้งหมด ก่อนจะนำไปไว้ที่สวนหลังบ้านด้วยความระมัดระวังด้วยกลัวว่าต้นอ่อนจะเสียหาย แต่เพราะสิ่งที่สั่งมานั้นมีจำนวนค่อนข้างมาก พ่อบ้านจึงสั่งให้เหล่าบอดี้การ์ดส่วนหนึ่งมาช่วยขนไปด้วย
หยดเทียนค้อมตัวลงพร้อมกล่าวขอบคุณพวกพี่ๆ ที่มาช่วยแม้พวกเขาจะทำตามคำสั่งของพ่อบ้านก็ตาม
เบต้าหนุ่มระบายลมหายใจออกมายาวพลางกวาดสายตามองต้นอ่อนที่เรียงรายกันอยู่เต็มพื้น จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อน หยดเทียนคิดหนักพลางหันไปหวังจะปรึกษาผู้ช่วยแต่สภาพของผู้ช่วยเองก็ไม่ต่างจากเขามากเท่าไหร่นัก เรย์เกาหัวยิกๆ ด้วยความทำอะไรไม่ถูกก่อนจะเอ่ยถาม
“เอายังไงดีพี่” เด็กหนุ่มทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก ก็ไม่แปลกที่มันจะไม่รู้เพราะเรย์เองก็ไม่ได้มีทักษะด้านการทำสวนเสียหน่อย
“เอ่อ...เอาเป็นว่าพลิกหน้าดินก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่” หยดเทียนอ้ำอึ้งอยู่ไม่นานก็นึกออก เพราะว่าถ้าไม่เตรียมหน้าดินให้ดีก็คงเอาต้นไม้ลงปลูกไม่ได้ ว่าแล้วเบต้าหนุ่มก็เดินไปหยิบจอบคู่ใจแล้วลงมือพลิกหน้าดินทันที
เรย์ยืนทำหน้างงเหมือนจะไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายเขาก็เดินไปหยิบอุปกรณ์แล้วตามหลังคนพี่ไปโดยไม่รีรอ ทั้งสองพลิกหน้าดินโดยใช้จอบพลิกเอาดินที่ตากทิ้งไว้ด้านบนลงไปอยู่ด้านล่าง เหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะต้องการฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในดินก่อน ซึ่งเป็นวิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้ง่ายๆ
จากนั้นทั้งสองคนจึงเริ่มนำต้นอ่อนลงสู่พื้นดินที่ขุดหลุมไว้ ส่วนพืชพันธุ์ที่ยังเป็นเมล็ดอยู่ หยดเทียนจะนำไปเพาะพันธุ์เอาไว้ก่อน แล้วค่อยนำต้นอ่อนมาปลูกทีหลัง เขาเก็บเมล็ดกุหลาบเอาไว้ด้วยกะว่าจะนำกลับไปเพาะปลูกที่ห้องของตัวเอง เพราะเขาต้องใช้ตู้เย็นในการรักษาอุณหภูมิ แม้จะได้ยินมาหนาหูว่าการเพาะเมล็ดกุหลาบนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็น แต่เขาก็อยากลองทำมันดูสักตั้ง
เมื่อเสร็จจากงานตรงหน้าแล้วเบต้าและอัลฟ่าน้อยก็นั่งลงพักหายใจหายคออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่พ่อบ้านจะเดินเข้ามาด้วยใบหน้าอันอิ่มสุขอยู่ทุกเมื่อ เพราะว่าตอนนี้เป็นเวลาให้อาหารเจ้ามูมู่กับมีมี่แล้ว เรย์ทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนี เมื่อได้ยินบทสนทนาของพ่อบ้านและลูกพี่ที่พูดคุยกันเรื่องสัตว์เลี้ยงของนายท่านที่ตนกลัวนักกลัวหนา ทว่าเจ้ากรรมดันโดนคนพี่ดึงคอเสื้อไว้ก่อน เด็กหนุ่มทำหน้าหล่าไม่สู้ดีเพราะเขารู้ดีว่าสัตว์เลี้ยงของนายท่านคือตัวอะไร
