“รอพี่นานมั้ย”ผมถามดวงใจเสียงอ่อนเลย
“ไม่นานค่ะพี่ไวยเท่มากเลยนะคะ”
“แล้วปกติไม่เท่เหรอ”
“ปกติก็เท่ค่ะ แต่วันนี้เท่กว่า”เวลามันได้รับคำชมจากคนที่ชอบ ผมว่ามันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากๆเลยนะ
“พี่เขินเลยนะ รู้มั้ย”แทนที่เป็นผมที่ต้องหน้าแดง แต่กลับเป็นดวงใจซะอีกที่เขินจนแก็มแดงสู้กับแสงไฟที่สาดส่องในสนามเลย
แล้วผมก็ผมพาดวงใจมาที่ริมแม่น้ำหลังจากที่เเข็งเสร็จ ดวงใจดูมีความสุขมากครับ ผมก็ไม่คิดเลยนะว่าการที่พาออกมาด้านนอกแบบนี้ จะทำให้คนตัวเล็กยิ้มเก่งขนาดนี้
“จะว่าไปพี่ไวยเก่งจังเลยค่ะ ชนะด้วย ดวงใจแอบเห็นนะว่าพี่เขาเล่นนอกกติกาบ่อยเลย”
“พี่แข่งบ่อยนะ เลยชินกับเส้นทาง แล้วอีกอย่างพี่ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าไอ้เคมันต้องเล่นสกปรก พี่เลยระวังตัวเป็นพิเศษ”
“เหรอคะ แล้วพี่ไวยมาแข่งแบบนี้ได้เงินมั้ยคะ”
“ ได้ซิ ปกติถ้าชนะก็จะได้หมื่นเดียว แต่วันนี้ได้ 5 หมื่น เพราะเงินเดิมพันมันสูง”
“โห น้อยจังเลยค่ะ”
“ก็รับจ้างแข่งนี่ ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว”
ดวงใจทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
“เป็นอะไรเหรอทำไมยังเครียดอยู่”
“ป่าวคะ ดวงใจไม่ได้เครียด ดวงใจแค่อิจฉาพี่ไวยเฉยๆ”
“อิจฉาทำไม ชีวิตบัดซบเนี้ยนะ มีอะไรให้น่าอิจฉา”
ผมถามคนตัวเล็กด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตตัวเองน่าอิจฉาเลย มีแต่อยากหนีไปจากชีวิตเลวๆแบบนี้
“ก็อิจฉาตรงที่พี่ไวยได้ทำอะไรที่อยากทำทุกอย่างเลย จะไปไหนก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำได้ ซึ่งต่างจากดวงใจเลยคะ แม้แต่จะออกจากบ้านยังไม่ได้ไปคนเดียวเลย ดวงใจจะถูกพ่อพฤกห้ามตลอด เพราะพ่อพฤกบอกว่าเป็นห่วง แต่ดวงใจไม่ชอบคำว่าห่วงของพ่อพฤกเลย ดวงใจอึดอัด ”
ได้ฟังแบบนี้ดวงใจก็น่าสงสารนะครับ แต่เชื่อเถอะ การที่เกิดเป็นลูกคนรวยยังไงมันก็ดีกว่าคนจนๆที่ดิ้นรนจนตัวถลอกอย่างผมเยอะ ถึงแม้จะอึกอัดบ้าง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมาดิ้นรนจนสายตัวแทบขาด และไม่มีทางเลือกให้เดินมากนัก
“อย่าคิดมากน่า ถือซะว่าวันนี้พี่พาดวงใจมาเที่ยวแล้วกันนะ”
“ค่ะ วันนี้ดวงใจสนุกมากเลย”
“ดีแล้ว พี่เห็นดวงใจยิ้มแบบนี้พี่ก็รู้สึกดีเหมือนกัน”
แล้วก็ชวนดวงใจกินอาหาร สตรีทฟู้ดที่ซื้อมา บางอย่างดวงใจยังไม่รู้จักเลยครับ และดูเหมือนดวงใจจะชอบมากด้วยที่ได้เห็นและชิมอาหารที่หลายหลาย
แล้วผมกับดวงใจก็เดินเที่ยวและหาอะไรกิน จนเวลาล่วงเลยไปจน ถึง ตี 2 หลังจากนั้นผมก็ขับรถมาส่งดวงใจที่บ้าน ผมพาดวงใจปีนรั้วกลับเข้าไปในบ้านอย่างทุรักทุเล แต่ถึงมันจะดูลำบากแค่ไหน ผมก็ยอมทำครับ เพราะมันทำให้ผมได้ใกล้ชิดดวงใจมากขึ้น
