ลูกคนโต

1420 คำ
วันนี้เธอเข้าครัวทำอาหารเย็น แสงไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เพราะเจ้านายสาวเพิ่งฟื้นไข้ แต่เมื่อเธอยืนยันก็ไม่กล้าคัดค้านได้แต่บ่นเบาๆ "เพิ่งฟื้นไข้ก็คิดจะทำอาหารเผื่อตึกใหญ่แล้ว คนที่นั่นเขาไม่อดตายหรอก" ป้าฉวีได้ยินหลานสาวแท้ๆ บ่นก็อดไม่ได้เขกหัวไปที "อีนี่นิ พูดมากจริง ไปหั่นฟักทองไป"แสงหน้ามุ่ยสะบัดหนีอย่างงอนๆ "ดู ดูมันทำ คิดว่าน่ารักตาย" "เป็นอะไรจ๊ะ สองป้าหลานทะเลาะอะไรกัน"ธัญญ์นลินเพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในครัวจึงไม่รู้ว่าสองคนพูดอะไรกัน "ไม่อะไรหรอกค่ะ วันนี้จะทำอะไรแบ่งไปตึกใหญ่คะ" "อืม มีแกงฟักทอง แล้วก็ผัดคะน้าทะเล"เธอเอ่ยเมนูที่จะทำ ส่วนใหญ่มื้อเช้าจะไปทานรวมกันที่ตึกใหญ่แต่มื้อเที่ยงกับเย็นจะแยกกันทานถึงอย่างนั้นเธอก็ทำอาหารส่งไปให้ตึกใหญ่ทุกวัน อย่างน้อยก็เป็นพ่อแม่สามีก็ควรดูแลใส่ใจบ้าง ขณะที่เธอกำลังเตรียมวัตถุดิบก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหววนไปมาอยู่ข้างหลัง เธอหันไปมองก็หยุดชะงัก ราวกับโลกหยุดหมุนใบหน้าที่คุ้นเคยมีท่าทีลังเลว่าจะเข้ามาหาเธอดีหรือว่าออกไปรอข้างนอกอย่างเห็นได้ชัด ธัญญ์นลินยังไม่ทันได้เริ่มทำอาหารก็แทบจะทิ้งของทุกอย่างในมือแล้วพุ่งตัวเองเข้าไปหาเด็กชาย เธอย่อตัวอยู่ในระดับเดียวกับเขาก่อนลูบไล้ใบหน้าเล็กที่ถอดแบบมาจากเธอโดยเฉพาะดวงตากลมโตเป็นเด็กผู้ชายหน้าสวยคมแต่น่าเสียดายนักเพราะแววตาคู่นี้มีแต่ความเรียบเฉยเย็นชาต่อทุกสิ่ง มือบางสั่นระริกค่อยๆ เอื้อมไปกอดบุตรชายในชุดนักเรียนที่ยืนนิ่งตรงหน้าราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป "ลูกแม่"น้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าของลูกชายคนโตที่จ้องมองเธออย่างเฉยเมยแวบนึงก่อนจะเดินขึ้นรถเรือนจำโดยไม่หันมามองคนเป็นแม่ที่ยืนมองเขาทั้งน้ำตานั้นผ่านมาในห้วงคำนึง เสียงด่าทอสาปส่งดังกลบเสียงอ้อนวอนเอ่ยเรียกบุตรชายว่าอย่าเพิ่งไปแต่นอกจากเขาไม่สนใจใยดีแล้ว ก็ไม่เอ่ยคำพูดจากับเธอสักคำเดียว เหมือนบอกให้รู้ว่าเขาไม่ต้องการใครบนโลกใบนี้ เขามีแค่ตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น หากเธอติดค้างลูกชายคนเล็กที่ไม่ดูแลอบรมสั่งสอนเธอก็คงติดค้างลูกชายคนโตคนนี้ของเธอมากมายเหลือเกิน เขาเหมือนกับกาฝากที่คนเป็นย่าทั้งรักทั้งชัง