ท้ายที่สุดเรย์ก็หนีไม่พ้นจึงโดนผู้เป็นพี่ลากตัวตามมาด้วย สถานการณ์ดูไม่ต่างจากเมื่อหลายวันก่อนเท่าไหร่นัก เพราะมูมู่มันยังคงครางขู่หยดเทียนอยู่เช่นเดิม แต่ดูเหมือนว่าวันนี้มูมู่จะอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษ มันจึงร้องข่มขู่เสียงดังกันแทบเข้าใกล้ไม่ได้ จนพ่อบ้านต้องให้ทั้งสองออกไปรอด้านนอกก่อนที่จะโดนขย้ำเป็นอาหารแทนกวางตรงนี้
สองพี่น้องยืนกอดกันตัวกลมรีบถอยหลังออกไปช้าๆ ทันทีอย่างว่าง่าย แล้วออกมายืนหอบหายใจเหนื่อยยิ่งกว่าทำสวนตากแดดทั้งวันเสียอีก พวกเขายืนรอไม่นานพ่อบ้านก็เดินออกมา แล้วประตูกรงก็ถูกปิดลง
หลังจากที่หยดเทียนทานอาหารกลางวันเสร็จ เรย์ก็พาคนพี่เดินเข้าไปทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ บ้าง เขาอยากตบอกโล่งใจนักเมื่อรู้ว่าพวกพี่ๆ ที่ว่าเป็นคนละกลุ่มกันกับพวกที่เขาเจอเมื่อวันก่อน เมื่อเดินมาถึงพวกพี่บอดี้การ์ดก็เรียกให้หยดเทียนนั่งลงทำตัวตามสบาย ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวให้ฟังทีละคน
“ฉันชื่อคาซาม” ชายหนุ่มร่างกายกำยำบุคลิกเงียบขรึมกล่าวขึ้นก่อนคนแรก เขาจำได้ว่าชายคนนี้คือคนที่เรียกพ่อบ้านไปในวันที่เขาเข้ามาสัมภาษณ์งานวันแรก
“ฉันชื่อโทโมยูกิ”
“ผมชื่อเรชินครับ”
“ฉันชื่อซากุ”
“ผมชื่อพัน” พวกเขาแนะนำตัวกันตามลำดับจากฝั่งขวาไปฝั่งซ้าย
เบต้าหนุ่มอมยิ้มขึ้นมาเมื่อรู้ว่าบอดี้การ์ดในกลุ่มนี้ยังมีคนสัญชาติเดียวกับตนอยู่บ้าง เพราะตั้งแต่วันที่เข้ามาทำงาน เขาเห็นแต่บอดี้การ์ดที่หน้าตาเหมือนคนญี่ปุ่นทั้งนั้น คงเป็นเพราะนายท่านเป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่ในญี่ปุ่นกระมัง บอดี้การ์ดที่ดูแลความปลอดภัยจึงเป็นชายชาติญี่ปุ่นเสียซะส่วนมาก หยดเทียนพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจก่อนจะแนะนำตัวเองบ้าง
“สวัสดีครับ ผมชื่อหยดเทียนเพิ่งมาทำงานที่นี่ครับ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มหวานก่อนรุ่นพี่จะพยักหน้ารับ
“ขอถามอายุได้ไหมพวกเราจะได้เรียกถูก”
เขาพยักหน้าหงึกหงักตกลง “อายุ 24 ปีนี้ครับ”
“อ๋อ แล้วทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้างครับ สนุกไหม?” เรชินเบต้าอายุ 28 ปีท่าทางใจดีถามขึ้น
“สนุกมากครับ”