“แล้วพี่จะได้มาเจอดวงใจอีกรึเปล่า”
“ดวงใจก็ไม่แน่ใจค่ะ แต่ เราคงนัดเจอกันตอนดวงใจไปโรงเรียนได้”
“เหรอ ดีใจจัง อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสเจอ”
“แต่ตอนนี้ดวงใจว่าพี่ไวยรีบปีนรั้วกลับไปก่อนเถอะนะคะ ก่อนที่การ์ดจะเดินมาทางนี้”
ดวงใจหันไปมองพวกการ์ดที่ยืนอยู่ตามจุดต่างๆอยู่ไกลๆ ก่อนที่เธอจะหันกลับมาแล้วเจอผมที่ยื่นหน้าไปพอดี ทำให้ทั้งปากผมกับปากดวงใจชนกันแบบจังๆ ดวงใจรีบโดดถอยห่างออกไปด้วยความตกใจก่อนจะรีบเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้
“ฝันดีนะครับ ดวงใจของพี่”
ตอบที่ไหนละครับนั่น ดวงใจไม่ตอบ แต่เธอกลับรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที ให้ตายเหอะ น่ารักอีกแล้ว ทำไมต้องน่ารักเรี่ยราดขนาดนี้ด้วยวะเนี้ย ผมเอามือขึ้นมาจับปากตัวเอง แม่งโคตรมีความสุขเลย ก่อนที่ผมจะรีบปีนรั้วกลับออกมาอย่างเงียบๆ
ดวงใจ
เรารีบย่องเข้าบ้านแบบไม่ให้ใครรู้ เพราะขืนมีคนรู้ว่าเราออกไปจากบ้าน เราต้องตายแน่ๆ แต่จะว่าไปนี่ก็ตี 2 แลวนะ คงไม่มีใครอยู่ตื่นขึ้นมาหรอก เราจึงเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างสบายใจ แต่พอจะปิดประตูเราก็ต้องตกใจเมื่อตะวันมายืนอยู่หน้าห้องและทำสีหน้าซึนๆ
“ตะ…. ตะวัน” เราเอ่ยชื่อตะวันเสียงสั่นเลย ตายแน่ มีคนเห็นแบบนี้เราตายแน่ๆ
“พี่ดวงใจไปไหนมา”
“เอ่อออ ตะวัน อย่าบอกพ่อพฤกนะ”
“ไม่ใช่เรื่องของตะวันซะหน่อย”
“จริงนะ”
“อืม ว่าแต่ไปไหนมา”
“ไปดูเขาแข่งรถมา สนุกมากเลยนะตะวัน”
“จะทำอะไรก็ระวังตัวด้วย ถ้าพ่อรู้ พี่จะไม่ได้ออกไปเจอแสงตะวันอีกเลย”
“พี่รู้ ว่าแต่ตะวันละไปไหนมาเหรอ”
เรามองไปยังตะวันที่สะพายถุงกีตาร์ ดูท่าเพิ่งจะกลับมาแน่ๆ
“ไปเล่นดนตรีที่ผับของพ่อเพื่อนมาครับ”
“ตะวันก็ระวังนะ ถ้าพ่อรู้ตะวันต้องตายแน่เลย”
“ตะวันไม่กลัวซะหน่อย”
พูดจบตะวันก็เดินไปเปิดห้องของตัวเองที่อยู่ข้างห้องเรา แล้วก็หายไปเลย ส่วนเราก็ปิดประตู แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างมีความสุข เรารู้สึกดีจัง เราไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆนะ
เช้ามาเรารีบตื่นมาแต่เช้าเพื่อที่จะลงไปทานข้าวกับทุกๆคนให้ทัน เพราะเราไม่อยากโดนพ่อพฤกล้ออีกอีกแล้วนะซิ แต่จู่ๆ ข้อความในเมจเซนเจอร์จากโทรศัพท์เราก็ดังขึ้นมา เราจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาูอย่างไวเลย เช้าๆแบบนี้เราคิดว่าน่าจะเป็นน้ำตาลแน่แต่กลับผิดคาด เพราะคนที่ส่งมาเป็นพี่ไวย เราจึงรีบกดเข้าไปดูอย่างไม่รีรอเลย