รักในฐานะที่เป็นสายเลือดตนครึ่งหนึ่งแต่ก็เกลียดชังเลือดอีกครึ่งเหมือนกันโดยเฉพาะเขาถูกคนอื่นตราหน้าว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่นี่ต้องต้อนรับเธออย่างเสียไม่ได้ ไหนจะเสียงซุบซิบนินทาที่เขาต้องรับรู้ตั้งแต่รู้ความ เพราะถ้าเธอไม่ท้องเขาเธอคงไม่มีวันได้เหยียบแม้แต่หน้าประตูบ้านแห่งนี้แน่ สิ่งที่ใครต่อใครยัดเยียดให้เขาไม่ร้ายเท่ากับคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่สนใจต่อความรู้สึกของเขา ไม่แปลกถ้าเขาจะรู้สึกกีดกันทุกคนออกจากชีวิตในเมื่อเขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอด ยิ่งเธอหย่าร้างเธอหวังว่าจะพาเขาออกจากสภาพความลำเอียงและสังคมหน้าไหว้หลังหลอกแต่เธอคิดผิด ผิดอีกแล้ว เธอกลับพาเขาไปสู่สังคมแห่งความจริงความจริงที่ต้องอดทนต่อเสียงปากคำนินทาของชาวบ้าน คำหัวเราะเยาะเย้ยเป็นเหมือนตะปูที่ตอกกลางใจลูกคนนี้จนไม่เหลือชิ้นดี จากคนพูดน้อยเก็บตัวก็กลายเป็นเก็บกด จากไม่แสดงอาการก็ระเบิดอารมณ์รุนแรงอย่างน่ากลัว เขาเอามีดแทงชายข้างบ้านที่ด่าเขาว่าไอ้มารหัวขน อย่างไม่เปลี่ยนสีหน้าเหมือนคนที่ไม่มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีของโลกนี้หลงเหลืออยู่ เธอขยุ้มเสื้อนักเรียนลูกจนเกือบขาดติดมือ ยิ่งเจ็บปวดใจมากขึ้นเมื่อคิดว่าเธอได้ทำอะไรลงไปบ้างได้สร้างรอยแผลแสนสาหัสมากมายขนาดไหนให้กับลูกชายคนนี้ "คุณแม่ผมเจ็บ"เสียงบอกอย่างเกร็งๆ ดังขึ้นเบาๆ แต่กลับดังก้องในใจของใจคนเป็นแม่ "แม่ แม่ขอโทษ ขอโทษนะลูก"เธอพร่ำบอกลูกชายซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้ว่ากำลังบอกลูกชายในวัยไหนกันแน่คนตัวเล็กหรือตัวโต "ป้าฉวี ฝากครัวด้วยนะ วันนี้ฉันจะขออยู่กับลูกก่อน"เธอพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติก่อนพาลูกชายออกจากห้องครัวไปทิ้งทุกอย่างแล้วสนใจเพียงลูกตนเท่านั้น "คุณบัวรอบนี้แปลกๆ นะป้า เมื่อช่วงบ่ายก็คุณซอลตอนเย็นก็คุณซอ ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรลูกนักหนาแค่ห่างตาไปสองวันเอง" "เอ็งจะไปรู้อะไร คนเป็นแม่ห่างแค่นาทีเดียวก็คิดถึงใจจะขาดแล้ว ไป รีบเอาขนมกับน้ำไปให้คุณหนูเร็ว มัวแต่พูดมาก" เธอสำรวจว่าได้เผลอทำร้ายลูกชายตนเองลงไปหรือไม่เมื่อเห็นว่าไม่มีแผลหรือรอยขีดข่วนก็ยอมผ่อนคลาย