“งั้นก็ดีแล้ว ท่ายังสงสัยอะไรถามเรย์มันได้เลยนะไม่อย่างนั้นก็มาถามพวกพี่ก็ได้”
“ถ้าไม่กล้าถามพี่ชินถามผมได้นะ” อัลฟ่าที่เด็กกว่าตนสองปียิ้มหวานให้ ดูไปดูมาแล้วช่างน่ารักน่าชังทำให้หยดเทียนอดยิ้มตามไม่ได้
“ขอบคุณครับ”
หยดเทียนอิ่มเอิบใจที่วันนี้ได้เจอคนที่มีสติสตังดีบ้าง ไม่ทำตัวก้าวร้าวใส่เขาเหมือนพวกที่เพิ่งเจอ แม้ทุกคนในกลุ่มนอกจากชายที่ชื่อว่าเรชินและซากุ จะไม่ค่อยพูดคุยหรือถามไถ่อะไรมาก แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีแบ่งชนชั้นว่าใครมาก่อนหรือใครมาทีหลัง ที่สำคัญพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเขาในทางที่ไม่ดี
“แล้วนี่พี่จะไปกี่โมง” น้องเล็กแสนร่าเริงเงยหน้าถามพี่ใหญ่อีกคนอย่างโทโมยูกิหรือที่คนในกลุ่มเรียกกันว่าพี่ยู
ชายหนุ่มก้มดูนาฬิกาที่ห้อยอยู่บนข้อมือก่อนเอ่ยตอบ “อีกครึ่งชั่วโมง”
“ขี้เกียจจัง” ซากุกล่าวพลางเนื้อตัวอ่อนเหลวราวกับสำลีโดนน้ำ ใบหน้านวลขาวไหลลงไปกองยวบอยู่บนโต๊ะลายหินอ่อนก่อนจะลุกขึ้นซบแขนพี่ใหญ่อย่างคาซาม
“ให้ฉันไปกับพี่ใหญ่ไม่ได้หรอ” ซากุหลับตาปริบๆ ส่งสายตาหวานอ้อนคนที่ตนกอดแขนแน่น
คาซามถอนหายใจออกมาด้วยความระอา “ไม่ได้ นายให้มึงไปกับยูไม่ใช่ให้ไปกับพี่ อีกอย่างพี่ก็มีธุระส่วนตัวที่ต้องทำเหมือนกัน”
“ง่ะ! ก็ฉันอยากอยู่กับพี่ใหญ่นี่!” ว่าแล้วเด็กแสบก็ซบใบหน้าลงบนท่อนแขนแกร่งพร้อมกับใช้สันจมูกจิ้มลิ้มหมุดมุ่ยลงบนเสื้อ คาซามมองคนที่เกาะแกะอยู่บนแขนตนแล้วถอนหายใจพร้อมกับส่ายหัว
“อย่างงั้นเลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้ได้ไหมพี่ยู ไว้ให้พี่ใหญ่ทำธุระเสร็จแล้วค่อยไปส่งของให้เสี่ยก็ได้”
“มึงพูดอะไรออกมาน่ะ!” คาซามกดสายตามองหน้าซากุตาเขม็ง เพราะมันดันพูดถึงภารกิจที่นายท่านสั่งให้ไปทำออกมาในขณะที่มีคนอื่นอยู่ด้วย และคนอื่นที่ว่าก็คือหยดเทียน คนที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน จึงยังไม่เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจจนสามารถพูดเรื่องสำคัญให้ฟังได้
“ขอโทษฉันไม่ได้ตั้งใจ..” อัลฟ่าน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“ไม่เป็นไรน่าพี่ พี่เทียนเขาไม่ได้ปากพล่อยที่จะพูดเรื่องนี้นอกข้างหรอก จริงไหมพี่?” เรย์รีบพูดแก้ต่างให้รุ่นพี่อย่างซากุด้วยความเห็นใจที่โดนรองหัวหน้าดุ ก่อนจะหันมากระแทกไหล่พูดกับเบต้า
“ห้ะ? อ้ะ! ชะ ใช่ครับ” แม้จะไม่รู้เรื่องว่าพวกเขากำลังพูดคุยอะไรกัน แต่เพราะน้องมันส่งมาให้อย่างนั้นก็ต้องเออออห่อหมกตามน้องมันไป