[วันนี้เจอกันนะครับดวงใจ พี่จะรออยู่ที่หน้าโรงเรียนตรงป้ายรถเมล์นะ]
ตายแล้ว นี่พี่ไวยมารอเราจริงๆเหรอ แล้วเราควรตอบยังไงอ่ะ เราจึงๆพิมพ์ๆลบๆ อยู่ตรงบันไดอยู่นาน เพราะคำตอบมันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน
[ค่ะ ...ได้ค่ะ เดี๋ยวเจอกันก็ได้ค่ะ]
เราตอบพี่ไวยทั้งๆที่ใจเรายังไม่รู้เลยว่าเราจะออกไปเจอพี่ไวยได้ยังไง เพราะโรงเรียนเรา ถ้าเข้าแล้วมันจะออกมาไม่ได้เลย เพราะ รปภ ไม่ยอมให้ออก แต่ถ้าเราปฎิเสธเราก็กลัวว่าพี่ไวยจะเสียใจอีก แต่ยังไม่ทันที่จะคิดตกเลยพี่ไวยก็ส่งรูปมาให้เรา ทำไมวันนี้พี่ไวยหล่อจัง หล่อกว่าชุดที่พี่ไวยใส่เมื่อวานอีก
“ระวังตกบันได” เสียงตะวันดังขึ้น เราจึงรีบเอามือถือใส่กระโปรงอย่างเร็วเลย เพราะกลัวว่าตะวันจะเห็นข้อความที่เราคุยกับพี่ไวย
“ไม่ตกหรอก ”
“ระวังพ่อจะจับได้นะว่าแอบคุยกับไอ้หนุ่มเมื่อคืน”
“ตะวันพูดอะไรอ่ะ เบาๆเดี๋ยวมีคนได้ยิน” เราพยายามจะเอามือไปปิดปากตะวันเอาไว้และหันมองซ้ายมองขวากลัวว่าจะมีใครได้ยิน ซึ่งตะวันก็ยืนให้เราปิดปากนะไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่นิดเดียว
“ถ้าไม่อยากให้ใครรู้คราวหลังพี่ก็ต้องระวังมากกว่านี้ หรือไม่ก็ไม่ควรออกไปแบบนั้นอีก ถ้าจะออก ออกตอนกลางวันจะดีกว่า”
“แล้วกลางวันพี่จะไปยังไง แถมวันนี้ ลุงอ้ายเป็นคนไปส่งด้วย”
“เดี๋ยวตะวันจัดการให้”
ตะวันพูดจบก็เดินลงบันไดไปข้างล่างทันที อะไรของเขา แผนอะไรทำไมไม่ยอมบอกอะไรเราเลย แต่เราก็ลงบันไดตามตะวันลงมานะ ซึ่งวันนี้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมันดีมาก เพราะว่าพ่อพฤกไม่อยู่นั่นเอง
“พ่อพฤกไปไหนเหรอคะคุณแม่”เราร้องถามคุณแม่อย่างสงสัย เพราะปกติพ่อพฤกจะไม่เคยขาดเวลาอาหารเช้าของครอบครัวเลยซักครั้ง
“พ่อไปช่วยงานลุงพุธนะ เห็นว่าต้องจัดการหลายอย่างเลย ไหนจะส่งการ์ดเชิญไปให้แขกที่ต่างประเทศอีก และยังต้องเตรียมไฟล์บินไปรับแขกด้วย ยุ่งมากเลย”
“เหรอคะ”
“แบบนี้ก็ดีนะครับ ทานข้าวไปชิลๆ ไม่ต้องฟังเสียงพ่อด่าตะวัน โล่งหูขึ้นเยอะเลย”
“เดี๋ยวเถอะเมฆ พูดอะไร เดี๋ยวจะโดนแม่ตีปาก”
“ก็แหม ขอเมฆบ่นบ้างเถอะครับแม่ เมฆก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไมพ่อต้องด่าตะวันทุกวันแบบนี้ ก็แค่ ดื้อ ไม่ยอมคน มีเรื่องได้ทุกวัน และอยากออกไปใช้ชีวิตข้างนอกก็เท่านั้นแค่นี้เอง”
“เมฆหุบปาก”ตะวันเอ่ยขึ้นมาลอยๆ แต่ทำเอาเมฆ ยิ้มร่าเลย เนี้ย ก็เมฆเป็นแบบเนี้ย ชอบแหย่ตะวันอยู่เรื่อย
“ว่า แต่ตะวัน ปากไปโดนอะไรมาลูก ทำไมมันแดงๆแบบนั้น”
จู่ๆแม่ก็ถามตะวันขึ้นมา ทำให้เรากับเมฆหันไปมองพร้อมกันโดยอัตโนมัติเลย ปากตะวันแดงอย่างที่แม่บอกจริงๆด้วย เราจึงยื่นมือไปจับดู ทำเอาตะวันสะดุ้งเฮือกใหญ่เลยแบบนี้เพิ่งโดนมาแน่ๆ
“ตะวัน เจ็บเหรอ”
“นิดหน่อยครับ”
“แล้วไปทำอะไรมา ไหนบอกแม่ซิ”
“อย่าบอกนะว่าโดนแย่งสาวเลยเล่นแม่ง แล้ว ไปมีเรื่องตอนไหนทำไมเมฆไม่รู้ แล้วมันเป็นใคร เมฆช่วยไปจัดการมั้ย”
“หยุดเลยเมฆ ตะวัน เมื่อคืนแอบไปข้างนอกมาใช่มั้ย”
เราสะดุ้งเลย เพราะเราก็ออกไปข้างนอกมาเหมือนกัน แบบนี้ แม่จะรู้ด้วยรึเปล่าว่าเราก็ออกไป ทำไมเรากลัวแบบนี้ เรากลัวจนมือไม้สั่นไปหมด เรียกว่าเรากำลังจะลนลานก็ได้แม่ต้องจับได้แน่ๆเลยแบบนี้ แต่ตะวันกลับยื่นมือมาจับมือเราแน่น เราจึงหันไปมองตะวันที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงใดๆทั้งสิ้น
“ตะวัน แม่ถามได้ยินมั้ยลูก”
“ที่ไหนละครับแม่ เมื่อคืนตะวันอยู่กับเมฆทั้งคืนเลยครับ จะออกไปได้ยังไง เรานอนกอกันกลมเลย ใช่มั้ยตะวัน”
“เหรอ เมื่อคืนนอนด้วยกันเหรอ”
“ครับ แม่ไม่ต้องห่วงเลย เมฆไม่ยอมให้ตะวันหนีเที่ยวได้แน่นอน และถ้าตะวันไม่เชื่อเมฆแอบหนีเที่ยวนะ เมฆจะฟ้องแม่ ตกลงมั้ยครับ”
“อืม ให้มันจริงนะ อย่าให้แม่จับได้ละว่าโกหก”
“แน่นอนครับ”
“งั้นก็ทานข้าวกันเถอะ ส่วนตะวัน ถ้าไม่อยากบอกว่าไปโดนอะไรมาก็ไม่ต้องบอก แต่ให้รู้ไว้ ว่าแม่เป็นห่วงตะวันนะลูก ดวงใจกับเมฆก็เหมือนกัน ทำอะไร คิดถึงตัวเองให้เยอะๆ และให้รู้ไว้ว่าทั้งพ่อและแม่เป็นห่วง นี่ยังดีนะที่พ่อไม่อยู่ไม่งั้นยาวแน่ๆ เออ แล้วก็อย่าลืม เอายาทาปากด้วยละ ตะวันน่าจะไม่เจอพ่อซัก 3-4วันนะ รีบรักษาแผลที่ปากให้หาย”
“ครับ”
เรารู้สึกโล่งและอุ่นใจขึ้นมาทันทีเมื่อมีตะวันอยู่ข้างๆ และตะวันก็จับมือเราไว้อย่างนั้นจนพวกเรากินข้าวเสร็จ ส่วนเมฆก็หันมามองตะวันพร้อมกับยักคิ้ว นี่แหละ 2 แฝดตัวแสบที่คอยช่วยเหลือกันตลอดทุกเรื่อง แม้กระทั่งโกหกแม่ก็ยังทำ
แล้ววันนี้ก็เป็นลุงอ้ายที่ไปส่งพวกเราจริงๆตามที่เราคาด และแบบนี้เราจะออกไปเจอพี่ไวยได้ยังไงละ
“ลุงอ้ายครับ จอดตรงป้ายนี่แหละครับ พวกผมจะลงตรงนี้”
“ไม่ได้ครับคุณหนู นายสั่งไว้ว่าต้องส่งให้ถึงในโรงเรียน”
“เมื่อวานผมเห็นนะตอนที่ลุงพาสาวรุ่นลูกเข้าโรงแรม ลุงอยากให้ผมบอกพ่อมั้ยครับ”
เล่นเอาเรากับเมฆช็อคตาค้างไปเลย เพราะลุงอ้ายแกแก่แล้วนะ แล้วแกก็มีเมียอยู่แล้วคือ ป้ายุง ที่เป็นแม่บ้านในบ้านเรา
“ตะวัน พูดอะไรอ่ะ”
“ก็ไม่มีอะไร ก็แค่ถามลุงอ้ายเฉยๆว่าจะจอดให้ผมได้รึเปล่า”
รถของลุงอ้ายหยุดแบบไม่มีอะไรกั้นเลย เรียกได้ว่าเบรกกันหัวทิ่มไปเลยก็ได้นะ แบบนี้เองซินะที่ตะวันบอกว่าเดี๋ยวจัดการเองนะ