แต่ยังคงแวะเวียนมองบุตรชายอยู่ตลอดราวกับไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นพูดอะไรทั้งที่อยากให้ใกล้ชิดกันมากกว่านี้ไม่อยากทิ้งช่องว่างให้ห่างเหินเหมือนชาติที่แล้ว "กินขนมรองท้องไปก่อนนะครับ กว่าจะถึงเวลาข้าวเย็นคงอีกนาน"เอ่ยถามอย่างอาทรเลื่อนจานขนมกับน้ำผลไม้ที่แสงยกมาเสริฟให้ไปตรงหน้าลูก เด็กชายหยิบขนมกินท่าทางเอร็ดอร่อย สายตาของเธอเริ่มทอแสงลง มีแม่คนไหนในโลกนี้บ้างจะคิดว่าลูกของตนโตไปจะฆ่าคนตายแม้แต่เธอเองยังไม่คิดฝันว่ามันจะเป็นความจริง ไม่ว่ายังไงเธอจะไม่ยอมให้ลูกต้องเดินบนเส้นทางปีศาจอีกเด็ดขาด ไม่มีวัน นิ้วเรียวบางเอื้อมไปเช็ดเศษขนมที่มุมปากบุตรชายเบาๆ "อ่ะ จริงสิ ลูกมีอะไรอยากพูดกับแม่หรือเปล่า"เธอเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลูกชายเหมือนอยากคุยกับเธอตอนที่อยู่ในครัว "แซมเพื่อนที่โรงเรียน ชวนไปงานวันเกิดเขาครับ"ถ้อยคำของลูกเหมือนเสียงซาตานกระชากหัวใจคนเป็นแม่ให้ลงนรก เธอจำได้ว่าหลังจากที่เขากลับมาจากงานวันเกิดของเพื่อนที่โรงเรียนเขาก็ร้องไห้เสียยกใหญ่บอกว่าผู้ใหญ่ในงานพูดกันว่าเขาเป็นเด็กที่ย่ารังเกียจ เพราะเขาเกิดมาเป็นมารหัวขน ตอนนั้นเธอได้แต่เอ่ยปลอบตามประสาเพราะคิดง่ายๆ ว่าเดี๋ยวเขาก็ลืมใครจะไปคิดว่าคำคำนั้นมันเป็นคำที่ทำให้เขาพลั้งมือฆ่าคนตายได้ในเวลาที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ หญิงสาวกำมือแน่นจนสั่นระริก จะไม่ให้ลูกไปก็คงไม่ได้เพราะยังไงเด็กวัยนี้ก็ต้องมีเพื่อนมีสังคมของเขา จะให้ไปหรือไม่ก็คงจะหยุดคำนินทาว่าร้ายไม่ได้อยู่ดี สักวันเขาต้องได้รับรู้ สู้ให้รับรู้แต่อยู่ข้างเขาให้เขารู้จักปล่อยวางเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า "ได้สิ แต่ว่าวันไหนครับ แม่ขอไปด้วยได้ไหม" "อืม น่าจะได้นะครับ นี่การ์ดครับ คุณแม่ของแซมให้มา" "ดีจ๊ะ ซอ ตอนนี้ลูกยังเด็กคงไม่เข้าใจ หากลูกมีอะไรในใจที่คิดไม่ตกได้โปรดบอกแม่ ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนแม่จะไม่ด่าว่าลูก แต่แม่จะปัดเป่าทุกข์ภัยทั้งหมดให้ลูกเอง จำไว้นะลูก"เด็กชายพยักหน้ารับคำ แม้จะไม่เข้าใจแต่น้ำเสียงของแม่ก็ทำให้เด็กชายรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมาไม่น้อยและก็ต้องตาโตใบหน้าหวานคมขึ้นสีระเรื่ออย่างเขินอายเมื่อได้ยินคำต่อมาของแม่ที่ไม่เคยได้ยินเลยตั้งแต่จำความได้ "แม่รักลูกกับน้องซอลที่สุดเลย"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม